เรื่องสั้น : เดช 90s วัยรุ่นบ้านนอก : แดดเดือนหนาว
เรื่องสั้น : เดช 90s วัยรุ่นบ้านนอก : แดดเดือนหนาว
คำว่าแฟชั่นนี่มันสำคัญนัก ลงได้รับรู้และถูกใจเสียแล้ว ก็อยากได้อยากมีตามกระแสไปกับคนอื่นเขา หัวจิตหัวใจมักนำไปก่อนแล้ว มนุษย์น่ะนะคงเป็นแบบนี้แหละ โดยเฉพาะมนุษย์ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวย่อมรักสวยรักงาม อยากเท่ อยากเด่น และติดตามให้ทันยุคว่าชาวบ้านเขาไปกันถึงไหนแล้ว ต่อให้เงินทองไม่ค่อยมีก็ตะเกียกตะกายหามากันจนได้ อดอยากปากแห้งยังไงที่บ้านยังมีข้าวกิน แต่ความเท่นี่สิที่บ้านไม่มีให้ ต้องหากันเอาเอง ใครจะว่ายังไงก็ช่าง
พี่เดชหนุ่มเจ้าสำอางประจำหมู่บ้าน หลังจบ ป.6 ไม่ได้เรียนต่อ ไม่ใช่ฐานะยากจนอะไรหรอก แต่ใจไม่รักทางนี้ หัวจิตหัวใจไปทางรักอิสระซะมากกว่า อาศัยรับจ้างทั่วไปพอมีเงินใช้ตามประสา พี่แกจัดเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง หน่วยก้านไม่ต้องพูดถึง และยิ่งการแต่งตัวทันสมัยด้วยแล้ว พอเรียกได้ว่าโดดเด่นไม่น้อย จนมีบางคนออกไปทางหมั่นไส้ วันนั้นในวัย 17 – 18 ถือเป็นวัยรุ่นเต็มตัว พี่แกได้รับข้อเสนอเรื่องงานที่ต้องทำทุกวันต่อเนื่องสักครึ่งค่อนปี หรืออาจมากกว่านั้นก็เป็นได้
ไม่ต้องคิดมาก แค่ตกลงราคากันได้เท่านั้นเอง พี่เดชก็กลายเป็นคนเลี้ยงวัวชั่วข้ามคืน วัวฝูงนั้นน่าจะตกราวสิบกว่าตัว ทั้งตัวผู้ – ตัวเมีย และลูกวัว ตั้งแต่เช้าก็ไล่ต้อนจากคอกออกไปหาหญ้ากินตามทุ่งนาในหมู่บ้าน ก่อนหน้าหว่านข้าวทุ่งนาหญ้าเต็ม ช่วงปี พ.ศ. 2535 – 2536 มีที่ทางให้วัวกินหญ้าได้ไม่ซ้ำ และตอนนั้นก็ไม่มีใครเลี้ยงวัวกันสักเท่าไร งานนี้จึงหวานหมูสำหรับคนเลี้ยงวัวมือใหม่ เพราะมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย หาได้ที่ไหนงานแบบนี้ แถมมีเงินเดือนเป็นเรื่องเป็นราวอีก พี่แกนึกกระหยิ่ม
ร่มไม้ชายคลอง หรือร่มไม้ตามหัวไร่ปลายนา เป็นที่พักหลบแดดและอาจถึงขั้นงีบหลับของพี่เดช พี่แกจะปล่อยเฉพาะลูกวัวกับวัวตัวเมีย ส่วนวัวตัวผู้มักล่าม อาศัยปล่อยเชือกให้ยาว ๆ พอให้วัวมีพื้นที่เดินกินหญ้าได้จนอิ่ม เผลอเดี๋ยวเดียวตะวันตรงหัวก็ได้เวลาต้อนวัวทั้งฝูงกลับเข้าคอกแล้ว วัวอิ่มหมีพีมัน คนเลี้ยงก็ได้เวลากินข้าวเที่ยงเหมือนกัน จากนั้นคนเลี้ยงวัวจะสลัดคราบเป็นหนุ่มเจ้าสำอางตามเดิม ขี่จักรยานเสือหมอบวนอยู่ละแวกร้านค้าในหมู่บ้าน โน่นเย็น ๆ ค่อยปล่อยวัวกินหญ้าใกล้ ๆ บ้านอีกรอบ
