เรื่องสั้น : เจ้ากอแลทำไมกินจุจัง : กิตติศักดิ์ คงคา

เรื่องสั้น : เจ้ากอแลทำไมกินจุจัง : กิตติศักดิ์ คงคา

        อาจจะเป็นเพราะเสียงระเบิดนั่นที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป

        คืนนั้นจัดเป็นคืนธรรมดา เกือบจะธรรมดาจนกระทั่งมีเสียงระเบิดลั่นมาจากอีกฝั่งน้ำ ผมกุลีกุจอลุกขึ้นมาปลุกเมีย ชวนกันวิ่งไปดูเหตุการณ์ที่ระเบียงชั้นบนของบ้าน นั่นก็เห็นชัดว่าอีกไม่กี่ร้อยเมตรข้ามฝั่งแม่น้ำขนาดแคบไป หมู่บ้านอีกฝั่งหนึ่งถูกระเบิด เปลวไฟสว่างวาบในคืนเดือนมืด ก่อนจะค่อยคลายกลายเป็นเรื่อเรืองในเงาดำ ผมหยิบบุหรี่มานั่งจุดสูบ ความฉิบหายที่เกิดขึ้นไปไม่ไกล นั่นจะเรียกว่าหายนะโดยแท้ก็ไม่ได้ เพราะความจริงสิ่งพินาศตรงหน้าคือผลประโยชน์โดยตรงต่อหมู่บ้านของพวกเรา

        หมู่บ้านนั่นชื่อกอแล

        หมู่บ้านขนาดเล็กที่ก่อตั้งโดยชนกลุ่มน้อยที่ย้ายรกรากลงตามมาทางต้นแม่น้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า นานสักไม่น่าจะเกินสิบปีได้ ผมเห็นพวกเขาพวกหล่อนตั้งแต่วันแรกที่มา บุกพงถางป่าสร้างบ้านกันอย่างพิโยกพิเกน เราต่างพูดกันคนละภาษา แทบจะไม่เคยติดต่อสื่อสารกันเลยสักครั้ง เพียงมองกันอย่างห่าง ๆ ความเป็นจริงหมู่บ้านของผมก็ไม่ได้มีสินค้าหรืออะไรให้แลกเปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างรู้จัก แต่ไม่คิดจะเจรจาพาทีให้เป็นเรื่องราว

        “พี่ว่ากอแลจะรอดไหมเนี่ย ทหารฝั่งโน้นลงหนัก ไม่ใช่ว่าจะพากันหนีไปที่อื่นเสียหมด”

        เมียของผมพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบายใจ สิ่งที่เมียผมพูดก็ตรงกับสิ่งที่ผมคิดทุกประการ สมัยยังไม่มีกอแล ทหารของประเทศฝั่งโน้นก็รุกล้ำเข้ามาในเขตหมู่บ้านผมบ่อยครั้ง ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างทนโท่ แต่เศรษฐกิจของอีกฝั่งย่ำแย่ต่อเนื่องมายาวนาน หมู่บ้านของผมถูกปล้นสะดมอยู่เนือง ๆ แจ้งไปยังทางการก็บ่อย แต่หมู่บ้านผมก็เล็กเกินกว่าที่ภาครัฐจะมาใส่ใจ สุดท้ายคนในหมู่บ้านก็ต้องเตรียมข้าวสารอาหารแห้งไว้ให้เป็นเหมือนส่วย จะให้ย้ายหนีไปก็เสียดายสายสินแร่สำคัญที่ทอดตัวยาวมากับน้ำ แต่นั่นก็ก่อนที่กอแลจะมา

        “ไม่น่าหรอกมั้ง เคยเห็นหนักกว่านี้ก็ยังรอดมาได้ทุกที”

        ผมพูดไปตามที่คิด ชาวกอแลมีน้ำอึดน้ำทนในการต่อสู้มากเหมือนเกิน ชนกลุ่มน้อยกับทหารเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอย้ายถิ่นฐานมาตั้งอยู่ สภาพก็เหมือนกลายเป็นฉนวนกันภัยที่จะข้ามมายังฝั่งนี้ด้วย คนทางนี้รู้ดีว่ากอแลช่วยหมู่บ้านเอาไว้มากเพียงใด แต่อาจเพราะเป็นด้วยคนละชาติละภาษา เราต่างจึงไม่เคยทำอะไรมากไปกว่าการช่วยภาวนาในคืนที่อีกด้านมีควันไฟ

