เรื่องสั้น : คฤหาสน์แห่งอสรพิษ : จิรภัทร คงถนอมธรรม

เรื่องสั้น : คฤหาสน์แห่งอสรพิษ : จิรภัทร คงถนอมธรรม

 

            1.

            เช้าวันใหม่เดินทางมาถึงพร้อมกับข่าวร้ายอันน่าสยดสยอง... ทันทีที่ประตูบานเทาหม่นถูกผลักให้เปิดออกกว้างอีกครั้ง พลันเสียงฮือฮาก็ดังในหมู่ผู้คนที่ออกันอยู่ด้านนอก บางคนเกิดอาการคลื่นเหียน บ้างหวาดผวา ขนพองสยองเกล้าจนต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น บรรยากาศวุ่นวายกว่าเก่าเมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิลูกกตัญญูพาร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวผู้โชคร้ายนางนี้ออกมา คมเขี้ยวที่ฝากแผลเป็นรูขนาดใหญ่สองรูไว้ที่ต้นคอซึ่งมีรอยเลือดไหลเกรอะกรัง ใบหน้าช้ำเลือดช้ำหนองที่ตาเหลือกลานอย่างหวาดกลัวสุดขีด สร้างความสะเทือนใจให้แก่คนละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง

            จากคำกล่าวของผู้เป็นสามี ขณะเกิดเหตุเขาหลับอยู่บนบ้าน คลับคล้ายว่าได้ยินเสียงหวีดร้องดังมาจากชั้นล่างในยามวิกาล แต่ไม่ได้เอะใจอะไร ด้วยว่าตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักและเสียงฝนก็ได้กลบทับทุกสุ้มเสียง ชายหนุ่มจึงล้มลงจมดิ่งสู่ห้วงฝันต่อ พอรุ่งสางย่ำเยือนและฝนเคลื่อนผ่านไปแล้ว เขากลับพบว่าภรรยาของตนเองยังไม่กลับมาจากการทำงานล่วงเวลาที่บริษัทจึงประหลาดใจเป็นอย่างมาก ป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก หายไปไหนวะชายหนุ่มเลยลองโทร.หาเธอดู หลังรอได้ประมาณหนึ่งนาที ความประหลาดใจก็บังเกิดขึ้น เพราะจู่ ๆ ก็มีเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งแว่วมากับบรรยากาศวังเวงเขาจำได้แม่นว่านั่นคือเสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือของภรรยาเขา ดังแว่วมาจากหลังบ้าน ชายหนุ่มตัดสินใจตามเสียงไปด้วยความกระหายใคร่รู้ เสียงนั่นยิ่งฟังชัดเจนเมื่อเขาสาวเท้าลึกเข้าไปเรื่อย ๆ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานเทาหม่นของห้องน้ำซึ่งตั้งอยู่ที่หลังบ้าน หลังประตูนี้แหละที่เสียงโทรศัพท์ดังออกมา ไม่รอช้า ทันทีที่สายถูกตัดไป ชายหนุ่มก็ร้องเรียกชื่อพลางเคาะประตู แต่ไม่มีใครตอบรับ เลยจะเปิดประตูเข้าไป แต่เวรกรรมที่ประตูดันล็อคอย่างแน่นหนา หลังพยายามเรียกอยู่นานสองนานแล้วไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการตอบรับจึงตัดสินใจใช้ร่างกายอันกำยำกระแทกไปที่ประตูอย่างแรง เนิ่นนานกว่าหลายนาทีประตูถึงเปิดออกและเขาก็ได้ประจักษ์กับภาพที่น่าสยดสยองที่สุดในชีวิต มันคือ ภาพของร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวในชุดฟอร์มซึ่งโชกไปด้วยของเหลวสีแดงฉาน แดงฉานเหมือนกับกองเลือดที่ร่างนั้นนอนจมอยู่ในสภาพอเนจอนาถ

 

          2.

