เรื่องสั้น : “คนขับรถ ช่างตัดผม และเพื่อนของผม” : ฉลอง เจยาคม

เรื่องสั้น : “คนขับรถ ช่างตัดผม และเพื่อนของผม” : ฉลอง เจยาคม 

        ชีวิตผมทำอาชีพมาแล้วอย่างหลากหลาย มากเสียจนจำนวนนิ้วมือสองข้าง รวมนิ้วเท้าอีกสองข้าง ยังไม่พอนับ แต่อาชีพที่ทำตามการศึกษาที่ร่ำเรียนมาอย่างเป็นทางการ จนได้ปริญญาบัตรรับรองคุณวุฒิมีเพียงอย่างเดียวคือ กฎหมาย แต่ผมก็ใช้ความรู้ในสาขานี้ทำงานเพียงระยะสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังให้อย่างสิ้นเชิง ไปตะลุยฉุยแฉกกับหลากหลายอาชีพ จนได้ฉายา “จอมยุทธ์ฉับจ่าย”  ก่อนจะมาลงตัวที่อาชีพทำเหมืองแร่ แล้วถึงคราวโชคหนุนบุญช่วย จึงได้พบกับความสำเร็จในอาชีพอย่างจริง ๆ จัง ๆ เป็นครั้งแรก จนได้ฐานะ “นายเหมือง” มา ก็ทำให้พอมีหน้ามีตากับเขาบ้าง

        หลังจากหันหลังให้กับอาชีพเส้นทางสายกฎหมาย ผมก็ไม่ค่อยติดต่อไปมาหาสู่เพื่อนฝูงร่วมอาชีพเลย เพื่อนฝูงพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ต่อยอดมาจากเพื่อนสมัยเรียนนิติศาสตร์ด้วยกัน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมรุ่นที่เคยหัวหกถกคะเมนด้วยกันมา ทั้งในทางดีและตรงข้ามตามประสาวัยหนุ่มกำลังเรียนรู้ การที่ไม่ได้พบเพื่อนร่วมคณะเหล่านั้น ผมใช้สองวิธี คือหนึ่ง จงใจไม่พบ หรือ หลบหน้าโดยเจตนา วิธีนี้ผมจะใช้กับบรรดาเพื่อนที่ประสบผลสำเร็จในเส้นทางสายกฏหมาย โดยเฉพาะที่ได้รับราชการในตำแหน่งสำคัญ ๆ เช่นผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ทั้งนี้ก็เพราะผมรู้สึกมีปมด้อยเมื่อตอนไปอยู่ท่ามกลางผู้สำเร็จเหล่านี้ ยอมรับว่าผมเป็นคนทะเยอทะยาน แต่เข้าใจความจริงของชีวิต แม้จะไม่ได้หมายเป็นอันดับหนึ่งตลอด แต่ผมไม่เคยพอใจกับอันดับสุดท้าย จึงเลี่ยงที่จะไปพบปะเพื่อน ๆ ผู้สำเร็จในสายราชการเหล่านี้ ส่วนอีกพวกคือพวกที่ล้มเหลวเหมือนผม อันนี้ให้มันเป็นไปตามสภาพและชะตาชักนำ คือ หากเจอกันหรือได้ข่าว หรือสะดวก ก็จะเจอกันบ้าง แต่หากต้องดิ้นรนแสวงหาติดตามหากันด้วยความยุ่งยากลำบาก ผมก็วางเฉย ประมาณว่า ได้เจอกันก็ดี แต่หากไม่เจอก็ไม่เป็นไร

