เรื่องสั้น : ถนอมไว้ในรังนอน : ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด

เรื่องสั้น : ถนอมไว้ในรังนอน : ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด

 

        เปลผ้าแกว่งโยกไหวตามแรงไกว เด็กน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่ในรังผ้า หญิงสาวเป็นธุระปัดพัดวีไม่ให้แมงหวี่แมงวันไต่ตอมรบกวนความสุขสบายตามอัตภาพเท่าที่ชาวนาอย่างเธอจะหาให้เด็กคนนี้ได้

        เด็กชายผู้เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจ หญิงสาวตกหลุมรักเด็กน้อยตั้งแต่แรกเห็น เธอมีความรู้สึกท่วมท้นที่อยากจะดูแลทะนุถนอมเลี้ยงดูแลแกให้เติบใหญ่อย่างดีที่สุด เธอแน่ใจว่านั่นคือความรักของคนที่เป็นแม่ ทั้งในความหมายที่เธอเข้าใจและการตอบสนองทางร่างกาย น้ำนมจากเต้าหลั่งไหลเป็นสายหล่อเลี้ยงให้เด็กน้อยดูดดื่มกิน แม้ว่าเธอจะไม่ใช่แม่ตามความหมายของผู้ให้กำเนิด

        ตามศักดิ์แล้วหญิงสาวเป็นป้าของเด็กน้อย แกเป็นลูกชายของน้องสาวเธอ น้องสาวคนที่ทั้งสวยและฉลาดกว่า หล่อนเป็นคนเดียวในหมู่บ้านที่ทะเยอทะยานและเบื่อหน่ายมากพอที่ขวนขวายไปเรียนหนังสือถึงในเมือง พ่อแม่เธอมีเงินกัดฟันส่งแค่นั้น การเรียนการศึกษาเป็นเรื่องเพ้อฝันและเกินความจำเป็นของคนแถวนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าครูที่โรงเรียนไม่จูงน้องสาวมาขอร้องพ่อแม่ถึงที่บ้าน หล่อนคงไม่แคล้วต้องอยู่บ้านทำนาเหมือนกับเธอ หญิงสาวคิดน้อยใจมาตลอดว่าก่อนหน้านั้นทำไมครูถึงไม่จูงเธอมาขอพ่อกับแม่ให้ได้ไปเรียนต่อ มศ.เหมือนหล่อนบ้าง แค่เธอเกิดก่อนสองปีทำไมชีวิตถึงแตกต่างราวฟ้ากับเหวขนาดนั้น น้องสาวได้แต่งชุดนักเรียนสวย ๆ ขึ้นรถเมล์ขาวไปเรียนในเมือง ส่วนเธอกลับต้องออกไปตากแดดหน้าดำขุดปูนาไปเสียบไม้ขายในตลาดหาเงินส่งน้องเรียน

        ชีวิตของน้องสาวเลยได้ไปโลดแล่นในเมือง ส่วนเธอติดอยู่ในนากับพ่อแม่ ลมเพลมพัดผ่านยอดกล้าข้าวไปไม่รู้กี่ฝนกี่หนาว ต้นกล้าบางต้นถึงยังจมโคลนในนาอยู่ที่เก่าไม่เติบโตขึ้นเลยนับตั้งแต่วันที่ปักดำ ส่วนต้นกล้าที่ลมพัดไปตกในเมืองกลับออกดอกสะพรั่งล่อหมู่มวลผึ้งภมรมาตอมไต่ไล้เชยชม ผสมเกษรถ่ายละอองเรณูจนสมใจแล้วก็โผบินจากไป ต้นข้าวในเมืองเลยแตกรวงสุกสีเหลืองสวย แต่ป่าคอนกรีตคงไม่มีที่ให้เมล็ดข้าวได้หยั่งราก เมล็ดข้าวอวบกลมเลยต้องถูกส่งมาหว่านลงในนาผืนเก่า