            ตอนที่แพรพลอยมาถึงที่นี่ คือตอนเดียวกับที่ฝนเม็ดเล็กเม็ดน้อยพากันโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าซึ่งอัดแน่นไปด้วยหมู่เมฆเทาทะมึนเสียงเปาะแปะผสานเข้ากับเสียงจอแจจากผู้คนที่นั่งรับประทานในร้านอาหารตามสั่งแห่งนี้สร้างบรรยากาศคึกคัก อาจเพราะว่านี่คือตอนเย็น จึงทำให้คนในร้านเนืองแน่นกว่าช่วงเวลาไหน ๆ หญิงสาวเลือกเดินไปนั่งตรงมุมร้าน เธอสั่งข้าวผัดกะเพราหมูกรอบ เครื่องดื่มเป็นน้ำเก๊กฮวยหวังดับกระหาย กลิ่นพริกผสมกับความชื้นโชยเตะจมูกของแพรพลอยทำให้เธอเผลอจามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ขณะกำลังนั่งรอจะรับประทานอาหารอยู่นั้นเอง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงพูดคุยแว่วมากระทบโสต ไม่ใช่เพราะระดับเสียงที่เจื้อยแจ้วจนฟังแล้วรำคาญหู แต่เพราะเนื้อหาในบทสนทนานั้นต่างหากที่สะดุดหูแพรพลอยจนทำให้เธอถึงกับเงยหน้าขึ้นมา เสียงพูดคุยนั่นดังมาจากอีกโต๊ะ ไม่ใกล้ไม่ไกลกับจุดที่เธอนั่งเท่าไรนัก

          “อะไรนะ” แพรพลอยเหลือบมองไปยังต้นเสียงซึ่งมีสีหน้าตื่นตกใจพอ ๆ กับน้ำเสียงที่เปล่งออกมา “อีกแล้วเหรอ” “ก็เออน่ะสิ” คู่สนทนาที่อายุมากกว่าอีกฝ่ายนิดหน่อยพยักหน้า ก่อนจะดูดน้ำจากแก้วสแตนเลสที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงเล่าต่อด้วยสีหน้าท่าทางและน้ำเสียงที่ตื่นกลัวไม่แพ้กัน “พี่น่ะอยู่ในเหตุการณ์ สภาพศพน่ากลัวกว่าศพไหน ๆ เลยนะ ถึงมันจะแบบ เขาเรียกว่าอะไรอะ มีลักษณะศพที่ใกล้เคียงกับศพก่อนหน้าก็เถอะ แต่ครั้งนี้คือที่สุด นัมเบอร์วันไปเลย” คนที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่เน้นเสียงตรง ที่สุด ในตอนท้าย “โธ่ เวรกรรมอะไรวะเจ๊” ได้ฟังคร่าว ๆ แล้วลองใคร่ครวญดู แพรพลอยเดาว่าเรื่องที่ผู้หญิงสองคนนั้นกำลังสนทนากันอยู่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อวันอาทิตย์ที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากในวงสนทนาของคนในชุมชนในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ แพรพลอยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอก แต่ฟังจากที่คนอื่นเล่าต่อ ๆ กันมา ทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า

          ครั้งนี้น่ากลัวกว่าครั้งไหน ๆ

          “หนูอะนะเพิ่งจะคุยกับยัยบีเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าไม่กี่วันถัดมาจะ เธอหยุดพูดไป ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แสนสลด “กลายมาเป็นหนึ่งในเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย” “อืม” “สาเหตุเดิมใช่ไหมคะ?” “สาเหตุเดิมนั่นแหละ แต่พี่ไม่รู้เหมือนกันว่าคราวนี้น่ะตัวอะไร แต่น่าจะเป็นงู พอพูดถึงพี่ก็ชักจะขนลุก” “งู” “อื้ม หนึ่งคือดูจากสภาพศพ พวกลักษณะรอยแผลที่ปรากฏ จริง ๆ ก็ดูทุกอย่างเลยอะ อะไรที่มีอยู่บนร่างกาย สองคือมีคนบอกว่าในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับตอนที่บีตายน่ะ เขาเห็นบางสิ่งบางอย่างเลื้อยออกมาจากบริเวณบ้านของบี คล้ายงูเลย แต่หน้าตาประหล๊าดประหลาด เป็นความประหลาดที่น่าสยอง จริง ๆ เขาบอกไม่ชัวร์นะ เขาเห็นแค่ราง ๆ” “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่ต้องเดาหรอกค่ะ ว่ามาจากที่ไหน มีอยู่ที่เดียว” เสียงถอนหายใจอย่างระอาตามมา

          “จะต้องมีคนตายอย่างนี้ทุกอาทิตย์เลยเหรอ ?

