เรื่องสั้น : ถนนสายนี้มีคำด่าของแม่ : จรูญพร ปรปักษ์ประลัย

เรื่องสั้น : ถนนสายนี้มีคำด่าของแม่ : จรูญพร ปรปักษ์ประลัย

 

          พิมยังอ้อยสร้อยอยู่บนฟูกนอน ไม่มีอะไรต้องรีบ น้ำยังไม่อาบ ร่างเปลือยยังเปลือยอยู่อย่างนั้น เช่นเดียวกับคราบเหงื่อ คราบอะไรต่อมิอะไรบนเนื้อตัว

          สองปีที่ไอ้เชื้อบ้านั่นระบาด พิมได้แต่หายใจไปวัน ๆ เพื่อน ๆ ที่เต้นอะโกโก้ด้วยกัน ส่วนใหญ่จรลีกลับบ้านหมดแล้ว แต่พิมจะไปไหนได้ มีบ้านก็เหมือนไม่มี กลับไปก็ไม่ต่างจากตกนรก

          ถ้าใครนึกไม่ออกว่าโลกนี้มีคำด่าอะไรบ้าง ให้ไปที่บ้านพิม ทั้งวันจะได้ยินแต่เสียงด่าของแม่ สารพัดสัตว์มาชุมนุมกัน รวมไปถึงอวัยวะต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ต่ำสุด และที่ซ่อนเร้นตามหลืบรูในร่มผ้า

          พิมเคยได้ยินไอ้ปีเตอร์ แขกขาประจำพูด “นรกคือคนอื่น” ฟังปุ๊บ หน้าแม่สว่างวาบขึ้นมาปั๊บ พิมนึกเทียบตัวเองกับเพื่อน เห็นนังจูนกลับบ้าน โพสต์รูปกอดแม่ตัวกลม ยิ้มหน้าใสวิ้ง แล้วพิมโคตรอิจฉา จนตายเธอคงไม่มีภาพแบบนั้น

          เพราะอย่างนี้พิมถึงไม่กลับไปเหยียบบ้าน ถึงแม้โรมจะคอยรบเร้า โรมเป็นมนุษย์ตัวคนเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์ พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังไม่ประสา โรมอยู่กับป้าที่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ พอโตหน่อยก็กระโดดเกาะรถไฟ หนีมากรุงเทพ กินนอนอยู่แถว ๆ หัวลำโพง หากินทุกทาง จนได้มาเป็นเด็กถือป้ายเรียกแขกหน้าร้าน

          โรมบอกพิม อย่างน้อยเธอยังมีแม่ แต่จะพูดยังไง ก็เหมือนไม่เคยผ่านรูหู รำคาญมากเข้า พิมก็ตวาดให้หุบปาก ขืนพูดอีกจะไล่ให้ไม่มีที่ซุกหัวนอน

          แต่พิมก็รู้อยู่เต็มอก ที่พูดไปแค่ขู่ ไม่มีโรมสักคน เธอจะเหงาสักแค่ไหน ราตรีที่ไร้ร่างเขานอนแนบ คงไม่ต่างจากความเงียบในหลุมศพ

          ถึงวัน ๆ แทบไม่ได้คุยกัน แต่การมีใครอยู่ด้วย ย่อมดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ต่างคนต่างแยกมุม เปิดทีวีเอาเสียง ตาจ้องอยู่แต่หน้าจอมือถือ โรมเล่นเกมได้ทั้งวัน ส่วนพิมก็มีเรื่องเม้าท์ได้ตลอด หนึ่งในสิ่งที่พิมทำเป็นประจำคือ ส่องเฟสของแม่

          แม่ไม่ค่อยโพสต์อะไรนัก อย่างมากก็แชร์คลิปขำ ๆ จนสามวันก่อนถึงมีตัวหนังสือตัวเป้งบนหน้าจอ  

 

          เบื่อ

 

          อ่านแล้ว พิมไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร แม่เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ชอบเรียกร้องความสนใจ วางเบ็ดล่อให้คนเข้ามาถามไถ่ ส่งกำลังใจออนไลน์ไปให้ ทั้ง ๆ ที่จริงไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย

ตามที่คาด สามวันผ่านไปไม่มีอะไรใหม่ วันนี้ก็คงเช่นกัน แต่ในเมื่อมีเวลาเหลือเฟือ พิมเลยขอแวะเข้าไปส่อง เช่นที่ทำทุกวัน