        น้องสาวเธอบอกว่าหล่อนจำเป็นต้องกลับไปทำงานหาเงิน เงินสำคัญกว่าทุกอย่างในโลกที่หมุนเร็วใบนี้ ทุกคนต้องใช้เงิน พ่อแม่ก็แก่ตัวขึ้นไปทุกวัน เงินขายข้าวแต่ละปีหักค่าปุ๋ยค่าโรงสีแล้วคงไม่พอค่ายาค่าหมอ อนาคตของคนแก่ไม่แน่นอน เคราะห์หามยามร้ายสบปะมามีแต่เงินเท่านั้นที่จะช่วยได้ ไหนจะอนาคตของเด็กน้อยอีก อนาคตของคนเด็กก็ไม่แน่นอน ค่านมค่าขนมอะไรก็ต้องจับจ่าย ค่าเทอมค่าเล่าเรียนก็จะตามมาในอีกไม่กี่ปี  ชีวิตคนที่เรียนหนังสือนั้นต่างจากคนที่ไม่ได้เรียนมาก หล่อนไม่อยากให้ลูกชายคนเดียวของหล่อนไม่มีอนาคต ไม่มีอนาคตเหมือนพี่สาวคนเดียวของหล่อนที่ไม่มีเงินทองไปจับจ่ายซื้อหาการศึกษาหรืออนาคตจากที่ไหน

        ตะวันคล้อยลงมาตากผ้าอ้อม หญิงสาวปลุกเด็กน้อยให้ตื่นออกมาจากเปล พ่อตู้กับแม่ตู้กลับมาจากหาปลาแล้ว อวดปลาช่อนตัวใหญ่ที่หญิงสาวตั้งใจจะแกงให้ทุกคนได้กินอิ่มในมื้อเย็น แต่เด็กน้อยทำหน้าเหย เธอรู้ทันว่าแกไม่ชอบกับข้าวที่ทำจากปลา ก้างเคยติดคอร้องไห้โยเยจนเธอต้องเป็นอุ้มเขย่ากล่อมหลับทั้งคืน เย็นนั้นเธอเลยอุ้มแกเข้าเอว พาเดินไปทางเล้าไก่หลังบ้านเพื่อหาไข่มาทำไข่เจียวให้แก แกชอบกินทุกอย่างที่เป็นไข่ จะต้มเจียวดาวแค่เหยาะน้ำปลาจ้ำข้าวเหนียวก็ยิ้มหน้าบานชมว่าเธอทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลกแล้ว ดีที่แม่ตู้เลี้ยงไก่ไว้ในเล้าหลายตัว วัน ๆ นึงเลยเก็บไข่ได้เยอะพอให้ทำจานไข่ได้หลายมื้อ แกมักกระตือรือล้นช่วยเธอหาไข่ไก่สีขาวนวลที่ซ่อนอยู่ตามโพงหญ้ารอบเล้า เหมือนเป็นเรื่องสนุกอีกอย่างที่แม่ลูกทำร่วมกัน น้องสาวเคยบอกหญิงสาวว่าไข่มีโปรตีนโขถ้ากินเยอะเด็กจะโตไวและสมองฉลาด เธอไม่รู้หรอกว่าโปรตีนคืออะไร คงเป็นอะไรยาก ๆ อีกเรื่องที่คนเรียนหนังสือหนังหาเขาเข้าใจกัน เธอไม่จำเป็นต้องสนใจ แค่เป็นอะไรที่ดีกับเด็กน้อย เธอก็พร้อมจะทำจานไข่ขึ้นขันโตกให้เด็กน้อยจ้ำกินกับข้าวเหนียวทุกวัน…ทุกวันเท่าที่เธอจะทำได้