          “ผัดกะเพราได้แล้วครับ” แล้วสติที่หลุดลอยไปชั่วขณะหนึ่งของแพรพลอยซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับบทสนทนาของโต๊ะข้าง ๆ จนลืมเลือนทุกสิ่งไปก็ถูกดึงกลับมาด้วยกลิ่นหอมฉุยจากจานข้าวผัดกะเพราซึ่งเพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะได้ไม่นาน ข้าง ๆ คือแก้วน้ำสแตนเลสซึ่งบรรจุน้ำเก๊กฮวยไว้เกือบเต็มแก้ว “ขอบคุณค่ะ” รอยยิ้มอ่อน ๆ ระบายบนใบหน้าล้า ๆ แพรพลอยตักข้าวคำแรกเข้าปาก รสชาติที่เอร็ดอร่อยของมันที่แพรพลอยชื่นชอบ ไม่ได้ช่วยกลบความเครียดของหล่อนได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งมีบทสนทนาของผู้หญิงสองคนนั้นเป็นเสียงประกอบด้วยแล้ว มันเหมือนเป็นการตอกตะปูแห่งความรู้สึกผิดให้ฝังแน่นขึ้นไปอีก เพราะใช่ว่านี่จะเป็นครั้งแรกเสียหน่อย มันเป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ด้วยซ้ำที่เรื่องเทือก ๆ นี้ผ่านเข้าหูเธอ แต่ไม่ว่าจะได้ยินผ่านหูกี่รอบ แพรพลอยก็ยังสะเทือนใจกับเหตุการณ์เหล่านั้นทุกครั้ง ไม่แน่ใจว่านานเท่าไร แต่คงราว ๆ สามสิบกว่าปีแล้วที่ผู้คนละแวกนี้ต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว ความสุขสงบคือของหายาก ความตายกลายเป็นสิ่งสามัญประจำเดือนไปโดยปริยาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับช่วงหน้าฝนเช่นนี้ อัตราการตายของคนในชุมชนจะถี่ขึ้นจากเดือนต่อเดือน ไปเป็นสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แต่ปีก่อนหนักหน่วงถึงขนาดเกิดขึ้นทุกวัน นับว่าเลวร้ายสุดในรอบหลายปี

          ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นนั้น แพรพลอยรู้ดีว่ามีสาเหตุมาจากอะไร

          แพรพลอยก้าวออกมาจากร้านหลังเคลียร์ค่าอาหารกับป้าร้านข้าวเสร็จสรรพ เธอกางร่ม เลี้ยวซ้ายก่อนจะเดินเลียบไปตามบาทวิถี เดินมาได้สักพัก สุ้มเสียงที่จ๊อกแจ๊กจอแจก็ค่อย ๆ เงียบงันลงจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มวังเวงเมื่อหญิงสาวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโครงรั้วเหล็กสูงทะมึนซึ่งเป็นประตูทางเข้าไปสู่คฤหาสน์หลังนั้น พลังงานดำมืดที่แผ่ออกมาอย่างลึกลับทำให้เธอขนลุกซู่ขึ้นมาจนทนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานก็จำต้องเดินจากไปอย่างยอมแพ้ สมกับสมญานามอันน่ากลัวที่ผู้คนต่างเรียกขานกันว่า คฤหาสน์แห่งอสรพิษ

          คฤหาสน์ซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องราวอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นในชุมชน

 

            3.

