เรื่องสั้น : เหลืออีกกี่เรือ : จเด็จ กำจรเดช

เรื่องสั้น : เหลืออีกกี่เรือ : จเด็จ กำจรเดช

 

        ผมจำไม่แม่น เลยไปหาเพื่อนอีกรอบ ถามเรื่องเดิมว่าในทะเลมีเรืออะไรบ้างนะ

        เพื่อนเป็นช่างแกะหนังตะลุง บ้านอยู่ใกล้ทะเล แต่ไม่เคยออกเรือจริงจังหรอก เขาละจากแผ่นหนัง ฉีกยิ้มชาวประมงหลังกู้อวน ปลาใหญ่ดิ้นโผงผางต่อหน้า

        เขารู้ว่าจะจัดการกับปลาแบบผมยังไง

        ในทะเลสมัยก่อนโน้นมีเรือลากคู่ประจำอยู่ด่านนอกสุด เรือลำโตวิ่งคู่กันสองลำ ลูกเรือราวยี่สิบคน จำนวณลูกเรือสำคัญต่อเรื่องเล่า เขาเน้นว่ามีคนในลากคู่เยอะแค่ไหน เรือลากคู่วิ่งทะเลรอบนอกสุด พูดในมุมมองคนบนฝั่ง ถัดมาเป็นลากเดี่ยว ลูกเรือไม่เกินสิบ เขาบอกแบบนั้นในคราวก่อน แต่ผมจำไม่หมด มีเรืออะไรอีกสองสามชั้นก่อนถึงฝั่ง ลำเล็กลงเรื่อย ๆ คนน้อยลง กระทั่งถึงเรือหางยาวที่มีแค่คนสองคน

        ผมติดอวน ดิ้นขลุกขลักหาทางออก แต่ช่างตอกหนังไม่ตอบ เฉบอกว่าเพื่อนอีกคนเพิ่งกลับไป

        “ลูกยายพม่า” พม่าเป็นชื่อเรียกผู้หญิงคนหนึ่ง ชาวบ้านริมทะเลเรียกเธอแบบนั้น

        “ไหนว่าเป็นญวน” กลิ่นหนังอบอวลห้อง ผมหยิบตัวหนังตะลุงที่แกะเสร็จแล้วยกส่องฟ้า แสงทะลุแผ่นหนังใสเหมือนแผ่นฟิล์ม สีผสมอาหารที่ลงไว้สดสว่าง

        ฝั่งอ่าวไทยตรงนี้ตั้งเป็นระนาบเดียวกับติ่งล่างสุดของเวียดนาม พม่าอยู่ฟากอันดามัน มองมุมไหนก็ไม่อาจล่องเรือทะลุมาฝั่งนี้

        “ใครมาจากประเทศอื่นเขาก็เรียกพม่าหมดแหละ”

        ลูกยายพม่าเรียนชั้นประถมกับช่างแกะหนัง แม้แม่เป็นต่างด้าว แต่พ่อเป็นถึงผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นต่อจากพ่ออีกที สถานะในหมู่บ้านไม่ขี้เหร่ คนนอกฟังเรื่องแล้วแปลกใจ ผู้ใหญ่บ้านทำไมมีเมียเป็นต่างด้าว แต่ตอนโน้นเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตอนแม่ขึ้นฝั่งเขายังหนุ่ม ติดตามพ่อไปชายทะเล

 

        ช่างตอกหนังเล่าต่อ เรือต่างด้าวผ่านรอดทุกด่าน เหลือเรือหางยาวเป็นป้อมสุดท้าย บนเรือหางมีหนุ่มใหญ่เคราดกคนเดียว เขาแน่ใจ บนเรือลำนั้นหมดเรี่ยวแรงกับด่านก่อนหมดแล้ว ผู้ชายเหลือแค่สอง ผู้หญิงเหลือสาม ยายพม่าตอนนั้นยังสาวแรกแย้ม ผิวขาวนิ้วมือเรียว อยู่ในครอบครัวระดับเศรษฐี มีเงินจ้างเรือข้ามทะเล ทองคำสมบัติเท่าที่มีขนมาหมด ซ่อนในช่องลับฝ่ายหญิง แอบไว้ตามกราบเรือ ในซอกไม้ แล้วค่อยๆ หมดตามรายทาง เมื่อเห็นยอดมะพร้าวริมฝั่งโผล่อยู่ไกล ๆ ไม่ทันดีใจว่าใกล้ถึง เรือหางยาวก็แล่นเคียง

        “คุณเล่ายังกะเห็นเอง”

        “ผมเก่งเรื่องนี้ เสียแต่เขียนไม่เป็น ไม่งั้นเป็นนักเขียนไปแล้ว”

        ผมว่าเขาขี้โม้ แต่เขายืนยัน เดี๋ยวพาไปดู ยายพม่าตอนนี้ชรารุ่นเดียวกับแม่ของเขา แต่ผิวขาวผิดถิ่น ลุงผู้ใหญ่ไม่อาจขุดผีมายืนยัน เพื่อนของเขาชกต่อยกับเด็กแถวนี้ประจำเวลาถูกล้อว่าลูกพม่า แต่ถึงอย่างไร ตำแหน่งเมียผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ถูกใครพูดให้ชอกช้ำต่อหน้า