โพสต์ล่าสุดของแม่เป็นเหมือนภาพปริศนา รูปขวดน้ำมันก๊าด พร้อมข้อความชวนฉงน

 

          ไปด้วยกันให้หมดนี่แหละ

 

          พิมงง คราวนี้แม่เล่นอะไรอีก แต่แป๊บเดียว เธอก็ลุกพรวดขึ้นจากเตียง โรมหันมอง ใบหน้าไร้แววตื่นเต้น

          “แม่จะเผาบ้าน” พิมบอกโดยไม่รอให้ถาม

          โรมยังหน้ามึน จดจ่ออยู่กับเกมที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม “ใครบอก”  

          พิมยื่นมือถือไปตรงหน้าโรม “แหกตาดูเอาเอง”

          “ไม่เห็นเข้าใจเลย ไปด้วยกันให้หมด ใครไป ไปไหน”

          “ไปตายไง” 

          คราวนี้โรมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ

          “แม่กะจะเผาบ้าน เผาทุกคนในบ้าน”

          “ทำไมต้องทำบ้า ๆ พรรค์นั้นด้วย”

          พิมส่ายหน้า เหมือนมีอะไรมาจุกอกจุกคอ ขณะที่โรมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว   

          “แม่พิมคงไม่ทำจริงหรอก”

          “แล้วถ้าเกิดจริงขึ้นมาล่ะ คนอย่างแม่ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

          “งั้นไปกัน”

          “ไปไหน”

          “บ้านพิม”

          บ้านที่พิมเกิด อยู่จนแตกเนื้อสาว ซ่อนตัวอยู่ในซอยลึก ปากซอยยื่นหน้าเข้าหาตลาดซึ่งพลุกพล่านจอแจ แต่ท้ายซอยกลับเป็นเหมือนอีกโลก ทางดินราวคลื่นในท้องน้ำ หลุมรูกระจายไปทั่ว เสื่อมทรุดเช่นเดียวกับบ้านเรือนที่เรียงราย บางหลังเสาเอียงไปแล้ว บางหลังเก่าผุเหมือนโดนตัวประหลาดหิวโซเขมือบกิน ที่แน่ ๆ ทั้งหมดปุปะด้วยไม้นานาชนิด ตามแต่ใครจะหาได้ เอามาประกอบให้ได้ชื่อว่าบ้าน   

          หลายปีที่ไม่ได้กลับมา แทบไม่มีอะไรเปลี่ยน นอกจากอัตราความเก่าโทรมที่เพิ่มขึ้น คนหนุ่มสาวเหมือนถูกเสกให้หายไป เหลือแต่คนแก่กับเด็ก ๆ บ้านของพิมก็เป็นอย่างนั้น แม่อยู่กับยายและหลาน ๆ ที่ลูกเต้าเอามาทิ้งไว้ ยัดทะนานกันอยู่ในนั้น ทุกปากทุกท้องรอดได้เพราะแม่ เพราะอย่างนี้แม่ถึงกล้าด่าทุกคน ไม่เว้นกระทั่งยายที่กระดูกสะโพกแตก เดินไม่ได้มาเป็นสิบปี

          ทันทีที่ก้าวเข้าซอย ทุกสายตาจับจ้องมาที่พิมกับโรม แต่อย่าคิดเด็ดขาดว่าใครจะยิ้มต้อนรับ คนพวกนี้เป็นอีกเหตุผลที่พิมไม่อยากกลับบ้าน พวกสาระแนที่ชอบสอดเรื่องชาวบ้าน จ้องจับผิด เอามานินทากันสนั่นปาก

          “อีจัญไร เสด็จมาได้ซะที รีบไปดูแม่มึงเลย มันบ้าหนักแล้ว เกิดเผาบ้านขึ้นมาจริง ๆ ไม่ชิบหายกันหมดเหรอ”

          พิมอยากด่ากลับ แต่คิดในใจ เอาไว้ก่อน ถึงเวลากูฉะมึงแน่ สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ รีบไปถึงบ้านให้เร็วที่สุด