        หญิงสาวไม่เคยมีลูก เธอเป็นสาวโสดทึนทึก ไม่ได้แต่งงานออกไปเหมือนลูกสาวบ้านอื่น ช่วงที่เธอกำลังแรกแย้มกลับถูกแดดนาเผาจนเกรียมกร้าน ข้าวในนากับปูในรูพรากความงดงามไปจากเธอ คราบเหงื่อไคลกับกลิ่นปุ๋ยขี้ควายไล่ผู้ชายทุกคนที่พยายามจะเข้าใกล้ กล้ามเนื้อและโครงร่างใหญ่ที่สะสมจากการทำงานหนักไม่ได้ดูอ้อนแอ้นอรชรตามขนบนิยมของใครทั้งนั้น ไม่มีพ่อแม่บ้านไหนให้ลูกชายมาดองกับคนที่หักคอไก่ด้วยมือเปล่าอย่างเธอแน่ ๆ แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยพานพบกับความรัก ความรักบินมาหาเธอในร่างกลายของกองไฟที่เธอจุดผิงในหน้าหนาว ให้ความอบอุ่นเพียงชั่วครู่ แต่พอเอื้อมมือเข้าไปแตะกลับแสบร้อนทุรนทุราย หลายครั้งที่เธอต้องยืมซิ่นผืนงามของแม่ใส่ไปกินต้มไก่ในงานแต่งของผู้ชายคนแล้วคนเล่าที่เธอแอบหลงรักเขาข้างเดียว ซดความขมขื่นกับความรู้สึกท่วมท้นทั้งหลายที่เก็บงำเอาไว้ กลืนลงคอพร้อมกับความเป็นไปไม่ได้อีกหลายเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในชีวิตเธอ ความเป็นไม่ได้ที่สะท้อนออกมาให้เห็นทุกครั้งที่เธอส่องกระจก เงานั่นไม่เหมาะที่จะใส่ชุดนักเรียน ไม่เหมาะแม้กระทั่งจะใส่ชุดแต่งงาน

        แต่เธอคิดว่าเธอเหมาะที่จะเป็นแม่ อย่างน้อยเด็กน้อยก็เรียกเธออย่างนั้น เธอเป็นแม่จากการถูกเรียกเหมือนผู้หญิงอีกหลายคนในหมู่บ้านที่เป็นแม่โดยไม่ต้องอุ้มท้องคลอดเด็กออกมา แม่แบบเธอมีทุกวัย ส่วนใหญ่เป็นแม่เฒ่าที่ผ่านการเป็นแม่มาแล้วหลายรอบแต่ก็ยังเป็นแม่ได้อีกแทนที่จะเป็นยายหรือเป็นย่า แม่เฒ่าเหล่านั้นสอนหญิงสาวว่ามันง่ายกับเด็กมากกว่าที่ให้แกเรียกคนเลี้ยงว่าแม่ เด็กอาจจะมีแม่ได้หลายคนตอนที่แกยังไม่รู้ความ พอแกโตพอที่จะรู้ความแล้ว พวกแกจะเหลือแม่แค่คนเดียว แม่ที่เหลือถึงค่อยถูกเรียกว่าอย่างอื่น

        นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวกลัว ตอนนี้เด็กน้อยเข้าใจว่าแกมีแม่สองคน คือหญิงสาวและแม่ตู้ซึ่งเป็นแม่ของเธอและน้องสาวเธอซึ่งเป็นแม่จริง ๆ ของเด็กน้อย ทุกอย่างดูสับสนน่าเวียนหัวไปหมด ขนาดเธอเป็นผู้ใหญ่เธอยังอธิบายเรื่องพวกนี้ได้ยาก แล้วสมองน้อย ๆ นั่นจะต้องกินไข่อีกกี่ฟองถึงจะฉลาดพอเข้าใจเรื่องยุ่งเหยิงนั่นได้โดยไม่ทิ้งอะไรค้างไว้ในใจ ไข่นั่นทำให้เด็กน้อยเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน วันหนึ่งวันไหนที่เด็กน้อยเริ่มสงสัยจนสามารถเข้าใจกระจ่าง ว่าความรักความอาทรที่เคยได้กลับกลายเป็นแค่เรื่องโกหก ส่วนเรื่องจริงที่กำลังจะรับรู้กลับกลายเป็นแค่ความเห็นแก่ตัวและทอดทิ้งไม่ใยดี หญิงสาวกลัว เธอไม่อยากให้แกเกลียดน้องสาว ไม่อยากให้เกลียดเธอ และไม่อยากให้เกลียดโชคชะตาเหมือนที่เธอเกลียด

