เรื่องสั้น : แบบนี้แล้ว เขาจะตอบรับต้นฉบับของเรามั้ยวะ ? : ชนุธนา แสนเหม

เรื่องสั้น : แบบนี้แล้ว เขาจะตอบรับต้นฉบับของเรามั้ยวะ ? : ชนุธนา แสนเหม

 

          พอนึกได้ว่าตัวเองควรเขียนอะไรเพื่อสังคมบ้าง, จู่ ๆ มือของผมที่ขยันขันแข็งกดแป้นพิมพ์มากว่ายี่สิบนาทีพลันก็หยุดนิ่งลง เสียงเคาะแป้นที่ดังราวกับพระสุรเสียงจากพระเจ้าพลันมลายหายไปในบัดดลความเงียบสงัดมาเยือนโสตประสาท แล้วถ้อยความที่ผมเคยเห็นว่ามันมีความหมายตลอดมากลับว่างเปล่าไร้ไปเสียแล้ว

          เอนหลังพิงพนักก่อนจะแหงนหน้ามองเพดาน หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เปล่งแสงสีขาวสว่างอย่างที่ควรจะเป็น แสงนีออนอันแห้งแล้งนั้นทำให้สายตาเริ่มพร่ามัวจนผมต้องหลับตาลง การณ์กลายเป็นว่าตัวเองต้องกลับมาทุ่มเถียงเรื่องของตัวเองในงานเขียนของตัวเองอีกแล้วหลังจากไม่ได้ทำมาสักพักใหญ่ ๆ :

          เรื่องที่ผมเขียนนี่ดีจริง ๆ เหรอ ?

          ผมเชื่อว่างานเขียนที่ดีคืองานเขียนที่ไม่ได้เป็นแค่ตัวอักษรเรียงกันเป็นพรืดและให้ความรู้สึกเหมือนได้อ่านกวีนิพนธ์ทุก ๆ คำเสียก็ได้ --- หน้าที่ที่มันควรจะมีอีกประการหนึ่งคือมันควรจะตอบแทนอะไรผู้ที่ได้อ่านมันบ้าง จะเป็นความรู้ ความคิด หรือแนวทางใด ๆ ก็ตามแต่ ทว่าพอคิดว่าไอ้เรื่องที่ผมเขียนอยู่ตอนนี้, เรื่องที่ตัวเองกังวลว่างานเขียนจะถูกปัดตกจากกองบรรณาธิการ, นี่มัน, เหมือนเด็กเล่นบทบาทสมมตินึกทำเท่ว่า ‘ข้าเป็นนักเขียนนะเว้ย’ แต่ที่จริงก็แค่ไม่มีอะไรทำเลยมาจิ้มแป้นเล่น ๆ เป็นคำ ๆ เรียงต่อ ๆ กันเท่านั้นไม่มีผิด

          อีกประการหนึ่ง, ผมก็มองไม่เห็นอีกแล้วว่าไอ้การบอกว่าตัวเองก็กังวลว่างานเขียนเรื่องนี้จะถูกปัดตกจะทำให้กองบรรณาธิการ หรือแม้แต่นักอ่านที่ผมไม่รู้เลยว่าจะได้เห็นผลงานของผมรึเปล่าได้ฉุกคิดหรือได้รับอะไรจากผมเลย

          ฉะนั้นเรื่องที่ผมเขียนจึงไม่ใช่งานเขียนเพื่อสังคมแต่อย่างใด --- และด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่มีคุณค่าอีกต่อไปแล้ว

          นึกได้ดังนั้นก็ลืมตาขึ้น เด้งตัวกลับมาจ้องจอมอนิเตอร์ซึ่งกำลังฉายภาพของโปรแกรมพิมพ์เอกสารอันละลานด้วยตัวอักษรยาวเป็นหน้า ๆ ผมหลุบตาลง นิ้วกลางขวาเอื้อมไปกดปุ่มแบ็กสเปซทีหนึ่ง --- ตัวอักษรหายไปหนึ่งตัว