            คฤหาสน์หลังนั้นถือกำเนิดขึ้นจากความประสงค์ของชายชราผู้หนึ่ง ซึ่งมีความใฝ่ฝันมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นว่าเมื่อไรที่ตนเองประสบความสำเร็จและสะสมเงินมาได้มากพอ จะสร้างคฤหาสน์หลังหนึ่งที่งดงามไม่เหมือนใครไว้เป็นอนุสรณ์สถานยิ่งใหญ่อันสื่อถึงความสำเร็จของตนเอง มันปลูกสร้างบนพื้นที่สามไร่เศษ เป็นคฤหาสน์กึ่งไม้กึ่งปูนที่ถูกออกแบบโดยผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบตะวันออกกับการตกแต่งแบบไทย ๆ เอกลักษณ์เด่นที่สะดุดตาอีกอย่างคือสีที่ใช้ทาทับตัวคฤหาสน์ แรกเริ่มเคยเป็นสีขาวสะอาดตา แต่ภายหลังก่อนชายชราเจ้าของคฤหาสน์จะถูกโรคร้ายไม่ทราบชื่อคร่าชีวิตไป สีที่เคยให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ก็ถูกสีดำราตรีเข้าคลี่คลุม นำมาสู่สมญานามแรกจากคนในละแวกเดียวกันว่า “คฤหาสน์ราตรี” ยายของแพรพลอยเคยเล่าให้ฟังว่า

          “สมัยที่ตากฤษณ์ยังอยู่น่ะ แกภูมิใจนักภูมิใจหนากับคฤหาสน์หลังนี้ ประกาศกร้าวต่อหน้าญาติทุกคนเลยนะว่าจะไม่ให้ใครมาทำลายคฤหาสน์หลังนี้เป็นอันขาด ทั้งที่ก็ไม่ได้มีใครอยากจะทำลายสักหน่อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดออกมาอย่างนั้น แต่เอาจริง ๆ ยายก็ไม่แปลกใจเท่าไรหรอกนะหนูแพรที่ตากฤษณ์มันจะพูดออกมาอย่างนั้น เฮ้อ ! นึกแล้วก็ละเหี่ยใจ สมัยแต่งงานใหม่ ๆ ยายว่าตาเขาไม่ได้อารมณ์ร้อนขนาดนี้ แต่พอโตขึ้นไม่รู้ว่าเพราะอะไร กลับกลายเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้น ไม่ฟังใคร มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบจะเอาปืนมายิงพ่อเราแล้วรู้มั้ย เพราะพ่อเราดันไปบอกว่าฝ้าเพดานในห้องน้ำน่ะ มันทำท่าจะหล่นลงมา ตากฤษณ์ได้ยินนะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย บอกว่าถ้าไม่พอใจให้ย้ายออกไปซะ ย่าละงง สุดท้ายเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ ครอบครัวของเราล่มสลาย สายลมแห่งความขัดแย้งพัดพาเราให้กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง อย่างเจ้าสม เอ่อ ลุงของเราน่ะ ก็ย้ายขึ้นไปอยู่เหนือกับลูกกับเมีย ส่วนพ่อเราก็พายายและแม่เรามาอยู่ที่นี่ คับแคบกว่าเดิมแต่อยู่แล้วสบายใจกว่ากันเยอะ”

          “แล้วยายไม่รักไม่ห่วงตาเหรอจ๊ะ” ยายของแพรพลอยหัวเราะเบา ๆ

          “ห่วงสิ รักสิ รักมากด้วย แต่ยายห่วงชีวิตตัวเองมากกว่า คิดดูสิ ลูกแท้ ๆ ยังขู่จะฆ่า นับประสาอะไรกับยายซึ่งเป็นเมีย ขืนพูดอะไรไม่ถูกใจเข้าสักวันคงได้โดนยิงกบาล” ตอนนั้นยายของเธอพูดเหมือนจะติดตลกแต่ฟังแล้วหดหู่อย่างไรชอบกล “แต่จริง ๆ จะว่าไปก็สงสารเหมือนกันนะ เพราะลูกหลานต่างพากันหนีแกไปหมด จนเหลือแต่คนสวนคนเดียวซึ่งก่อนแกตายคนสวนคนนั้นก็หนีหายไปแล้วเหมือนกัน มาพบศพตาเราอีกทีก็นอนบวมอลึ่งฉึ่ง เหม็นเน่าอีกต่างหาก สภาพน่ากลัวมากเชียวล่ะ แพรพลอยในวัยเด็กจินตนาการภาพตามแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาโดยฉับพลัน ภายหลังจากการเสียชีวิตด้วยโรคร้ายซึ่งไร้คนเหลียวแลของตากฤษณ์แล้ว ทุกอย่างกำลังจะกลับมาสงบสุขและคฤหาสน์หลังนั้นจะได้รับการซ่อมแซมบูรณะ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อหลายต่อหลายครั้งที่มีคนพยายามจะเข้าไปยุ่มย่ามกับคฤหาสน์หลังนั้น คนเหล่านั้นต่างก็เจอดีทุกรายร่ำไป ไม่เว้นแม้กระทั่งกับเครือญาติแท้ ๆ ของตากฤษณ์ บางคนถึงกับจับไข้ล้มป่วย บ้างถึงกับเสียสติไปเลยก็มี  จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คฤหาสน์หลังนั้นอีกต่อไป เมื่อขาดการดูแล สถาปัตยกรรมอันงามงดจึงค่อย ๆ ถูกกาลเวลากัดกร่อนจนไม่เหลือเค้า สวนที่เคยสวยสดใสถูกรุกรานโดยวัชพืชจนรกเรื้อ คฤหาสน์หลังนั้นล่มสลายอย่างไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก

          วิญญาณอาฆาตของตากฤษณ์เล่นงานทุกคน ไม่สนว่าคนคนนั้นจะมีจุดประสงค์ดีหรือร้ายอย่างไร เพราะไม่ว่าจะจุดประสงค์อะไร แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับ ความอยากจะเปลี่ยนแปลง คฤหาสน์หลังนี้แล้ว ในสายตาแกคือจุดประสงค์ร้ายหมด แกไม่ชอบให้ใครมาเปลี่ยนแปลงอะไรในคฤหาสน์หลังนี้ แกบอกว่าคฤหาสน์หลังนี้ดีอยู่แล้วและไม่สมควรจะเปลี่ยนแปลงอะไร เว้นแต่ว่ามันจะออกมาจากปากของแกเอง ทั้งตอนที่มีชีวิตอยู่

          และตอนที่ตายไปแล้ว

          หนึ่งปีให้หลังความเฮี้ยนของคฤหาสน์หลังนั้นก็เริ่มสำแดงอิทธิฤทธิ์มากขึ้น เหยื่อรายแรกคือหญิงสาวคนหนึ่งจากสำนักงานเขต หล่อนเสียชีวิตที่หน้าประตูรั้ว ตาเบิ่งกว้างอย่างหวาดกลัวสุดขีดบนดวงหน้าขาวซีด มุมปากมีเลือดไหล มือไม้เกร็งจนหงิกงอ คอถูกหักสามร้อยหกสิบองศาจนรูปกระดูกบิดเบี้ยวไปหมด ไม่มีใครระบุได้แน่ชัดว่าเธอผู้นี้เสียชีวิตจากสาเหตุใด แต่ร่ำลือกันเป็นตุเป็นตะว่าวิญญาณเฮี้ยนของตากฤษณ์นั่นแหละที่เป็นผู้กระทำการสังหารโหดหญิงสาวรายนี้ แต่ก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่มีน้ำหนักมากเท่านั้น และยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นเมื่อในอีกสัปดาห์ถัดมา นายหน้าขายที่ดินร่างท้วมคนหนึ่งก็มานอนตายอเนจอนาถตรงจุดเดียวกับจุดที่ผู้หญิงจากสำนักงานเขตคนนั้นมาเสียชีวิตพอดี ซ้ำยังตายในลักษณะแบบเดียวกันเป๊ะ “ตอนแรกคนที่ตายเพราะน้ำมือตากฤษณ์มีลักษณะศพแบบเดียวกันหมด แต่พอปีถัดมาคนที่ตายกลับมีลักษณะการตายที่เปลี่ยนไป ตอนนั้นแหละจุดกำเนิดของอสรพิษ” ไม่รู้ว่าเพราะอากาศ ความชื้นหรือปัจจัยใด จึงทำให้แมกไม้รกชัฏที่ขึ้นปกคลุมเต็มสวนที่รายล้อมคฤหาสน์หลังนั้นรกเรื้อกว่าเก่า นานวันเข้าก็ได้แปรสภาพมาเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นดีของเหล่าอสรพิษมากหน้าหลายตาที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งสามัญและพิลึกพิลั่น  ตอนนั้นแพรพลอยน่าจะอายุได้สักแปดขวบ กำลังเดินกลับมาจากโรงเรียนซึ่งต้องผ่านตลาด เย็นนั้นเองเป็นเย็นที่ค่อนข้างจะสงบเงียบ แต่ความสงบเงียบนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงตะโกนร้องลั่นอย่างหวาดผวาของแม่ค้าหาบเร่ขายขนมคนหนึ่งที่วิ่งหน้าตาตื่น โพนทะนาไปทั่วตลาดว่า เห็นงูหน้าตาประหลาดเลื้อยออกมาจากแนวรั้วของคฤหาสน์หลังนั้นต่อมาภายหลังจึงได้ขยายความว่า งูตัวนั้นมีดวงตาแดงก่ำ ลำตัวอวบอ้วนยาวราว ๆ สี่ห้าเมตร เกล็ดเป็นสีประหลาด ตา สลับดำ แดง และม่วง ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ได้รับการยืนยันจากคนหลายคนว่างูพิลึกพิลั่นที่ว่ามีอยู่จริง บ้างก็เคยเห็นแมงป่องสีทองวิ่งเล่นอยู่บนกิ่งไม้ของต้นฉำฉาหลังแนวรั้ว พอข่าวลือแพร่สะพัดไปได้ไม่นานก็มีคนตายในละแวกชุมชนอีก แต่ไม่ใช่ถูกหักคอแล้ว แต่ตายเพราะพิษของงูชนิดหนึ่งซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังคงเป็นปริศนาว่างูชนิดนั้นคืองูสายพันธุ์ใด นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครตายเพราะถูกหักคออีก แต่ตายเพราะถูกอสรพิษที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบลึกของพงหญ้าที่อยู่รอบคฤหาสน์หลังนั้นสังหารเหี้ยม