        ผมวางตัวเช่นนี้มานาน จนกระทั่งวันหนึ่งได้เกิดเรื่องที่จำต้องฝืนกฎของตัวเอง คือจำเป็นต้องพบเพื่อนที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางราชการสายกฏหมาย เรื่องมันก็เป็นผลจากการที่ผมเป็นผู้ประกอบธุรกิจสัมปทานเหมืองแร่ที่มีรายรับในระดับสูง จึงถูกเชิญให้เป็นสมาชิกของหอการค้าจังหวัดที่ผมไปทำเหมืองแร่อยู่ เพราะรายได้ในธุรกิจเหมืองแร่ค่อนข้างสูงกว่าธุรกิจอื่น ๆ ทำให้ผมถูกมองเป็นผู้มีฐานะดี อยู่ในฐานะที่พอจะเอื้อเฟื้อองค์กรเอกชนแห่งนี้ได้โดยไม่ลำบาก จึงมักจะถูกขอให้ช่วยในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพื่อการพัฒนาขององค์กรอยู่บ่อย ๆ จนในที่สุดสมาชิกก็ตอบแทนด้วยการยกผมขึ้นเป็นหัวหน้าองค์กรในตำแหน่ง ประธานหอการค้าจังหวัดเสียเลย

        ในตำแหน่งประธานหอการค้าจังหวัด ผมมีหน้าที่จำต้องทำโดยไม่เต็มใจทำหลายอย่าง พูดกันในภาษาสมัยใหม่ ก็ประมาณว่าต้องทำตัวแบบมืออาชีพ หนึ่งในจำนวนนั้น คือการร่วมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงต้อนรับหรือเลี้ยงส่งข้าราชการระดับหัวหน้าส่วนจังหวัดหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกรมกองในกระทรวงมาเยือน ไม่ว่าจะมาตรวจราชการหรือส่วนตัว ซึ่งองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องกับราชการประจำจังหวัดนั้นมักจะจัดให้มีการเลี้ยงฉลองจนเป็นธรรมเนียมกันแทบทุกจังหวัด แต่สำหรับผมไม่เคยเห็นดีเห็นงามกับเรื่องพวกนี้เลย เพราะผมคิดว่าจำนวนเงินที่จ่ายไปเป็นการใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ และส่วนใหญ่ในแทบทุกจังหวัด หอการค้าจะเป็นเจ้าภาพใหญ่ ออกค่าใช้จ่ายมากกว่าองค์กรอื่น เพราะว่าหอการค้าเป็นองค์กรที่รวมกันของคนค้าขายที่มีรายได้ดี เป็นเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ โดยตรง จึงควรจะออกมากกว่าใคร ขณะอยู่ในตำแหน่งประธานหอการค้าจังหวัดผมพยายามทำตัวแบบมืออาชีพอย่างเต็มความสามารถ ทำหลายอย่างที่ตัวเองไม่ชอบ แต่เพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่ชอบ

        จนกระทั่งมาถึงอีกงานหนึ่งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยเห็นดีเห็นงาม แต่คราวนี้ข้าราชการที่ย้ายมาเป็นผู้ที่ผมรู้จักและคุ้นเคยกันมาก่อน ซึ่งเมื่อครั้งในวัยหนุ่มถือได้ว่าสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เขาผู้นั้นคือ “ท่านอนุชา” ผู้พิพากษาที่จะย้ายมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าศาลจังหวัดที่ผมทำเหมืองแร่อยู่