        ผู้หญิงในเรือไร้เสื้อผ้าปิดกาย เนื้อตัวมีทั้งกลิ่นเลือดและกลิ่นขี้เยี่ยว คาวปลาผสมคาวกาม ผสมรวมกลิ่นไม้แห้ง เหล็กและเชือกเหม็นเปรี้ยว ผิวขาวซีด แต่ถ้าจับส่องฟ้า แดดผ่านตามซอกร่องเป็นสีชมพู สว่างไสวราวรูปหนังตะลุง พวกเธอเจอมาทุกลำเรือ ผ่านแต่ละด่านตามแต่บุญแต่กรรม ผู้ชายโดนปาดคอทิ้งทะเลทีละคน ค้นพบสมบัติทีละชิ้น ทองทุกเส้นหมดเรือไปแล้ว คนบนเรือหางยาวรู้ดี แต่ถ้ามีผู้หญิง สมบัติยังพอค้น

        เรือหางจับมัดผู้ชาย แล้วค่อย ๆ เล้าโลมเคล้นคลึงผู้หญิงทั้งสามกลางแดดเที่ยง ขุดขอดหมดทุกหยาดน้ำ ก่อนเร่งเครื่องเรือจากไป ประทับตราผ่านด่านสุดท้าย ผู้หญิงแก้มัด ผู้ชายสะอึกสะอื้นทุบเครื่องเรือจนใช้งานไม่ได้ แล้วลอยลำเข้าฝั่ง หาดทรายขาวใกล้จนแทบเอื้อมถึง บางคนเห็นยอดโบสถ์ เห็นทิวมะพร้าว เห็นอะไรต่ออะไรอีกก็ไม่รู้ หรือคิดอะไรก็ไม่รู้ แต่ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะลงจากเรือว่ายขึ้นฝั่ง

        น้ำไม่ลึกอย่างที่คิด ขณะยกจมูกให้พ้นยอดคลื่นปลายเท้าก็แตะทราย เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายพัดพาถึงหาดทรายขาว พวกเขาเชื่อว่าคนบนฝั่งจะไม่ไล่กลับ เครื่องเรือพังไปแล้ว อย่างดีก็โดนขังคุก

        ผู้ใหญ่บ้านมาถึงพร้อมผู้ช่วยและชายอื่น ๆ ในหมู่บ้าน

        “มันเคยขึ้นหลายลำแล้วนี่ พวกเขายังอยากดูอีกเหรอ” ผมมองแดดทะลุหลังคาลงพื้น

        “ไม่ได้อยากดู” เพื่อนยิ้ม

        หญิงสาวทั้งสามน่าจะเป็นแม่ลูก หรือญาติ ๆ เป็นเด็กสาวน่าจะสักสิบห้าสิบหก นอนแผ่หมดแรง ลูกชายผู้ใหญ่เพิ่งเบญจเพส แสงแดดระยิบล้อคลื่น ผิวของหญิงสาวเป็นประกายระยับพรายราวเกล็ดเงือกสาว เขาปลดผ้าขาวม้าถลาไปห่มให้ โอบกอดเต็มมือ บอกพ่อผู้ใหญ่ว่าจะพาเธอกลับบ้าน

        สาวที่เหลือได้ผ้าห่มเหมือนกัน ถูกกอดรัดเหมือนกัน แต่เป็นสัมผัสเดียวกับที่เจอตลอดระยะทางเรือ

        พวกเธอสูดหายใจสุดปอด สัมผัสชีวิต มองข้ามไหล่ผู้ชายที่ห่มผ้าให้ เห็นอีกหลายคนยืนรอ เธอหมดแรงนับ นึกไปว่าเธออาจจะต้องไปโรงพัก อาจจะขึ้นศาล หรืออาจจะต้องไปไหนอีกไม่รู้ เบื้องหลังของผู้ชายเหล่านั้นเป็นโบสถ์ เธอน่าจะได้ที่พักพิงแรกเป็นวัด แต่เปล่า พวกนั้นพาเธอไปกระท่อมหลังหนึ่งในดงมะพร้าว เธอน้ำตาไหล พึมพำภาษาต่างด้าวว่าขอบคุณ

        “คุณรู้ภาษาเหรอ”

        ช่างตอกหนังหัวเราะ บอกแล้วว่าเขาขี้โม้

        ทางการส่งคนอื่น ๆ ไปค่ายญวนที่เก้าเส้ง หลังผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ไม่มีใครรู้ว่ามีชะตาแบบไหน ส่วนยายพม่าได้อยู่กินกับลูกผู้ใหญ่ แต่ตลอดชีวิต เธอดำเนินไปเงียบงัน เป็นแม่บ้าน ปลูกผัก เก็บตัว ไม่มีปาก ไม่มีใครจำได้ว่าเสียงเธอเป็นอย่างไร ช่างตอกหนังก็บอกไม่ได้ว่าเธอพูดไทยหรือเปล่า และแม้คนในหมู่บ้านจะปฏิบัติดีกับเธอ แต่คล้ายเธอยังล่องอยู่ในเรือตลอดเวลา ฝั่งยังทอดตัวออกไปไกล

        ใครก็ตามที่พูดถึงเธอ ต้องเปลือยกายเธอแล้วข่มขืนซ้ำ ๆ ผมก็ด้วย หลายคืนแล้วที่ผมคิดวนเวียน ทั้งเรื่องของเรือที่แล่นวนในทะเล ทั้งกับคำพูดที่เพื่อนบอกว่า หลังจากถึงฝั่งแล้ว หลังจากผ่านเรือมาได้ทุกด่าน พวกเธอมองข้ามไหล่คนมาช่วยเห็นผู้ชายยืนอยู่อีกหลายคน แล้วพึมพำออกมา

        ซึ่งถ้าจะมีใครถอดความได้ เธอคงถามว่ายังมีอีกกี่เรือ

 

..............................................................................

 

 

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

  

                วรรณกรรมออนไลน์