          หนึ่งบิตหายไปแล้ว, ผมกดลบอีกทีหนึ่ง, ก็หายไปอีกหนึ่งบิต

          กดแบ็กสเปซเรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกตัวอักษร พยางค์ คำ วลี อนุประโยค ประโยค ย่อหน้า วาทกรรม ทรรศนะ ความเห็น และความเชื่อของผมก็หายไปอย่างช้า ๆ ทีละนิด ๆ... ทุกบิตเล็ก ๆ ที่หายไปกำลังทำให้ข้อมูลที่ใหญ่กว่าหายสาบสูญไปในทะเลของเลขฐานสอง ผมมองไม่เห็นมันหรอกว่าไอ้ข้อมูลที่ว่าเป็นอย่างไร และผมก็ไม่เข้าใจคุณค่าของมันด้วย

          จนกระทั่งในการกดลบบิตครั้งสุดท้าย, หน้าจอก็คืนสภาพเก่ากลับมาอีกครั้ง

          สีขาว

          ผมถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะสบถเบา ๆ “นี่เราต้องเขียนใหม่อีกแล้วละสิเนี่ย...”

          ผมเริ่มพิมพ์ตัวอักษรแรกอีกครั้ง หวังจะให้ตัวอักษรแม้เพียงบิตเดียวมอบคุณค่าและความเคลื่อนไหวแก่สังคมวงกว้างได้บ้าง แต่ครั้นพอขึ้นตัวอักษรแรกมา ผมก็กดลบไปอีกครั้ง --- กลับไปเป็นสีขาว ว่างเปล่า ไร้คุณค่าอีกตามเคย

          ผมจำได้ว่าตัวเองน่าจะทำแบบนี้ซ้ำ ๆ กว่าสามนาทีจนกระทั่งยอมแพ้ต่อสีขาวที่ไปปรากฏบนสมองเช่นกัน --- อะไรที่ใช้ไม่ได้ก็ย่อมใช้ไม่ได้อยู่วันยันค่ำ และที่ทำอยู่ตอนนี้ก็คล้ายจะฝืนตัวเองเปล่า

          ผมถอนหายใจ, มันจะมีใครอ่านเรื่องนี้เหรอ ?... ถามตัวเองด้วยเสียงอันเล็กจ้อย, เบาราวกระซิบ, เหมือนกับเสียงปลวกที่แอบแทะเล็มสร้างห้องหับอับแคบในเนื้อไม้เล็ก ๆ... หวังนิดหวังหน่อยว่าห้องนี้จะใช้เป็นพื้นที่ให้ตัวเองทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ครั้นโผล่หัวออกไปดูข้างนอกใจก็เกิดแป้วขึ้นมาเสียอย่างนั้น ตัวเองที่อยู่ในรูแคบ ๆ อุดอู้มานานต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่าโลกนี้มันกว้างใหญ่นัก... กว้างใหญ่มากพอที่จะเลือกประเด็นต่าง ๆ มาเขียนได้ไม่รู้จบรู้สิ้น แต่ก็ใหญ่เกินกว่าที่ผมจะสามารถออกไปอยู่ตรงนั้นได้แล้วจะมีคนจดจำ หรือแม้แต่ใส่ใจความหมายทั้งหมดในตัวอักษรที่ผมอินพุตตลอดมา, ทุกบิตที่เรียงต่อกันตั้งแต่ก่อนหน้า, จนถึงบัดนี้

          ผมว่าผมทำท่าจะบ้าแล้วนะ แต่ก็ไม่ได้บ้าพอจะกล้าไปอวดเบ่งว่าตัวเองรู้นักรู้หนาในโลก ณ ฝั่งนั้นได้อยู่ดี --- หากท่านผู้อ่านพินิจโดยถี่ถ้วนแล้วล่ะก็, มันจะมีใครได้ยินเสียงของผมจากตรงนี้หรือ ? ระหว่างเสียงของผมกับเสียงของกิ่งไม้อันเสียดสีอยู่ข้างนอกนั่น ทุกคนรู้คำตอบดี ผมมั่นใจเช่นนั้น