        ท่านอนุชา เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ของผม เราเคยสนิทสนมกันมากสมัยเรียน พักอยู่ในหอพักเดียวกัน อยู่ห้องเดียวกัน จึงถือได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนร่วมรุ่นและเพื่อนร่วมห้องพักหรือรูมเมตกัน เราจึงได้ใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดมาด้วยกัน สมัยเป็นนิสิต ผมกับท่านอนุชาถือได้ว่าเป็นนักดื่มระดับคอทองแดง ดื่มได้มากและบ่อย ตอนเมาได้ที่เรามีวีรกรรมตลก ๆ ให้เป็นที่จดจำของเพื่อนร่วมหอและร่วมวงเหล้าหลายเรื่อง ผมกับท่านอนุชามีพฤติกรรมหลังการเมาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่นผมชอบพูดมากเวลาไม่เมา แต่เวลาเมาได้ที่จะนั่งสงบ ไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่ท่านอนุชาปกติเป็นคนพูดน้อย แต่เมาขึ้นมาพล่ามไม่หยุดชนิดแทบจะไม่ได้หายใจกันเลย เวลาเมาผมมีนิสัยแปลกตรงที่ชอบหลับ และหลับได้ทุกที่ แม้ตอนไปปัสสาวะ หลายครั้งที่ผมหายไปจากวงเหล้า แล้วเพื่อนร่วมวงก็ไปตามหาเจอในลักษณะที่หลับฟุบอยู่ตรงไหนสักแห่ง แต่ท่านอนุชาเมาแล้ว ชอบเดินเพ่นพ่านไปมานั่งไม่ติดที่ และชอบปัสสาวะไม่เป็นที่โดยเฉพาะบนถนน จนเป็นที่แซวกันว่า คนในซอยนั้นไม่มีใครไม่เคยเห็นของลับของท่านอนุชา เพราะเมาได้ที่ทีไรท่านอนุชาชอบไปยืนปัสสาวะโชว์ของลับหราไม่เป็นที่ ผู้คนผ่านไปมาก็ไม่สนใจ แต่เมื่อหายเมาก็หนีหน้าด้วยความอายไปเป็นพักๆ ทว่าเมื่อเมาอีกก็ทำแบบเดิมอีก เรื่องของเราจึงกลายเป็นตำนานทะลึ่งของหอพักนั้น ที่น้อง ๆ รุ่นต่อๆ  มานำมาเล่าต่อกันอย่างขบขัน

        หลังจากเรียนจบผมกับท่านอนุชาก็ยังไปมาหาสู่กัน ยังร่วมวงร่ำเมรัยอย่างมาราธอนกันอยู่นานพอสมควร จนเมื่อผมตัดสินใจหันหลังให้กับอาชีพเส้นทางสายกฎหมาย เราทั้งสองก็เริ่มห่างเหินกัน แล้วเมื่อได้ข่าวว่าท่านอนุชาสอบผู้พิพากษาได้ ผมก็จงใจหลบหน้าไม่อยากเจอท่าน เพราะรู้สึกมีปมด้อย และอับอายในความล้มเหลวที่ตัวเองประสบ หลังจากนั้นมาแม้จะได้ข่าวคราวของท่านอยู่บ้าง ทำนองว่าไปประจำอยู่ที่ศาลนั้นศาลนี่ แต่ผมก็ไม่เคยมีความรู้สึกอยากเจอเลย แต่ครั้งนี้ ผมเกิดความรู้สึกยินดีที่จะได้เจอเพื่อนเก่าคู่หูขาเมามาราธอนในอดีตเมื่อครั้งเป็นนิสิต ทั้งนี้ ก็เพราะว่าวันนี้ผมมีฐานะเป็นนายเหมือง เป็นประธานหอการค้า เป็นคนพอมีหน้ามีตาระดับจังหวัด ลดปมด้อยที่เคยมีลงไปได้มากแล้ว ด้วยเหตุนี้ในงานเลี้ยงต้อนรับหัวหน้าศาลจังหวัดท่านใหม่ ผมจึงทุ่มเทเต็มที่ทั้งกำลังทรัพย์และกำลังแรง ดำเนินการตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งต่างกับงานก่อน ๆ ที่มักจะให้ผู้ช่วยหรือไม่ก็รองประธานหอการค้าที่มีอยู่สองคนรับภาระไปดำเนินการ ผมมักจะถอยมาดูอยู่ห่าง ๆ

        ขณะเตรียมงานต้อนรับ ไม่รู้ว่าผมเกิดเผลอเล่าความสัมพันธ์กับท่านหัวหน้าศาลคนใหม่ให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งฟัง แล้วเรื่องก็ขยายต่อออกไป จนเป็นที่ทราบกันในวงกว้างว่า ผมกับท่านหัวหน้าศาลท่านใหม่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเรื่องนี้สร้างความยินดีปรีดาให้กับมวลสมาชิกที่รับทราบ เพราะพวกเขารู้สึกพลอยมีหน้ามีตาและรู้สึกเข้มแข็งที่มีประธานเป็นเพื่อนกับผู้พิพากษาหัวหน้าศาล