          แม้ใจจะบอกอย่างนั้น สองเท้าของพิมกลับเหมือนมีโคลนเหนียวหนืดฉุดรั้ง พิมเกลียดการเผชิญหน้า เบื่อปากของแม่ที่พ่นคำด่าไม่หยุด แม่เป็นเครื่องจักรผลิตคำด่าตลอด 24 ชั่วโมง ไม่แค่นั้นแม่ยังเป็นนักขุด ขุดมาหมดเรื่องเก่า ๆ ที่แม่ไม่เคยลืม ความผิดที่ไม่มีวันให้อภัย

          ใคร ๆ ก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น แม่จะให้พิมทำยังไง ในเมื่อเรื่องมันเกิดไปแล้ว สิ่งที่พิมทำได้มีเพียงชดใช้ด้วยเงินจากการทำงาน ขายเรือนร่างบนฟลอร์และบนเตียงนอน แต่เงินแค่ไหนก็ไม่ทำให้แม่พอใจ คำด่าจึงไม่เคยหยุดหย่อน

          ไม่ใช่แค่พิม แม่ตั้งตัวเหมือนคนทั้งโลกเป็นศัตรู จึงไม่แปลกถ้าแม่จะฆ่ายายและหลาน ๆ ไปพร้อมตัวเอง ให้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันไปชาตินี้

          แต่พิมจะยอมให้แม่ทำอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อเด็กสองคนในบ้านนั้นเป็นลูกของเธอ

          ลูกสาวคนโตเป็นความผิดพลาดในวัยเรียน ทำให้พิมเรียนไม่จบ เตลิดไปกับเพื่อนชายที่ปล่อยเด็กเข้าท้อง สุดท้ายพ่อเด็กตายคาห้องเช่า เพราะเล่นยาเกินขนาด ขณะที่พิมติดคุกหลายปี ข้อหามียาเสพติดในครอบครอง

          ส่วนเจ้าคนเล็กเป็นความผิดพลาดระหว่างการทำงาน พิมไม่แน่ใจว่าเผลอตอนไหน บางทีอาจลืมกินยาคุม อยู่ ๆ ท้องก็โตขึ้นมาโดยไม่รู้ใครเป็นพ่อ ที่แน่ ๆ ครึ่งหนึ่งของลูกชายเป็นฝรั่ง หน้าตามันจึงน่ารัก ถึงขนาดพิมฝันว่า สักวันลูกจะได้เป็นดารา ถ่ายแบบ เล่นหนัง เล่นละคร มีเงินร้อยล้านพันล้านเหมือน ณเดช ญาญ่า หรือ เบลล่า ราณี         

          แม่จะเผาบ้าน เผาตัวเอง เผายาย เผาหลานคนไหน ๆ ก็ตามใจ แต่ลูกของพิมต้องไม่ตาย   

          พิมนำหน้าโรมมาหยุดที่หน้าบ้าน มองไปยังข้าวของที่กองสุม มากสุดก็พวกขวดน้ำ กระป๋อง กระดาษ หนังสือ เครื่องใช้พัง ๆ ที่แม่เก็บมาขายแลกเศษเงิน

          ทุกวันแม่จะตื่นตีสาม ทำข้าวต้มมัด ออกเดินขายแต่เช้ายันเย็น ขากลับแม่ตระเวนเก็บขยะตามทาง กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำ แรก ๆ ไม่มีใครสนใจ ทว่านานเข้า เสียงซุบซิบชักหนาหู ว่าแม่อยู่กับขยะ ข้าวต้มมัดของแม่คงมีแต่เชื้อโรคยุบยับ    

          ข้าวต้มมัดเริ่มขายไม่ออก แต่แม่ก็ไม่หวั่น คนใกล้บ้านไม่ซื้อ ก็เดินให้ไกลขึ้น ถึงอย่างนั้นก็ใช่จะขายหมด ยิ่งช่วงโควิดยิ่งขายยากขายเย็น แม่จึงต้องเก็บขยะมากขึ้น มากขึ้น ดิ้นรนหาเงินให้พอยาไส้คนทั้งบ้าน ส่วนหนึ่งแบ่งไว้ใช้หนี้ที่เบ่งบานยิ่งกว่าดอกไม้สวรรค์

          “กูไม่ทนแล้วโว้ย ถ้าพวกมันจะยึดที่ ยึดบ้าน ไล่กูไปจริง ๆ กูจะเผาแม่งให้หมด”