ผ่านไปหนึ่งเดือน วันนั้นพี่เดชใส่รองเท้ายี่ห้อสกอลล์ (scholl) รุ่นฟิตเนส ดีลักซ์ 3.0 (Fitness Deluxe 3.0) ซึ่งเป็นรองเท้าแตะแบบสวมที่วัยรุ่นทั้งชายทั้งหญิงกำลังฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง แม้รองเท้ารุ่นนี้สีพื้นหลักจะเป็นสีขาว แต่ยังมีสีตามขลิบและบริเวณพื้นรองรับฝ่าเท้าให้เลือกระหว่างแดงกับน้ำเงิน พี่แกเลือกแบบสีแดงอย่างโดดเด่น คงทำนองจะถูกจะแพงเอาแดงไว้ก่อนก็น่าจะใช่ เอาเถอะ ใครเห็นเป็นต้องมองก็แล้วกัน ขนาดคนไปเรียนในเมือง หรือคนทำงานมีเงินเดือนก็ยังไม่ค่อยเห็นใครใส่ในหมู่บ้าน
พี่เดชไม่ยอมมานั่งร่วมวงหมากรุกเหมือนทุกวัน ยังคงคร่อมจักรยานเสือหมอบคู่ใจอยู่ใต้ต้นมะขาม นาน ๆ ทีก็สะบัดผมแสกกลางไว้รากไทร ทำนองว่าใบมะขามหล่นใส่ แอบทำเท่ไปตามเรื่อง และก่อนจะเดินเข้าร่วมวงยังก้มลงปัดฝุ่นที่ขากางเกงยีนส์ทั้งสองข้างอีก ลีวายส์ 501 ตัวนี้แม้จะรับมรดกมาจากพี่ชาย แต่เป็นของรักของหวงของพี่แกมาก และมักบอกใคร ๆ เสมอว่าของแท้นะตัวนี้
ทันทีที่หย่อนก้นลงบนม้าหินอ่อน พี่เดชเบี่ยงตัวออกจากวงเพราะกลัวโดนเหยียบตีน ขาหมากรุกถ้าได้รุกฆาต หรือเดินหมากจนคู่ต่อสู้จนกระดานย่อมสะใจ อาจเผลอออกท่าออกทางยกขามาเหยียบรองเท้าคู่ใหม่ได้โดยไม่เจตนา เรื่องนี้พี่แกรู้ดีจึงเตรียมป้องกันไว้เสียแต่เนิ่น ๆ และระหว่างนั้นยังทำทีลอกสายคาดตีนตุ๊กแกเสียงดังแควก ทำนองว่าให้บริเวณที่เท้าสวมกระชับพอดี แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรมากไปกว่าความเห่อรองเท้ายี่ห้อทันสมัยหรอก
“รองเท้าเท่โว้ย” เจ้าของร้านเปิดประเด็น
พี่เดชพยักหน้ายิ้ม พี่แกรอให้ใครสักคนทักอยู่พอดี
“ซื้อจากไหนเนี่ย แพงมั้ยวะ” เจ้าของร้านยังถามต่อ
“โน่น...ตลาดในจังหวัด หลายร้อยเหมือนกัน” พี่เดชเล่าอารมณ์ดี
“ของปลอมรึเปล่า” ใครบางคนไม่วายหยอก
“แท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ร้านตัวแทนจำหน่ายในจังหวัด” พี่เดชยืนยัน
“ระดับเดชแล้วปลอมได้ยังไง มันมีเงินเดือนของมัน ซื้อได้สบาย” เจ้าของร้านผสมโรง
พี่เดชลุกผละจากวงหมากรุก เดินไปเปิดตู้แช่หยิบขวดโค้กออกมา ที่เปิดฝาถูกออกแบบมาให้ฝังอยู่ในขอบประตูเปิด – ปิดตู้แช่ แล้วหยิบหลอดที่อยู่ใกล้ ๆ กันมาดูดน้ำดำอย่างสบายใจเฉิบ พลางขยับเท้าบนรองเท้าคู่ใหม่อย่างอารมณ์ดี พอจ่ายตังค์แล้วทำท่าจะกลับเลย แต่ต้องชะงักเพราะพรรคพวกร้องถามทำไมรีบกลับจังวันนี้ พี่แกรีบตัดบทว่าจะไปตักน้ำให้วัว แต่ยังไม่วายมีคนตะโกนแซวไล่หลัง
“อย่าเผลอใส่สกอลล์เหยียบขี้วัวนะไอ้เดช” ว่าแล้วทั้งวงหมากรุกก็หัวเราะกันลั่น