        ในงานจัดเลี้ยงต้อนรับท่านอนุชา ในฐานะผู้พิพากษาหัวหน้าศาลคนใหม่  มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมีข้าราชการระดับหัวหน้าส่วนจังหวัด สมาคม องค์กรเอกชน คหบดี และคนมีหน้ามีตาของจังหวัดมาร่วมกันอย่างคับคั่ง ทำให้บรรยากาศในงานครึกครื้นกว่าที่เคยจัดมา และในงานนั้นได้เกิดเรื่องเซอร์ไพรส์หรือมีกิจกรรมนอกกำหนดการที่ผมได้รับทราบก่อนอย่างหนึ่งนั้นคือ ผมได้ถูกเชิญขึ้นเวที แล้วให้เล่าเรื่องความสัมพันธ์กับท่านหัวหน้าศาลสมัยเรียนหนังสือมาด้วยกัน ตอนนั้นผมดื่มเข้าไปบ้างแล้ว แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมสติได้ และหลายปีมาแล้วที่ผมไม่ได้ดื่มแบบเมาเอาจริงจังเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ในร่างกายก็กระตุ้นให้ผมรู้สึกสนุก ที่ได้เล่าเรื่องสมัยเป็นคู่หูคู่ซื้อกับท่านหัวหน้าศาล ผมเล่าอย่างเมามัน และมีความสุข เพราะนานมากแล้วที่ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้น ไม่ได้คุยกับใครในเรื่องสมัยนั้น ผมจึงเล่าไปยืดยาว ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงโห่เชียร์ของแขกในงาน แต่เรื่องเล่าส่วนใหญ่ผมคัดกรองแล้ว เล่าอย่างระมัดระวังในพฤติกรรมในอดีตของท่าน เพราะแม้ว่าผมจะล้มเหลวในอาชีพสายกฎหมายไม่ได้เป็นผู้พิพากษา แต่ผมก็พอจะรู้มารยาทและการวางต่อผู้พิพากษาพอสมควร

        แต่กระนั้นเรื่องเล่าของผมในคืนนั้น แม้จะเป็นการสร้างบรรยากาศครื้นเครงในงานได้อย่างดี แต่ก็มาทราบในตอนสายของวันถัดมาว่า เจ้าของเรื่องคือ “ท่านอนุชา” ไม่พอใจกับเรื่องที่ผมเล่าออกไปหลายอย่าง ถึงกับโทรศัพท์ไประบายและตำหนิกับเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนที่ท่านไปมาหาสู่กัน โดยเฉพาะในกลุ่มราชการสายกฏหมายด้วยกัน ผมมาทราบเรื่องก็เพราะตอนสายมีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งรับราชการเป็นนายตำรวจใหญ่ระดับผู้กำกับ ซึ่งผมไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนนี้นานพอ ๆ กับที่ห่างจากท่านหัวหน้าศาล แต่แล้วเขาก็โทรมา ผมให้รู้สึกแปลกใจ เขาเริ่มต้นด้วยการทักทายถามข่าวคราวตามมารยาท แล้วก็เริ่มเข้าสู่เป้าหมายที่โทรมาคือ ตำหนิผมในเรื่องที่ผมทำลงไปในคืนนั้น ทำนองไม่ให้เกียรติท่านหัวหน้าศาล เล่าในเรื่องที่เคยเหนือกว่าท่านหัวหน้าศาลหลายอย่าง เช่นเคยได้เกรดในบางวิชาดีกว่า เคยติวบางวิชาให้กัน เคยดื่มได้มากกว่า เล่าถึงการดื่มในเกมดื่มมาราธอน ซึ่งเป็นเกมที่เรานิยมเล่นกันในหอพักตอนนั้น และอีกมากมายที่เขารวบรวมมาสาธยายขยายความและชี้ให้เห็นเป็นความผิดและความไม่ถูกไม่ควรของผม แล้วก็ตบท้ายด้วยการตำหนิ และว่ากล่าวเชิงตักเตือนว่า ผมควรจะวางตัวกับท่านผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับฐานะของท่าน อันเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า ตอนนี้ฐานะของท่านกับผมมันคนละชั้นกันเสียแล้ว จะตีตัวเสมอกันเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว  ผมฟังคำแนะนำนั้นอย่างเงียบ ๆ และงง เพราะยังไม่ตื่นสนิทดี เมื่อคืนอยู่ในงานดึก คุยมาก จนเสียงแหบแห้ง และเพลียจัด จึงต้องการเวลาพักผ่อนมากกว่าวันปกติ แต่ถูกโทรศัพท์มาปลุกก่อนเวลา ตอนนั้นผมทำได้ก็เพียงรับปากกับท่านผู้กำกับผู้ทรงเกียรติที่เคยมาเคาะประตูขอแบ่งมาม่าผมกินอยู่บ่อยๆ ตอนที่เรียนและพักอยู่หอพักเดียวกัน