        หญิงสาวเจียวไข่ไปหลายพันฟอง เปลที่เธอไกวขยายขนาดและต้องออกแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน เด็กน้อยขี้สงสัยและเริ่มถามคำถามไม่รู้เบื่อ นั่นต้นอะไร นั่นตัวอะไร นั่นหมากอะไร เธอสอนแกทุกเรื่องที่เธอรู้ โลกรอบตัวของเธอค่อย ๆ ไหลผ่านไปสู่แก สิ่งเคยชินของเธอกลายเป็นสิ่งใหม่สำหรับแก เธอสอนให้แกหม่าข้าว นึ่งข้าว และแผ่ข้าว ทุกกรรมวิธีที่เปลี่ยนจากข้าวสารเม็ดแห้งเธอออกแรงดำให้กลายมาเป็นข้าวเหนียวหอมนุ่มที่แกชอบกิน นอกจากนี้เธอยังสอนวิธีหลกกล้า ดำกล้า เลี้ยงควาย ไถนา ทักษะต่าง ๆ ของชาวนาที่หญิงสาวทำเป็นอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต ผิวบอบบางอ่อนเยาว์นั่นไม่ยี่หระต่อแสงแดดอันแรงกล้าเลย แกบอกเธอว่าชอบโดนแดด ถูกแดดแล้วมีพลัง แกบอกอีกว่าให้ออกไปทำนาขุดปูกับแม่ทุกวันก็ทำได้ เธอดีใจที่แกชอบ นึกเอ็นดูว่าถ้าลองโดนแดดทุกวันอย่างเธอมาสามสิบกว่าปีจะยังชอบอยู่อีกไหม ตอนเด็ก ๆ เธอก็เคยบอกแม่ตู้ว่าชอบโดนแดด น้องสาวเธอถึงกับบอกว่าโตขึ้นอยากเป็นชาวนาเหมือนแม่ตู้ แล้วเป็นยังไงล่ะ ทุกวันนี้สองศรีพี่น้องไม่มีใครอยากโดนแดดเลยแม้แสงวาบเดียว คนนึงหลบอยู่ในเสื้อแขนยาวและหมวกคลุม อีกคนหลบอยู่ในห้องกระจกติดแอร์ เธอก็ไม่แน่ใจว่าพอเด็กน้อยโตขึ้นเขาจะไปหลบแดดที่ไหน

        เปลที่เธอไกวหนักขึ้นเรื่อย ๆ หลายครั้งที่เธอไกวไม่ทันใจแล้วเด็กน้อยเริ่มยื่นแขนออกมาดันเปลด้วยตัวเอง บางทีเธอก็ยังอยากจะช่วยไกว แต่หลายทีที่เด็กน้อยตีมือเธอแล้วบอกว่าอยากจะไกวเอง เธอได้แต่เป็นห่วงเพราะจังหวะไกวของแกมันเร็วไปจนน่าหวาดเสียว หญิงสาวรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องออกมายืนดูอยู่ห่าง ๆ และห่วงใยเท่าที่จำเป็น เธอยืนดูน้ำมันที่กระเด็นโดนแขนตอนเจียวไข่ ดูแผลที่หัวเข่าที่ล้มตอนหัดปั่นจักรยาน ดูรอยมีดบาดตอนพยายามปอกมะม่วง และอีกหลายบาดแผลที่เธอได้แต่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ หน้าที่ของเธอทำได้แค่เข้าไปรักษาและเช็ดคราบน้ำตาของแกหลังจากที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว เธอคงไม่ห้ามให้แกออกไปเจออะไรที่ทำให้แกเจ็บปวด ความเจ็บปวดนั้นรอทุกคนอยู่ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงขนาดไหน เธอมีหน้าที่สอนให้แกเคยชินกับความเจ็บปวดเล็กน้อยเหล่านั้น เธอคงไม่ได้อยู่ปกป้องแกทุกทีที่จักรยานล้มหรือน้ำมันกระเด็นใส่ แกต้องทนให้ได้ จะร้องไห้ก็ได้แต่ต้องรู้จักร้องไห้ให้เป็น ยังมีความเจ็บปวดอีกหลายอย่างรอแกอยู่ โดยเฉพาะความเจ็บปวดที่ซึมลึกเข้าไปในดวงวิญญาณ