          และคราวนี้ผมก็กลับมาเครียดอีกรอบ เพราะแม้จะรู้แก่ใจว่าคนจะไม่ได้คุณค่าอะไรในงานเขียนของผมเลย แม้แต่ความงดงามทางวาทศิลป์ก็ตามที แต่ทุกคนคงได้ความสิ้นหวังของผมไปเต็ม ๆ

          ผมไม่อยากให้ใครมาสิ้นหวังข้าง ๆ ผมหรอก ทุกคนเศร้ามามากพอแล้ว

          นั่นเอง, ผมจึงตัดสินใจว่าจะลองทำให้ทุกตัวอักษรของตัวเองไม่มีความเศร้าเลย ผมจะลองสร้างยูโทเปียขึ้นมา --- โลกที่ไม่มีความขัดแย้ง โลกที่ทุกคนเท่าเทียมกัน โลกที่ทุกอย่างเป็นไปดังความปรารถนา

          แต่เดี๋ยวก่อน, ความปรารถนาของใครกัน ?

          ความปรารถนาของผมจริง ๆ รึเปล่าเหอะ ?

          พอคิดได้ดังนั้น ไอ้จิตใฝ่ต่ำของผมก็กระซิบข้างหูว่า “ถ้าโลกนี้มีแต่พวกที่คิดร้ายล่ะก็โลกใบนี้ก็ย่อมไม่มียูโทเปียที่แกมโนปั้นแต่งขึ้นมาหรอก !”

          ผมกลับไปสู่สภาวะเดิมอีกครั้งภายในสิบนาทีหลังจากใช้ไฟฮึดที่โหมให้สองมือทำการปั้นแต่งอุดมคติของตัวเองเรื่อยมา --- ไม่สิ, ต้องเรียกว่ายัดเยียดและชี้นำแต่เรื่องที่ใครก็รู้ว่าเป็นแค่การทำให้เรื่องที่ซับซ้อนในเชิงโครงสร้างกลายเป็นแค่ผลอันมีแต่เปลือกนอกแต่เนื้อในกลวงเปล่าเท่านั้น

          ผมไม่ได้มีฝีมือมากพอที่จะทำให้งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนที่ดีได้เลย... ผมไม่ได้เข้าใจอะไรเลย !

          แม้จะนึกเข้าข้างตัวเองว่าหลายคนก็ทำแต่เรื่องที่เหมือนขายฝัน และไม่ได้ช่วยเสริมแรงให้สังคมไปข้างหน้า, หรือแม้แต่จะถอยหลัง, แต่เพราะพวกเขามีผู้ซึ่งช่วยตีเติมเสริมมูลค่าให้กับสิ่งที่เขารังสรรค์บรรจงสร้างเรื่อยมาจนสามารถเกิดไอ้สิ่งที่ทำให้งานเขียนเป็นชิ้นเป็นอันได้จริง ๆ

          คุณค่า

          ไอ้ของที่งานเขียนของผมไม่มี และผมไม่มีวันมองเห็นมันได้เลยนั่นแหละ

          ผมสงสัยเหลือเกินว่าผมจะเป็นแบบเดียวกับคนพวกนั้นเลยดีหรือไม่ ? คนที่ไม่ได้เข้าใจแต่แสร้งทำเป็นมองเห็นโดยปรุโปร่ง, ช่างมันกับทุกเรื่องแล้วเมินเฉยใส่ความซับซ้อนเสีย... และจะว่าไป, ตอนนี้ผมก็กำลังทำแบบเดียวกันอยู่รึเปล่านะ ?

          ตอนนี้, คล้ายว่าตัวเองกำลังติดอยู่ในหล่มอะไรสักอย่างที่วกวนและไร้ทางออก แต่กระนั้นก็ยังเข้าใจว่าตัวเองสบายดีอยู่รึเปล่านะ ?

          ผมหลับตาลงอีกครั้ง เอนหลังพิงพนักตามเดิม รับฟังเสียงที่อยู่ทั้งในและทั้งนอกอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

          สรุปแล้วอะไรคือคุณค่ากันนะ ? แล้วงานเขียนมันมีคุณค่าได้จากอะไรกันนะ ?