        ผมตั้งใจจะนั่งเฝ้าดูสถานการณ์ถึงตอนเช้า ด้วยบุหรี่มวนต่อมวน เมียของผมชงกาแฟดำมาทิ้งไว้แก้วหนึ่งก่อนจะจากไปนอนตั้งแต่แสงเรื่อยังไม่เจือไป ในขณะที่ผมนั่งพิศภาพนั้นไปจนเกือบเช้า เผลอหลับไปตอนไหนก็จำไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเพื่อนบ้านวิ่งมาเรียกว่ามีเรื่องด่วน ผมรีบคว้าปืนที่แขวนไว้บนข้างฝาและวิ่งตามออกไป

        “หมูหลุดมาจากฝั่งกอแลน่ะพี่ พวกเราจะเอายังไงดี”

        หมูที่ว่าไม่ใช่หมูเลี้ยงตัวสีขาวนวลที่เห็นกันได้ตามตัวเมือง แต่หมูที่ทะเล่อทะล่าวิ่งมาอยู่กลางหมู่บ้านตอนนี้คือหมูป่าสีดำมะเมื่อม ดูจากอาการแล้วไม่ได้ดุร้ายมากแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าเชื่องนัก ชาวกอแลคงไล่ต้อนมาขังคอกไว้รอเชือดตอนงานใหญ่ จะว่าชินคนก็พอได้ แต่ด้วยอาการก็ยังน่ากังวลอยู่ดี ชาวหมู่บ้านพากันมามุงอยู่เป็นสิบคนได้ ในขณะที่ไอ้หมูตัวนั้นกระฟัดกระเฟียดซ้ายทีขวาที แต่ก็ไม่ได้ออกไล่ต้อนใครจนต้องลั่นไกยิง

        “ฆ่ามันเถอะพี่ หมูแบบนี้เลี้ยงได้ที่ไหน”

        เสียงหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งในหมู่บ้านพูดพร้อมชูปืนขึ้นเล็ง หมูตัวนั้นเหมือนจะจับสังเกตได้หันมาสบนิ่ง ท่าทางเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย

        “ปล่อยมันไปเถอะ” ผมพูดพลางปัดปืนให้สูงขึ้นไปอีกทาง “หมูของฝั่งกอแลเขา ไม่รู้ว่าเป็นหมูพิธีหมูศักดิ์สิทธิ์อะไรหรือเปล่า ถ้าเขามาตามแล้วเจอว่าเราฆ่าไปแล้วจะยุ่ง”

        ผมพูดเสียงดังโดยตั้งใจให้คนอื่นที่ยืนมุงกันอยู่ได้ยินด้วย หลังจบประโยค เสียงกระซิบกระซาบก็ดังขึ้นทันที ตรงกันข้ามกับเจ้าหมูอ้วน อยู่ดี ๆ มันก็พลิกตัวหันลงไปนอนกับพื้นเสียสบายใจเฉย คนที่ล้อมดูอยู่ได้จิ๊ปากไปมาอย่างขัดใจ

        “แล้วจะปล่อยมันไว้อย่างงี้เหรอพี่ ใครจะเลี้ยง ท่าทางกินจุจะตาย” เสียงจากอีกด้านหนึ่งร้องถามมา

        “ก็ปล่อยมันไว้แบบเนี้ยแหละ เดี๋ยวมันเบื่อ มันก็หายเข้าป่าไปเอง หมูป่าแบบนี้มาอยู่ตามบ้านได้ไม่นานหรอก ไม่ใช่สัญชาตญาณมัน อย่าไปฆ่ามันก็พอ เดี๋ยวคนฝั่งนู้นมารู้จะผิดใจกัน”