        แต่ผู้กำกับไม่ใช่คนแรกที่โทรมาถามความเป็นไปของเหตุการณ์คืนนั้น แล้วก็ลงเอยด้วยการตำหนิ ลงท้ายด้วยการว่ากล่าวตักเตือนอย่างนุ่มนวล คนที่โทรมาพวกนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็เคยอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกัน  เคยร่วมวงเฮฮาอยู่ในวงสุราราคาถูกด้วยกันสมัยเรียน แต่ผมไม่ได้พบพวกเขามาเกิน 10 ปีทุกคน และทุกคนล้วนแต่เป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคมส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในฐานะควรเชิดชูยกย่องและให้ความเคารพยำเกรง ผมเข้าใจว่าเรื่องในคืนนั้นถูกขยายไปในวงของพวกเขาโดยใครบางคน แล้วก็แจกเบอร์ผมให้ช่วยกันโทรมาว่ากล่าวตำหนิตักเตือน พวกเขาทำราวกับว่าผมยังเป็นนิสิตขี้เมาเอาแต่สนุก พวกเขาอาจจะได้ข่าวความไม่เป็นโล้เป็นพายในหลายอาชีพของผม เหตุการณ์นั้นทำเอาผมอึดอัดและเริ่มคิดมาก จนถึงกับต้องตั้งสติทบทวนว่าคืนนั้นได้เผลอทำอะไรผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่ลงไปจริง ๆ หรือ แต่ทบถ้วนทวนความกี่ครั้ง ก็ยังไม่พบเหตุนั้น นอกจากการเล่าถึงสถานะตัวเองที่เคยเสมอหรือเหนือกว่าในบางเรื่องกับท่านหัวหน้าศาล พยายามคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง โดยมองหาความผิดอันจะพึงมีพึงเกิดจากเหตุการณ์ในคืนนั้น แต่ก็ยังมองไม่ออก นอกจากการตีตนเสมอท่าน ด้วยความเข้าใจผิดคิดเอาเองว่า อดีตท่านเคยเป็นเพื่อนเรา และปัจจุบันสายใยแห่งความเป็นเพื่อนก็ไม่น่าขาดหายไปเสียทีเดียว

        หลายปีที่ผมหันหลังให้กับอาชีพเส้นทางสายกฏหมายและข้าราชการ แล้วไปคลุกคลีกับอาชีพอื่นมากมาย ทำให้ผมค้นพบความจริงว่า ในทุกสาขาอาชีพ ในทุกตัวตนทุกผู้ทุกคน ย่อมมีความสำคัญในแต่ละหน้าที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร แล้วผมก็ยังเปิดโลกทัศน์ของตัวเองให้ก้าวพ้นเส้นทางสายเกียรติยศ อำนาจ และราชการ เห็นอะไรอื่นมีค่าและสำคัญเท่า ๆ กันหรืออาจจะเหนือกว่า ผมเชื่อว่าเรื่องที่ผมค้นพบมันเป็นเรื่องจริงที่อยู่คู่โลกนี้มาช้านาน เพียงแต่มีสายหมอกแห่งมายามาบังตา และความเขลาความงมงายบังใจ ขณะที่ถูกรุกหนักเข้า ผมเลยตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่างกับท่านผู้พิพากษาหัวหน้าศาลผู้ทรงเกียรติสูงลิ่วท่านนี้ แล้วก็เฝ้าคอยโอกาส เพราะตั้งแต่คืนนั้นมา ผมไม่กล้าพบท่านอนุชาเลย และดูเหมือนว่า ท่านอนุชาเองก็จงใจที่จะไม่พบหน้าผม แต่ผมเชื่อว่าด้วยฐานะทางสังคมระดับแนวหน้าของจังหวัดของผม คงจะมีสักครั้งที่มีเหตุให้พาไปพบกับท่านหัวหน้าศาลได้อีกครั้ง