        เปลเล็กเกินไป และไข่เจียวก็จืดชืดเกินไป หญิงสาวไม่รู้ว่าเด็กน้อยไปหัดขี่รถมอเตอร์ไซค์จากไหน เห็นอีกทีก็ขี่พาเพื่อนซ้อนท้ายเข้าไปในหมู่บ้านซะแล้ว โลกของเด็กแกไม่ได้หมุนรอบตัวเธออีกต่อไป แกมีคนมากหน้าหลายตาให้คุยให้ทักทาย เธอรู้สึกเหินห่างกับแกมากขึ้นเรื่อย ๆ เรื่องอะไรที่แกเคยถามเธอแต่ตอนนี้แกกลับไปถามคนอื่น คำถามยาก ๆ ที่อยู่ในใจของแกมาตลอดแต่ไม่เคยกล้าถามเธอ แต่ดันไปรู้จากคนในหมู่บ้านปากสว่างที่ใส่สีตีไข่ให้สะใจเมื่อได้เล่าแต่กลับรู้สึกแย่เมื่อได้ฟัง ความจริงความลวงทั้งหลายเกี่ยวกับน้องสาวและผัวของมันถูกพูดขึ้นมาอีกครั้งในรอบหลายปี แล้ววันที่หญิงสาวกลัวก็มาถึงเร็วกว่าที่คาด วันที่แกไม่ได้เรียกเธอว่าแม่อีกต่อไป แกเรียกเธอว่าป้า เหมือนคำพิพากษาให้ความเป็นแม่ของเธอสิ้นสุดลง

        เปลถูกปลดลงจากเสาในวันที่น้องสาวเธอกลับบ้านมางานศพพ่อตู้ น้องสาวแต่งตัวสวยหมดจดทองหยองเต็มตัวทาปากสีชมพูแปร๋นพูดไทยกลางทุกคำ หล่อนคงแกล้งลืมภาษารากเหง้าไปแล้ว รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่หล่อนพยายามจะลืม หล่อนควงแขนมาพร้อมผัวฝรั่งคนใหม่ที่ดูยังไงก็แก่กว่าพ่อตู้ที่เพิ่งตายไปเสียอีก ในมุมมองของเธอทั้งคู่ก็ดูรักกันดี ดูรักกันดีเกินจริงเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้อะไรที่ทำให้หล่อนตกร่องปล่องชิ้นเอาฝรั่งแก่คราวพ่อมาเป็นผัว อาจจะเป็นโซ่ทองคล้องใจเส้นใหญ่ที่เลื้อยอยู่บนคอนั่นกระมัง เธอไม่มีสิทธิอะไรไปตัดสินหล่อน หล่อนทั้งสวยกว่า ฉลาดกว่า และเรียนสูงกว่าเธอเป็นไหน ๆ ความรักแบบของหล่อนอาจพิสูจน์แล้วว่าจะมอบชีวิตที่สะดวกสบายให้ ซึ่งต่างจากความรักของเธอ ที่มีให้แต่ความอ้างว้างและเจ็บปวด