          แผดเสียงของแม่ไม่ต่างจากเสียงตามสาย ประกาศให้คนทั้งซอยรู้ แทรกมาด้วยเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ที่ตื่นกลัว ส่วนยายน่ะเหรอ ทุกวันนี้ยายไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น วัน ๆ นั่งนิ่งเหมือนหุ่น ไม่พูดไม่จา ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ 

          “จะเอายังไง”

          โรมไม่ต้องถามเป็นครั้งที่สอง พิมก็พรวดเข้าไปในบ้าน แม่ยืนหันหลังให้ ขณะที่เด็ก ๆ เงยหน้ามอง ใบหน้าทุกคนมอมแมม น้ำตากลบทุกดวงตา

          พิมแยกไม่ออก ว่าเด็กคนไหนเป็นลูกของเธอ ทั้งหมดดูกลืน ๆ กันไป ไม่เว้นกระทั่งเจ้าตัวเล็กที่เป็นลูกครึ่ง

          สายตาหลาน ๆ ดึงดูดให้แม่หันมา พิมอ่านไม่ออกว่าแม่กำลังคิดอะไร จ้องพิมคล้ายคนแปลกหน้า แน่ล่ะ พิมหายไปเหมือนตายจาก ถึงจะส่งเงินมาให้ แต่ไม่เคยโทรหา ไม่มีภาพถ่าย ข้อความ หรือแม้แต่แผ่นป้ายสวัสดีวันจันทร์

          “มึงมาทำไม”

          “พิมมารับลูก”

          “ไหนลูกมึง”

          พิมมองไปที่กลุ่มเด็ก นับแล้วมีเจ็ดคน ผอมกะหร่องไม่ต่างกัน ให้ตายเถอะ พิมไม่รู้จริง ๆ ว่าคนไหนลูกเธอ โรมก็คงช่วยไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเห็น 

          พวกเด็ก ๆ ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่มีสักคนมองเธอแบบลูกมองแม่ ทุกสายตาล้วนห่างเหิน 

          “เพลง พีท มาหาแม่”

          ทั้งหมดยังคงนั่งนิ่ง ทำราวกับเธอเป็นแม่มดมาจับเด็ก ลูกทั้งสองจึงไม่ยอมมีปฏิกิริยาใด ๆ ให้เกิดพิรุธ

          “บอกให้มาไง เพลง พีท ไม่ได้ยินแม่เหรอ”

          ระดับเสียงของพิมเพิ่มขึ้น แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

          “โอ๊ย เป็นบ้าอะไรเนี่ย อยากตายกันนักหรือไง” 

          อยู่ ๆ น้ำตาของพิมก็ล้นทะลัก พิมไม่ใช่คนเจ้าน้ำตา ไม่คิดด้วยว่าจะต้องมาเสียน้ำตา แต่ทำไมไอ้น้ำอุ่น ๆ ถึงไหลออกมาก็ไม่รู้

          “มึงกลับไปซะ” แม่พูดเรียบ ๆ เสมือนเป็นคำขอสุดท้าย

          “ไม่” พิมไม่ยอมอีกต่อไป “แม่มีสิทธิ์อะไรถึงได้ทำแบบนี้”

          “แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ในเมื่อกูทำทุกอย่างแล้ว กู ยายของมึง แล้วก็ไอ้พวกนั้น...” แม่กวาดมือชี้ไปที่เด็ก ๆ “...คงไม่ต้องไปนอนข้างถนน ถ้าไม่ใช่เพราะมึง”

          “ทำไมแม่เอาแต่โทษพิม แม่ก็รู้ พิมทำงาน ส่งเงินมาให้แม่ตลอด”

          “แล้วมันพอหรือไง กับไอ้หนี้ที่มึงสร้างไว้” 

          “แม่เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”

          “โถ ๆ อยากให้กูเลิกพูด ตอนนั้นกูไม่น่าสังเวชมึงเลย กลัวมึงจะติดคุก เลยเอาที่ตรงนี้ไปจำนอง ใครจะรู้ว่าไอ้ทนายเชี่ย มันจะหลอกเอาเงิน”

          “เรื่องมันหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นพิมยังเด็ก ยังโง่”

          “ก็เพราะมึงเสือกทำเรื่องโง่ ๆ พวกกูถึงต้องถูกไล่ที่ ต้องระเห็ดจากบ้านที่อยู่กันมาทั้งชีวิต”