          คฤหาสน์แห่งอสรพิษจึงเป็นชื่อเรียกของคฤหาสน์หลังนั้น ตราบนานเท่านาน

 

            4.

          “พี่ว่าจะจัดการภายในสัปดาห์หน้าเลย” แพรพลอยบอกคนปลายสายด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและจริงจัง “พี่ทนเห็นคนในชุมชนตายเยอะกว่านี้ไม่ได้แล้ว พี่รู้สึกผิด” “พี่ไม่ใช่คนผิด เรามีความเกี่ยวข้องกับคนผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องผิดตามไปด้วย” “แต่เราสืบเชื้อสายมาจากเขา เลือดของเขาก็ไหลเวียนอยู่ในตัวพวกเรา เราก็เหมือนมีมลทินเป็นตราบาปอย่างหนึ่งของการเป็นลูกหลานเขา จะไม่ให้พี่รู้สึกอะไรเลย พี่ว่ามันก็ดูเย็นชาไปหน่อย พี่คนนะ มีหัวใจ มีความรู้สึก อีกอย่างถ้าพี่ช่วยคนในชุมชนได้ พี่ก็อยากช่วย” “พี่ แต่พี่คิดดี ๆ นะ มันอันตราย พี่ก็รู้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นมันเหมือนต้องสาป” “ช่างปะไรสิ ถ้าเราทำลายคฤหาสน์หลังนั้นได้ เราก็รอด และในทางกฎหมายพี่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้นได้และพี่จะทำ” “เอาที่พี่สบายใจเลยก็แล้วกัน แต่อย่าลากผมเข้าไปมีเอี่ยวด้วยเป็นอันขาด ผมยังไม่อยากโดน” “ชิ ! เป็นผู้ชายซะเปล่า ขี้ขลาด คอยดูเถอะ พี่จะปิดตำนานคฤหาสน์หลังนั้นให้ดู” สายถูกตัดไปหลังประโยคนี้กล่าวจบ ไม่มีถ้อยคำร่ำลาอะไร นอกจากเสียงทอดถอนใจของคนปลายสายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแพรพลอย ตอนนี้เธอนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านซึ่งมีเพียงแต่เธอ เธอคนเดียวเท่านั้น ไม่มีแม่ พ่อหรือยายซึ่งจากเธอไปนานแล้ว คนรักเธอก็ไม่มี ไฟบนเพดานที่ส่องสว่างติด ๆ ดับ ๆ เป็นระยะสร้างบรรยากาศชวนให้ไม่น่าไว้วางใจ เหตุจากห่าฝนด้านนอกที่รุนแรงกว่าเมื่อตอนเย็น มันกระหน่ำลงมาอย่างกราดเกรี้ยวในตอนที่แพรพลอยลากสังขารมาถึงบ้านพอดี ละอองชื้นที่แฝงอยู่ในอณูอากาศทำให้รอบข้างยะเยียบเย็นโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ หญิงสาวนำสมาร์ทโฟนในมือวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอนกายพิงหลังลงบนเบาะนุ่ม ๆ ของโซฟาพลางหลับตา ครุ่นคิดถึงแผนการทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า กระตุกยิ้มมุมปากอย่างกระหยิ่มใจ ถ้าทุกอย่างสำเร็จได้คงดีไม่ใช่น้อย เธอคิดแล้วยิ้มออกมา