        น้องสาวว่า ตอนนี้ที่บ้านนาก็ไม่มีพ่อตู้แล้ว ตัวเธอและผัวฝรั่งอยากจะรับเอาเด็กน้อยไปเป็นลูกบุญธรรม ได้ฟังแค่นั้นหญิงสาวก็นึกขำ แม่ที่ไหนเรียกลูกที่คลอดออกมาเองว่าเป็นลูกบุญธรรม น้องสาวว่ามันเป็นภาษากฏหมาย ตอนเกิดแม่ตู้และพ่อตู้ไปแจ้งเกิดว่าเป็นลูกของท่าน เพราะน้องสาวคลอดทิ้งไว้แล้วก็หนีกลับกรุงเทพฯ ไป แม่ตู้พยักหน้าแล้วงัดเอาใบเกิดของเด็กน้อยมาให้เธอดู หญิงสาวงุนงงและสับสนกับกฏเกณฑ์และคำศัพท์ที่ทับซ้อนหลายชั้นของโลกใบนี้ ที่ผ่านมาเธอเลี้ยงน้องชายตามกฏหมายมาตลอด โดยมีความเข้าใจว่าเป็นหลานตามศักดิ์นับญาติ แต่มีความรู้สึกรักและผูกพันเหมือนลูกในไส้ของเธอ นี่โลกนี้เล่นตลกอะไรกับเธอ หรือเธอเองที่เป็นตัวตลกมาตั้งแต่ต้น หญิงสาวมองหน้าเด็กน้อยและคิดว่าแกคงรู้สึกไม่ต่างจากเธอ น้องสาวว่า จะเป็นแม่บุญธรรมหรือแม่บังเกิดเกล้าก็เป็นแม่เหมือนกัน หล่อนก็เลี้ยงเด็กน้อยมาตลอดจากเงินที่ส่งเสียให้หญิงสาวทุกเดือน มันเป็นการเลี้ยงลูกในแบบของหล่อน ตอนนี้บ้านในนาไม่เหมาะที่จะเลี้ยงเด็กน้อยอีกแล้ว หล่อนจะรับลูกไปเลี้ยงต่อที่บ้านในเมือง ที่นั่นแกจะได้ไปเรียนหนังสือ หล่อนสอนให้แกเรียกหล่อนว่าแม่ แบบนั้นมันง่ายสำหรับหล่อนมากกว่า แต่หญิงสาวรู้ว่ามันยากเหลือเกินสำหรับเด็กน้อย

        บ้านนาเงียบเหงาเศร้าซึมตั้งแต่น้องสาวเอาตัวเด็กน้อยไป หญิงสาวเฝ้าคิดถึงแกทุกวันเพียงแต่เธอพูดอะไรออกมาไม่ได้ จะร้องไห้ก็ไม่ได้ เธอไม่มีสิทธิ นั่นเป็นสิ่งที่เธอลืมสอนเด็กน้อย ว่าความเจ็บปวดบางอย่างมันก็เจ็บจนร้องไห้ออกมาไม่ได้ แกจะรู้สึกแบบนั้นกับพ่อใหม่แม่ใหม่ของแกบ้างไหม หรือตอนนี้กำลังมีความสุขอยู่กับข้าวของราคาแพงและเพื่อนใหม่ที่โรงเรียน แค่คิดว่าฟูกนุ่ม ๆ ในห้องแอร์น่าจะนอนสบายกว่าเปลที่เธอไกว เธอก็ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ มันอาจจะดีสำหรับแกแล้วก็ได้ที่ไม่ต้องมาทนใช้ชีวิตเหมือนกับเธอ เธอคงไม่มีปัญญาหาอะไรให้แกได้ดีกว่าเปลผูกต้นไม้กับข้าวเหนียวจ้ำไข่

        หญิงสาวทอดสายตามองท้องนาที่แห้งแล้ง ลมหัวกุดหมุนเอาเศษหญ้าเศษฟางตลบขึ้นมาจากพื้น เธอเกิดที่นี่เป็นลูกของผืนนา และอีกไม่กี่ปีก็คงลงไปนอนให้ดินนากลบหน้า ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดถึงคนที่จากนาไปได้ดีในเมือง