          “ถ้าแม่โทษว่าพิมเป็นต้นเหตุ ก็มาลงกับพิม ฆ่าพิมเลยก็ได้ เอาให้สาแก่ใจ แต่ลูก ๆ ของพิมไม่เกี่ยว”

          “อ๋อ อยู่ ๆ ก็เกิดรักลูกขึ้นมา ทั้งมึง พี่ ๆ ของมึง มีใครรักลูกมั่ง ดีแต่เอากัน มีลูกแล้วก็เอามาทิ้งไว้ให้กูเลี้ยง” 

          “พอได้แล้ว”

          พิมคว้าขวดน้ำมันก๊าดบนโต๊ะ ขวดที่แม่ถ่ายลงเฟสนั่นแหละ เปิดฝา พร้อมจะเทราดตัว สีหน้าโรมเปลี่ยนเป็นตกใจ

          “พิมจะทำอะไร”

          “ถ้าจะมีใครต้องตาย ก็ฉันนี่แหละที่ควรเป็นคนแรก” 

          “อย่า”

          โรมพุ่งเข้าไปแย่งขวดในมือพิม แต่พิมยึดไว้แน่น ทั้งคู่ยื้อกันไปมา ระหว่างนั้นน้ำมันก๊าดกระฉอกครั้งแล้วครั้งเล่า มันกระเซ็นไปทั่ว ทั้งบนพื้น ข้าวของ และชุดที่พิมกับโรมสวมใส่ กลิ่นเหม็นฉุนเฉียวจนพิมรู้สึกมึน สุดท้ายพิมคลายมือ ขวดร่วงลงพื้น เสียงเพล้งดังกังวาน เศษแก้วสีน้ำตาลกับน้ำมันแผ่กระจาย

          พิมหันไปจ้องแม่ “เอาสิแม่ ถ้าอยากเผา ก็เอาเลย จะได้ตาย ๆ กันให้หมด”

          ตอนนี้เองที่พิมเห็นน้ำตาบนใบหน้าหยาบกร้าน ครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นคือตอนถูกตำรวจจับ แม่ร่ำไห้และพร่ำบอก ลูกของแม่จะต้องไม่เป็นอีขี้คุกขี้ตะราง

          ไม่มีคำด่า ขณะแม่จูงมือเด็กสองคนมาส่งให้พิม

          “นี่ลูกมึง ดูแลพวกมันให้ดีแล้วกัน”

          พิมมองลูก ๆ ทั้งคู่มองกลับอย่างยังเห็นเธอเป็นคนอื่น 

          “ไปกัน”

          เด็กทั้งสองยืนนิ่ง เกาะแขนแม่ไว้แน่น ชัดเจนว่าไม่อยากไปกับพิม โรมมองพิมอย่างเข้าใจความรู้สึก เด็กคนอื่นต่างนั่งเงียบ ขณะที่ยายหันหน้าไปอีกทาง คล้ายพยายามก่อกำแพง ซ่อนตัวเองไว้ภายใน ไม่ขอรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด 

          ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนนิ่ง ราวอยู่ ๆ ปลั๊กชีวิตก็ถูกกระชากออก 

          ความเงียบทำเอาชาวบ้านที่เงี่ยหูฟังแปลกใจ พวกที่ออกมายืนหน้าบ้านเริ่มซุบซิบ แสดงความเห็น ถามกันไปมาด้วยความอยากรู้ ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครบอกได้ ว่าต่อจากนี้แต่ละชีวิตในบ้านจะเป็นอย่างไร

          เรือนไม้เล็ก ๆ ดูโดดเดี่ยวท่ามกลางบ้านทั้งหลาย แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า เพียงไม่กี่นาทีความมืดจะครอบคลุมทุกสิ่ง

          ชาวบ้านค่อย ๆ แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกคนมีเรื่องต้องจัดการ มีปัญหาให้สะสาง และมีความทุกข์เป็นของตัวเอง พวกเขาหวังเพียงว่า คนในบ้านนั้นคงไม่โยนปัญหาเพิ่มให้อีก ด้วยการจุดไฟเผาตามที่ลั่นวาจาไว้ คืนนี้พวกเขาคงต้องคอยสอดส่องทั้งคืน

          อีกนานกว่าแสงเช้าจะฉาย และสำหรับบางคน อาจไม่มีโอกาสได้เห็นแสงนั้น.

 

                         ............................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์