        ผมพูดและเหมือนใครต่อใครในหมู่บ้านนี้ก็เหมือนจะเห็นด้วย ต่างคนต่างเริ่มทยอยกลับบ้านไปทำมาหากินของตัวเองต่อ มีบ้างที่บ่นไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็จนจะหาเหตุผลอื่นมาคัดง้าง ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากตรงนั้น ลานกลางหมู่บ้านที่เจ้าหมูนั่นนอนหลับอุตุสบายใจ มันน่าจะตกใจหนีเสียงระเบิดเมื่อคืนเตลิดเปิดเปิงข้ามฝั่งแม่น้ำมา

        แต่เจ้าหมูนั่นไม่เคยจากไปจากหมู่บ้าน

        จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี หมูตัวดำด้านก็ยังเดินเฉิดฉายไปมาตามถนนและทางด่าน ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้ เป็นชาวบ้านคนหนึ่งของหมู่บ้านนี้ ใครสักคนตั้งชื่อให้มันว่ากอแล ตามชื่อหมู่บ้านที่คิดว่ามันจากมา ผมเองก็เจอมันบ่อยครั้ง อันที่จริงก็คงจะเป็นทุกคนที่เจอมันก็ว่าได้ มันเดินไปเดินมา ใช้ชีวิตเป็นชาวบ้านธรรมดาหนึ่งคน

        “เจ้ากอแลนี่มันกินจุจัง”

        ใครต่อใครในหมู่บ้านต่างบ่นกันแบบนั้น ช่วงแรกเจ้ากอแลก็อาศัยกินลูกไม้ใบหญ้าเศษอาหารที่เหลือจากตามครัวเรือน แต่พอนานวันเข้า มันก็เริ่มเหิมเกริมเดินโทง ๆ เข้าในสวนใครต่อใครอย่างเปิดเผย เลือกเด็ดกินผลไม้เปล่งปลั่งจนพอใจ หวิดจะโดนไล่ยิงก็หลายครั้ง แต่พอเห็นว่าเป็นเจ้ากอแล เจ้าของสวนก็ทำได้แต่หงุดหงิดใจ คว้าไม้มาตีกระป๋องกาละมังไล่มันไปตามเรื่อง

        แม้จะโดนตะเพิดมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เจ้ากอแลก็เดินเฉิดฉายอยู่กลางถนนของหมู่บ้านราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อชาวบ้านเห็นว่าจัดการเจ้าหมูจอมตะกละได้ยากก็หันมาล้อมรั้วบ้านและสวนของตัวเองให้แข็งแรงแน่นอนแทน แต่ก็ยาก ด้วยแรงของหมูตัวเบ้อเร่อ ไม่ว่าจะไม้หนากี่ท่อนก็ล้มลงได้โดยง่าย เป็นแบบนั้นมาจนใครต่อใครก็ต่างชินชา

        “หมูมันก็กินจุแบบนี้แหละ”

        ผมตอบเมียที่เพิ่งมาเล่าเรื่องกอแลบุกไปในสวนชาวบ้านให้ฟัง หลัง ๆ พอรู้ว่าจัดการเจ้าหมูนั่นไม่ได้ ทุกคนก็อาศัยวิธีทำใจและปลูกผักปลูกผลไม้ไว้เผื่อมันเสีย เหมือนจ่ายค่าภาษีอากร และดูเหมือนวิธีนั่นก็จะเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวด เพราะเจ้ากอแลมันรู้มากพอที่จะกินบ้านโน้นทีนี้ที ไม่ตะกละถึงขนาดฟาดสวนใครเสียเรียบ กินได้อิ่มหนึ่งก็ย้ายไปกินบ้านอื่นต่อ เอาแค่พอไม่เกลียดขี้หน้ากัน ชาวบ้านคนหนึ่งว่าไว้ มันกินจนพอใจเดี๋ยวมันก็ไปเอง

        “โชคดีนะที่บ้านเราไม่มีสวน”

        “อื้อ โชคดี”

        ผมตอบพลางควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ บ้านของผมไม่มีสวน เพราะประกอบอาชีพหาสินแร่อัญมณีมีค่าที่มากับธารน้ำเป็นหลัก ผมจึงไม่ค่อยได้รับความเดือดร้อนจากเจ้ากอแลมากนัก อันที่จริงมันแทบไม่เคยมาเยี่ยมเยียนบ้านผมเลยสักครั้ง จะพอมีบ้างก็แค่เดินสวนไปมากันตามถนนในหมู่บ้านบ้างเป็นครั้งคราวก็เท่านั้นเอง

        เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้จนกระทั่งผมได้มีโอกาสเจอชาวกอแลตัวเป็น ๆ เป็นครั้งแรก วันนั้นผมไปร่อนแร่อยู่ริมน้ำที่เป็นอาณาเขตกั้นระหว่างสองประเทศ ชาวกอแลสองสามคนก็พากันมาที่ริมน้ำด้วย เหมือนจะเอาข้าวของเครื่องใช้อะไรสักอย่างมาล้างน้ำ พวกเราจึงมีโอกาสได้พูดคุยกัน ผมพอมีทักษะภาษาของชนกลุ่มน้อยอีกฟากประเทศอยู่บ้างจึงตะโกนทักไปตามมารยาท เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ได้แต่เงี่ยหูฟัง

        แต่ดูเหมือนคนกอแลจะไม่ได้ใช้ภาษาอย่างที่ผมเคยเรียนมาสมัยเด็ก ๆ คล้ายอยู่บ้างบางส่วน บางคำ แต่ก็ไม่มากพอจะจับให้ได้เนื้อความเป็นประโยคได้ ผมจึงต้องคุยพอประทังไปอย่างกระอักกระอ่วน จะตัดบทสนทนาเสียก็กลัวอีกทางจะไม่เข้าใจ แต่จะชวนคุยให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

        ผมตะโกนเล่าไปว่ามีหมูตัวใหญ่หลุดมาจากฝั่งกอแลด้วย พอพูดเสร็จคนฟากโน้นก็ทำท่าตกใจผสมกับเหมือนจะแปลความไม่ค่อยออกนัก ผมจึงต้องย้ำอีกทีว่ามีหมูตัวหนึ่งหลุดมาจากฟากกอแลในวันที่เกิดเหตุระเบิดอย่างหนัก อีกฝ่ายก็ย้ำถามกลับมาซ้ำถึงคำว่าหมู จนสุดท้ายผมกลัวจะเข้าใจผิดเลยต้องเอานิ้วดันจมูกให้ดูเป็นสัญลักษณ์ นั่นเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจในที่สุด

        “พวกเราไม่เลี้ยงหมู” ใครที่พูดกับผมตอบ “ถ้าเจอหมู เราก็ฆ่าเลย ไม่เคยเลี้ยงไว้ หมูที่พูดถึงน่าจะเป็นหมูป่ามากกว่า”

        ชาวกอแลกลุ่มนั้นตอบเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจากไป ผมออกจะงุนงงกับเรื่องราวตรงหน้าอยู่ไม่น้อย ลองหันไปสอบถามคนที่ไปด้วยกันก็ถอดความได้ประมาณเดียวกัน เจ้ากอแลไม่ได้มาจากกอแล แต่มันเป็นหมูที่หลุดมาจากไหนไม่รู้ เพื่อน ๆ ที่มาด้วยก็บ่นถึงความแปลกประหลาดนี้ไปตามกัน อะไรมันจะช่างเหมาะเจาะพอดีทุกอย่างกันแบบนี้

        เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็ได้เล่าให้เมียฟังถึงความประหลาดนี่เป็นคนแรก เมียของผมก็ดูจะฉงนไปไม่แพ้กัน มือที่จัดสำรับอาหารเย็นไปก็บ่นไปด้วย

        “แปลกจังเลยนะพี่ อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น”

        “นั่นสิ อย่างกับมันจงใจโผล่มาวันที่มีการระเบิดพอดียังไงยังงั้นแหละ”

        ผมยกกาแฟขึ้นจิบตามนิสัยแม้จะเป็นมื้อเย็น คุยกันได้อีกสักประโยคสองประโยคก็ลืมเรื่องเจ้าหมูตัวดำเสียหมด ชวนกันคุยเรื่องอื่นไปจนฟ้ามืด เมียของผมจัดการล้างจานเก็บครัว ส่วนผมออกมานั่งนอกชานตามนิสัย สูบบุหรี่ปิดท้ายมื้ออาหารด้วยความเคยชิน คืนนี้ไม่มีแสงสว่างวาบขึ้นมาที่ฝั่งกอแลอีกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันผมกลับได้ยินเสียงสอกแสกอะไรดังมาจากสวนข้างบ้าน ชั่วอึดใจแรกผมนึกถึงขโมย สัญชาตญาณสั่งให้ผมหยิบปืนคู่ใจกับไฟฉาย 8 ท่อนขึ้นมาหาต้นตอ

        เจ้ากอแล...