          กุกกักกุกกัก

         เสียงอะไร-คำถามนี้ดังขึ้นในห้วงความคิดของแพรพลอย ขณะดวงตายังปิดหลับ เสียงที่แว่วมาคล้ายเสียงข้าวของกำลังขยับไหว ลมพัดอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าอะไรกัน คำถามแรกไม่ทันได้คลี่คลาย เสียงนั่นก็ดังขึ้นอีกรอบ แพรพลอยรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกคำรบ มันเป็นเสียงเหมือนใครสักคนกำลังย่ำเท้าอยู่ไม่ไกลนี้เอง มันเกิดบ้าอะไรขึ้น-ความคิดในหัวปลิดปลิวเหลือเพียงแต่ความสงสัยและไหวหวั่น แล้วเป็นตอนนั้นเองดวงตากึ่งหลับกึ่งลืมคู่นั้นก็เบิกกว้างอย่างพรั่นพรึงทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้าแจ่มชัดใบหน้าเคียดแค้นอันซีดเซียวของชายชราที่โน้มลงมาจ้องเธอตาเขม็งอยู่นั้นทำให้ตัวเธอแข็งทื่อ ชั่วขณะเดียวกันเสียงกุกกักก็เงียบหายกลายเป็นเสียงฟ่อ ๆ พร้อมกับสัมผัสลื่น ๆ ที่ก่อตัวและกำลังไล่ขึ้นมาจากแขนถึงต้นคอ ชื่อของคนคนหนึ่งลอยเข้ามาในหัว

          ‘ตากฤษณ์’

          “อย่ามายุ่งกับบ้านกู” เสี้ยวอึดใจถัดมาเสียงกรีดร้องแหลมสูงแห่งความหวาดผวาก็ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ แพรพลอยไม่ได้ออกจากบ้านอีกจนกระทั่งเช้า

 

          5.

            เช้าวันใหม่เดินทางมาถึงพร้อมกับข่าวร้ายอันน่าสยดสยอง ทันทีที่ประตูบานเทาหม่นถูกผลักให้เปิดออกกว้างอีกครั้ง พลันเสียงฮือฮาก็ดังในหมู่ผู้คนที่ออกันอยู่ด้านนอก บางคนเกิดอาการคลื่นเหียน บ้างหวาดผวา ขนพองสยองเกล้าจนต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่น บรรยากาศวุ่นวายกว่าเก่าเมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิลูกกตัญญูพาร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวผู้โชคร้ายนางนี้ออกมา คมเขี้ยวที่ฝากแผลเป็นรูขนาดใหญ่สองรูไว้ที่ต้นคอซึ่งมีรอยเลือดไหลเกรอะกรัง ใบหน้าช้ำเลือดช้ำหนองที่ตาเหลือกลานอย่างหวาดกลัวสุดขีด สร้างความสะเทือนใจให้แก่คนละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง

          “อีห่าเอ๊ย ! แม่งตายมาตั้งสามสิบปีแล้ว แต่ยังสร้างความฉิบหายให้กับคนรุ่นหลังไม่เว้น”

          แว่วเสียงก่นด่าอันเกรี้ยวกราดจากใครสักคนในกลุ่มไทยมุงนั้นเฮงซวย !

 

                             .............................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี” 

 

                วรรณกรรมออนไลน์