          ผมไม่ได้เรียนจบวิชาปรัชญาอะไร แต่ก็ทำเท่คิดว่าถ้าตัวเองคิดอะไรแบบนี้เรื่อย ๆ คงจะโก้ดี... และเพราะการสะกดจิตอย่างต่อเนื่องแบบนี้เอง ผมจึงเชื่อว่าผมมีความคิดนั้นเป็นของตัวเอง เชื่อว่าโลกใบนี้ซับซ้อนและวุ่นวายไม่จบสิ้น --- ทั้ง ๆ ที่เอาจริง ๆ อะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น, ซึ่งรายล้อมอยู่รอบกายผม, เป็นคนทุบตีบีบอัดดัดรูปให้ผมเชื่อว่านี่คือตัวผม ณ ขณะนี้ทั้งนั้น

          เชื่อว่าเสียงของตัวเองนั้นไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะไม่มีใครแปะป้ายราคาให้

          งั้นถ้าแบบนี้แล้ว เขาจะตอบรับผลงานของผมรึเปล่านะ ?

          มีเสียงหนึ่งบอกผม --- คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของผมนั่นแหละ แต่ผมจะทำเป็นว่านั่นคือเสียงของคนอื่นก็แล้วกัน : เดี๋ยวอย่างไร, หากผมมีคนคอยหนุนหลังขึ้นมา ไอ้คุณค่าจอมปลอมดังกล่าวก็คงผุดขึ้นมาเอง ไม่ต่างจากคนที่ไปกู้ฮาร์ดดิสก์เก่าแล้วเจอวิดีโอลับ, หรือตัดต้นไม้จนไปเจอรังปลวกข้างใน, และอีกสารพัดการอุปมาใด ๆ ก็ตามที่ใคร ๆ ก็ประดอยประดิษฐ์ขึ้นมาได้ทั้งนั้น

          ใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น, เขียนเรื่องสักเรื่องเนี่ย --- แต่มันจะช่วยให้สังคมเดินหน้าหรือถอยหลัง นั่นก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมอยู่ดี

          ผมแค่หวังว่าตัวเองจะได้เขียนในสิ่งที่ปรารถนาก็เท่านั้นเอง และอาจทำให้พลิ้วไหวประหนึ่งวาทยากรที่ร้องเรียงโน้ตดนตรีและเข้ารหัสให้อ่านได้เฉพาะคนในวงการเท่านั้น แล้วก็ปล่อยให้ผู้ฟังในหออุปรากรประเมินเอาเองว่าตัวเองจะซื้อเพลงนั้นหรือไม่ --- ในความหมายว่าจะยอมรับว่ามันไพเราะและมีคุณค่าต่อตนเองรึเปล่าก็พอ

          ผมลืมตาขึ้นมาก่อนจะภาวนาลม ๆ แล้ง ๆ ว่าขอฝากงานเขียนชิ้นนี้ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคนอื่น : ทั้งกองบรรณาธิการ, คณะกรรมการ, นักอ่าน, นักวิจารณ์, นักวิเคราะห์, นักท่องอินเทอร์เน็ต, และอื่นใดที่ผมคิดว่าสามารถมองเห็นหรือรับรู้ความเป็นไปของทุกตัวอักษรนี้ได้ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะในรูปบิต รูปหมึกพิมพ์ หรือรูปแบบใด ๆ ก็ตาม

          ครั้นพอโยนหน้าที่ไปให้ความเป็นไปได้อันเลือนรางตัวเองก็กระตุกยิ้มน้อย ๆ “สิ้นหวังเสียจริงนะแกเนี่ย”

          แต่ว่า, ตอนนี้ผมเศร้ามากเกินไปแล้ว ผมว่าผมควรจะหาอะไรกินบ้าง หวังว่าน้ำตาลคงจะช่วยฟื้นฟูความหดหู่ที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อสักครู่ได้นะ

          ไว้ผมจะมาเขียนต่อก็แล้วกัน

 

                     ......................................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์