        เวลาผ่านไปไม่รู้กี่ฝนต่อกี่แล้ง ลมหัวกุดและพายุฤดูร้อนลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านหลังคาบ้านนาไป หลายลูกพัดผ่านเลยไปไม่หวนกลับมา ข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับเด็กน้อยคือข่าวที่น้องสาวส่งมาบอกว่าจะไม่ส่งเงินมาให้เธอและแม่ตู้อีกต่อไปเพราะต้องส่งเสียลูกชายเข้าเรียนมหาวิทยาลัย หญิงสาวที่ตอนนี้เป็นหญิงใหญ่วัยกลางคนเพิ่งจัดงานศพให้แม่ตู้ที่จากไปอย่างสงบในฤดูร้อนหนึ่งที่พายุลูกเห็บถล่มรุนแรง ในวาระสุดท้ายของแม่ตู้ หญิงสาวใช้เวลาเต็มที่เป็นลูกที่ดีของแม่คนเดียวที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเธอมา เธอไม่มีอะไรติดค้างกับแม่ของเธออีกแล้ว แม่ของเธอก็ไม่มีอะไรติดค้างกับเธอเช่นกัน ทั้งคู่บอกลากันบนที่นอนอันอบอุ่นของแม่ตู้ ที่เคยให้กำเนิดหญิงสาวขึ้นมาลืมตาดูโลก ทั้งนมหยดแรกและข้าวต้มคำสุดท้าย ทั้งการเกิดและการตาย ทั้งลูกคนแรกและแม่คนแรก เกิดขึ้นบนรังนอนนั้น

        หญิงสาวเป็นแค่ลูกของแม่นับตั้งแต่วันที่แม่ตู้จากไป เธอลืมความรู้สึกของการเป็นแม่ไปนานแล้ว จนวันหนึ่งที่รถกระบะคันหนึ่งแล่นมาจอดที่หน้าบ้าน เด็กน้อยที่ตอนนี้เป็นหนุ่มใหญ่อุ้มเด็กทารกคนหนึ่งลงมาจากรถพร้อมเครื่องใช้เด็กอ่อนและเงินอีกจำนวนหนึ่ง หญิงสาวมองหาจนถ้วนถี่ก็ไม่มีเงาของแม่เด็ก เธอไม่ทันถามที่มาที่ไปของทารก แต่พอจะเดาได้ว่าเป็นหนังเรื่องเดิมเล่นซ้ำ ที่มีตัวแสดงหน้าเก่าอย่างเงินทองและความไม่พร้อมเข้ามาเกี่ยว เด็กน้อยคนเก่าของเธอจากไปอย่างรีบร้อน ทิ้งเด็กน้อยคนใหม่ให้ขดตัวอ้อแอ้อยู่ในอ้อมอกของเธอ  คนพวกนั้นเสือกไสความเป็นแม่ให้เธออีกครั้ง ทั้งในความหมายที่เธอเข้าใจและการตอบสนองทางร่างกาย น้ำนมจากเต้าหลั่งไหลเป็นสายหล่อเลี้ยงให้เด็กน้อยดูดดื่มกิน แม้ว่าเธอจะไม่ใช่แม่ตามความหมายของผู้ให้กำเนิด

        หญิงสาวผูกเปลขึ้นกับเสาต้นเดิม เปลผ้าแกว่งโยกไหวตามแรงไกว เด็กน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่ในรังผ้า หญิงสาวเป็นธุระปัดพัดวี ไม่ให้แมงหวี่แมงวันไต่ตอมรบกวนความสุขสบายตามอัตภาพเท่าที่ชาวนาอย่างเธอจะหาให้เด็กคนนี้ได้

 

.....................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง      

  

           “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

 

           วรรณกรรมออนไลน์