        แสงที่สาดไปพบว่าเป็นเจ้าหมูนั่นที่กำลังสวาปามกินผลไม้ของสวนข้างบ้านอย่างสบายใจเฉิบ ผมอึ้งไปอย่างทำอะไรไม่ถูกนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นกับตาว่าเจ้ากอแลกำลังลงมือโจรกรรมทรัพย์สินของชาวบ้านไปแบบนี้ ผมจงใจส่องไฟฉายจี้ไปที่ใบหน้า แต่มันก็กลับหันมาลอยหน้าลอยตาไปมาอย่างท้าทาย ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวหรือยำเกรงใด จนสุดท้ายเป็นผมที่ต้องดับไฟฉายไปเสียเอง

        รุ่งเช้าเพื่อนบ้านตรงมาที่บ้านตั้งแต่เช้า ถามว่าผมเห็นเจ้ากอแลบ้างหรือไม่เมื่อคืน เพราะทำเลที่มันเข้ามาอยู่ฝั่งเดียวกันกับชานเรือนที่ผมชอบนั่ง

        “บ้านผมเปลี่ยนรั้วมาสี่รอบแล้วนะพี่ ผมว่านี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ”

        เจ้าทุกข์บ่นอย่างหัวเสีย ผมเองก็พูดอะไรไม่ถูกนัก ทั้งผัวทั้งเมียเจ้าของสวนดูจะเต็มไปด้วยความเครียดและขึ้งแค้นอยู่พอสมควร

        “เอาน่า มันกินอิ่มแล้วมันก็ไป มันก็ไม่ได้กินเสียหมดสวน”

        “ไม่หมดแต่มากินทุกวันแบบนี้ก็เหมือนหมดหรือเปล่าพี่ ผมว่าเราควรจะจัดการอะไรให้มันเป็นเรื่องเป็นราวกันได้แล้วนะ”

        “มันก็แค่หมูตัวเดียวน่า อย่าไปจริงจังกับมันมากเลย”

        ผมบ่นพลางส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ คนที่เอาเรื่องมาปรึกษาพอเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทางจะเห็นด้วยก็ดูจะละความพยายาม ไม่ได้ยื้อจะโน้มน้าวอะไรผมต่อ นั่งอยู่อีกแค่ไม่นานก็จากไป สักไม่เกินชั่วโมงข้ามผมก็ไม่ยินเสียงค้อนเคาะกับตะปูอีกครั้ง น่าจะกำลังซ่อมแซมรั้วกันขนานใหญ่ ดูจากท่าทางเมื่อคืนแล้วคงจะเสียหายน่าดู

        และคืนนี้ผมก็ออกมานั่งชมบรรยากาศเช่นทุกครั้ง

        หลังมื้ออาหารเป็นเวลาอันดีที่สุดที่จะทอดกายลงบนเก้าอี้เอน สูบบุหรี่สักตัว นั่งฟังเสียงไพรสงบ สรรพสัตว์ที่ร้องก้องมาสร้างเป็นมหรสพแห่งป่าเขา ผมเกือบจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว จนกระทั่งผมได้ยินเสียงกระฟัดกระเฟียดดังอยู่ในความมืด ผมรีบคว้าไฟฉายมาดูอีกครั้ง คิดว่าเจ้ากอแลคงจะบุกมากินผลไม้ในสวนของคนข้างบ้านอีก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจออะไร ทั้งสวนมืดสงบ ในขณะที่เสียงการเคลื่อนไหวก็ยังไม่ได้หายไปไหนเลย ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพียงอุปาทาน หรือไม่เจ้ากอแลก็คงกำลังบุกสวนใครอยู่ที่ห่างไกลออกมาก แค่ลมตีมาจนเหมือนใกล้ สุดท้ายผมก็เผลอหลับไปอีกครั้ง

        “ฉิบหายแล้วพี่ !”