        แล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง มันเป็นงานแต่งงานของลูกสาวรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่เคยทำงานในจังหวัดเดียวกับท่านหัวหน้าศาลมาแล้วถึงสองจังหวัด จนพวกเขาคุ้นเคยกันพอสมควร ในงานนั้นท่านหัวหน้าศาลจึงถูกเชิญมาเป็นเกียรติ ส่วนตัวผมก็ถูกเชิญในฐานะหัวหน้าองค์กรเอกชนระดับจังหวัด คืนก่อนจะมีงานจัดพิธีกราบไหว้ผู้ใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นที่บ้านพักรองผู้ว่า อันอยู่ในซอย ห่างจากศาลากลางไม่ไกลนัก แต่ซอยนั้นอยู่ในพื้นที่ต่ำ เมื่อฝนตกหนักน้ำไหลระบายไม่ทัน จึงท่วมได้ง่าย และในวันนั้นฝนตกหนัก จนน้ำท่วมบริเวณที่ราบของถนน ทำให้รถยนต์คันเตี้ย ๆ โดยเฉพาะรถเก๋งไม่สามารถขับผ่านไปได้ แต่รถผมเป็นประเภทยกสูง เพราะต้องใช้ในการขับเข้าไปในเหมืองแร่ที่มีถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อตามปกติ ส่วนท่านหัวหน้าศาลใช้รถเก๋งราคาแพงที่โหลดเตี้ยอย่างสวยงามจึงไม่สามารถเอารถไปจอดถึงหน้าบ้านที่จัดงานได้ ต้องจอดรถไว้ปากซอย แล้วอาศัยรถคนอื่นเข้าไป

        ในงานนั้นผมกับท่านหัวหน้าศาลก็ทักทายกันพอเป็นพิธี พยายามรักษาเรื่องภายในไว้ เพราะว่า แขกส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานเพื่อรับไหว้คู่บ่าวสาว ล้วนแต่เป็นบุคคลระดับมีหน้ามีตาของจังหวัด และส่วนใหญ่ก็ได้อยู่ร่วมในงานเลี้ยงฉลองต้อนรับครั้งนั้น พวกเขาจึงรู้แค่ว่าเราเคยเป็นเพื่อนสนิทสนมกันมาก่อน แต่พวกเขาไม่ทราบว่าหลังจากวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับมิตรภาพของเรา แต่ด้วยความต่างคนต่างพอมีหน้ามีตาในสังคม จึงต้องรักษามารยาท ผมกับท่านหัวหน้าศาลคุยกันพอหอมปากหอมคอไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตคนนอก เมื่อเสร็จงาน ท่านหัวหน้าศาลก็ต้องอาศัยรถคนอื่นออกไปที่จอดรถไว้ เจ้าภาพเห็นว่าผมสนิทสนมกับท่านที่สุด จึงเสนอฝากให้ผมรับท่านหัวหน้าศาลไปส่งที่จอดรถด้วย ผมรีบอาสา และแสดงอาการกระตือรือร้นเสียจนหัวหน้าศาลไม่กล้าปฏิเสธ เพราะหากปฏิเสธอาจจะเกิดข้อสงสัยขึ้นมาได้