        ผมสะดุ้งตื่นอีกครั้งด้วยอารามตกใจ ลืมตามาก็เห็นเมียตัวเองมาเขย่าตัวด้วยอาการพรั่นพร่าปนตระหนัก ผมดีดตัวลุกขึ้นคว้าปืนเป็นอย่างแรก อาจจะเป็นขโมย เมียผมพูดโวยวายอะไรไม่รู้เรื่องแต่ก็เดินนำทางไปชั้นล่าง ชี้มือชี้ไม้เล่าอะไรผิด ๆ ถูก ๆ จับใจความไม่ค่อยได้ ได้ยินแค่เป็นคำ ๆ มัน เข้ามา ขโมย ไปหมดแล้ว ผมกำปืนในมือแน่น มือคว้าประตูเปิดผางเข้าไปในห้องรับแขก

        สภาพห้องเละเทะไม่มีชิ้นดี รอยกำแพงบ้านด้านหนึ่งโหว่เป็นรูใหญ่ส่วนในห้องข้าวของก็ระเกะระกะเละเทะ ผมกวาดปืนไปก็ไม่เคยใครอื่นอีกที่อยู่ในห้อง แต่พอหันมาที่โต๊ะ ใจก็ตกไปถึงตาตุ่ม ขาแข้งพาลอ่อนไปโดยไม่ได้ตั้งตัว

        “ไอ้กอแลมันกินพลอยที่เตรียมไปขาย ไปหมดเลยพี่” เสียงเมียผมเล่าสั่น “ลงมาเห็นตอนมันวิ่งหนีไปพอดี ปากยังมีแสงวิบวับอยู่เลย”

        ผมลุกขึ้นอย่างโมโห พลอยพวกนี้กว่าจะรวมได้สักกองใหญ่พอจะคุ้มค่ารถไปขายในตัวเมืองก็สนนราคาเป็นหมื่นบาท ไอ้หมูตะกละนั่นมากินไปแค่คราวเดียวก็หมดเกลี้ยง ผมหันรีหันขวางอย่างไม่พอใจ สายตาไปเห็นช่องโหว่กำแพงที่มันทลายเข้ามาก็ยังเจ็บใจไม่หาย ปืนในมือกดไกเปรี้ยงไปตามช่องว่างที่เปิดกว้างไปสู่ความมืดตรงหน้า

        หลังจากเสียงปืนดังได้ไม่นาน หมู่บ้านก็พลันกลับมาสว่างไสว ใครต่อใครก็พากันยกพลมาถึงที่บ้านของผมอย่างระแวดระวังในเหตุร้าย แต่เมื่อมาถึงเห็นว่าเป็นเหตุจากเจ้ากอแลก็พากันตลกกันเสียจนงอหาย ไม่มีใครจริงจังจะถือสาเอาความ

        “มันก็แค่หมูตัวเดียวน่า อย่าไปจริงจังกับมันมากเลย”

        ใครสักคนพูดกับผมก่อนจะขอตัวลากลับไป คืนนั้นผมนอนไม่ได้ยันเช้า ด้วยความหงุดหงิดบางอย่างที่ไม่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิต ผมจึงเอาไม้กระดานที่พอมีกับเครื่องไม้เครื่องมือมานั่งซ่อมกำแพงบ้านที่โหว่เป็นรอยใหญ่ไปพลาง ๆ ในใจก็ยังนึกไปถึงหน้าไอ้เจ้าหมูกอแลที่ลอยหน้าลอยตาไม่เกรงกลัวต่อความผิดไม่หาย ผมฟาดค้อนลงบนตะปูอย่างเจ็บใจ สมองก็นึกไปถึงความเป็นได้อื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

        ผมจะยอมให้เจ้ากอแลเข้ามาปล้นบ้านอีกไม่ได้ กอแลมันจะไปลักกินขโมยกินของจากบ้านไหนก็ได้ แต่นั่นต้องไม่ใช่บ้านผมแน่นอน !

 

.....................................................................

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

                วรรณกรรมออนไลน์