        ในที่สุดท่านหัวหน้าศาลก็ต้องอาศัยรถผมออกมา ซึ่งผมก็ให้เกียรติโดยเปิดประตูให้นั่งเบาะหลังเพียงคนเดียว ส่วนผมนั่งคู่กับคนขับรถด้านหน้า คนขับรถคนนี้เพิ่งออกมาจากเหมืองแร่ เขาไม่เคยรู้เรื่องที่ผมเป็นเพื่อนกับหัวหน้าศาล และไม่เคยรู้จักหัวหน้าศาล จึงไม่รู้ว่าคนที่อาศัยมาด้วยเป็นใคร

        เมื่อคนขับรถเอารถออกจากหน้าบริเวณงานมาได้ ผมก็รีบฉวยโอกาสทำตามที่วางแผนไว้ก่อนแล้ว โดยเริ่มจากหันไปคุยกับคนขับรถที่ชื่ออัมพร

        “อัมพร ทำไมไม่ตัดเผ้าตัดผมเสียบ้าง ดูสิไว้เสียเป็นกระเซิงอย่างกะโจรป่า” ผมแกล้งหาทางตำหนิคนขับรถ อันเป็นการเริ่มต้นตามแผนของผม

        “อ๋อ. ช่วงนี้ไม่ว่างเลยนาย แต่พอผมว่างช่างตัดผมก็ไม่ว่าง คิวยาว เลยต้องรอกันอยู่นี่แหละ” อัมพรคงจะตอบตามความเป็นจริง เพราะน้ำเสียงของเขาฟังดูจริงจังมาก

        “อัมพรตัดผมปีละครั้งกันเนี่ย”

        “ก้อ ประมาณสิบกว่าครั้งล่ะครับ เฉลี่ยก็เดือนละครั้ง”

        “ก็เท่ากับว่าอัมพรไปพบช่างตัดผมเดือนล่ะครั้งสินะ”

        “ใช่. ครับนาย”

        “แล้วอัมพรไปศาลปีละกี่ครั้ง” ผมถามต่อ

        “โอ๊ย. ไม่อยากไปหรอกนาย จะไปทำไม ไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ไปหรอก นายไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาว่า เป็นความกันขยำขี้หมาดีกว่า มีแต่เสียกับเสีย ผมขอหลีกไว้ก่อนล่ะ”

        “งั้นถ้าให้อัมพรเลือกระหว่างผู้พิพากษากับช่างตัดผม อัมพรเห็นว่าใครสำคัญกว่ากัน”

        คนขับรถนิ่งคิดหนึ่ง ก่อนตอบว่า “สำหรับผมนะ ผมว่า ช่างตัดผมสำคัญกว่า เพราะผมต้องไปให้เขาตัดผมให้ทุกเดือน แต่ผู้พิพากษาไม่อยากไปหาหรอก ไม่ว่าแพ้หรือชนะมีแต่เสีย แค่ไปยืนหน้าบัลลังก์ก็ขาสั่นแทบเยี่ยวแตกแล้ว”

        “งั้นถ้าเลือกให้ความสำคัญระหว่างผู้พิพากษากับช่างตัดผม อัมพรจะเลือกใคร” ผมขยี้ต่อ

        “ก็ต้องเลือกช่างตัดผมสิครับ ผู้พิพากษาไม่มีค่าอะไรกับผมหรอกครับ” คนขับรถตอบด้วยสุ้มเสียงปกติ

        แต่คนที่นั่งฟังอยู่เบาะหลังน่าจะเริ่มมีอาการไม่ปกติ และยิ่งแสดงอาการนั้นออกมาชัดเจน เมื่อคนขับรถไปจอดรถให้ลงใกล้ ๆ ที่จอดรถของท่าน

        หัวหน้าศาลลงจากรถไป แล้วปิดประตูกลับค่อนข้างแรง มีเสียงดังผิดปกติ

        จนคนขับรถหันมาถามผมว่า

        “เขาไม่พอใจอะไรหรือเปล่านาย ทำไมปิดประตูแรงจัง”.

 

..................................................................

 

 

 

 Link ที่เกี่ยวข้อง     

 

          “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

           วรรณกรรมออนไลน์