พี่เดชยังทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เป็นที่ชื่นชมของเจ้าของฝูงวัวอย่างมาก ใครเห็นต่างออกปากชมกันไม่เว้นวัน จากไอ้หนุ่มพวงมาลัยลอยไปลอยมา แม้ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่การไม่มีงานมีการทำเป็นเรื่องเป็นราวอาจดูไม่ดีนักในสังคมชาวชนบท แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว บางคนขนาดกระซิบกันทำนองว่า พี่แกเก็บเงินแต่งเมียหรือเปล่า แต่คุยไปคุยมาก็คิดไม่ออกว่าพ่อหนุ่มเลี้ยงวัวไปแอบชอบใครไว้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาขานี้ไม่เคยมีแฟน และก็ไม่เคยมีสาวใดชอบพี่แกอีกเหมือนกัน
ใครจะพูดกันอย่างไรก็ช่าง พี่เดชไม่ใส่ใจฟัง ชีวิตกลางทุ่งมีความสุขกว่า ปล่อยวัวกินหญ้า หาร่มไม้เอนหลังพิงให้สบายใจ ว่าแล้วพี่แกก็ล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายคู่ใจ หนังสะติ๊กกับลูกกระสุนดินเหนียวนอนนิ่ง ส่วนที่หยิบขึ้นมากลับเป็นเกมกด ของเล่นของวัยรุ่นวัยมัธยมที่แทบจะมีกันทุกคน แถมบางคนมีหลายอันอีกด้วย สีสันเตะตา ราคาไม่แพงนัก และรายได้จากการรับจ้างเลี้ยงวัวก็พอซื้อหามาเล่นได้สมใจอยาก ถ้าอยู่บ้านพี่แกจะเล่นแบบปิดเสียง แต่อยู่กลางทุ่งอย่างนี้ต้องเปิดเสียงให้สะใจ
ส่วนที่ใคร ๆ เรียกว่าเด็กติดเกมนั้น พี่เดชรับรู้ด้วยตัวเองแล้ว ขนาดไม่เด็กยังติดงอมแงม ยิ่งแพ้ยิ่งอยากแก้มือใหม่ แถมเล่นคนเดียวได้ไม่ต้องมีคู่แข่งแบบหมากรุก อีกอย่างหมากรุกกองเชียร์เยอะ ส่วนเกมกดต้องเล่นเงียบ ๆ ใช้สมาธิ ถ้ามีคนส่งเสียงโหวกเหวกแบบวงหมากรุกคงไม่ได้เรื่อง นั่นแหละ การอยู่กลางทุ่งจึงเป็นสวรรค์ของพี่แกไปเลย แต่นาน ๆ ช้า ๆ ต้องเงยหน้าดูวัวบ้าง โดยเฉพาะวันที่ไปเลี้ยงในนาที่ถัดไปปลูกข้าวโพด เพราะถ้าวัวกินข้าวโพดจะเป็นเรื่อง โชคดีเกมกดมีปุ่ม Pause ให้หยุดชั่วคราว
เกมกดที่ว่า เรียกอีกชื่อว่า Brick Game สำหรับอันที่พี่เดชฝากพี่ชายที่ทำงานในเมืองซื้อมาเป็นแบบ 4 in 1 นั่นคือในเครื่องมี 4 เกมให้เลือกเล่น ได้แก่ เกมตัวต่อ เกมงู เกมรถถัง และเกมขับรถบนถนน หลังจากลองเล่นแบบลองผิดลองถูกมาทั้งหมด พี่แกสรุปว่าตัวเองเหมาะกับเกมตัวต่อเป็นที่สุด ส่วนเกมงูนั้นพอได้ นาน ๆ เล่นสลับกับเกมตัวต่อที ที่เหลืออีกสองเกมขอบาย ไม่ถนัดจนเล่นไม่สนุก
เกมตัวต่อนั้นนิ้วมือสองข้างต้องกดกันระวิง ทั้งปุ่มซ้าย – ขวา ทั้งปุ่มบน – ล่าง ไหนจะปุ่มเปลี่ยนรูปร่างรูปทรงให้เข้าล็อค เพื่อให้ตัวต่อเต็มแถวและหายไป และ Score หรือคะแนนจะเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นถ้าตัวต่อเพิ่มขึ้น ๆ จนเต็มหน้าจอ และเกมโอเวอร์ ก็เท่ากับแพ้เท่านั้นเอง เรื่องคะแนนก็เหมือนกันเป็นเรื่องต้องทำลายสถิติตัวเองให้ได้ ทุกครั้งที่ทำลายสถิติหน้าจอจะระบุ Hi – Score หรือคะแนนสูงสุดไว้
ยังไม่หมด ไหนจะเรื่องการปรับระดับความเร็ว ที่บนจอเขียนไว้ว่า Level อีก เป็นความท้าทายทั้งนั้น ยิ่งเคยได้ยินเด็กมัธยมคุยข่มกันที่ร้านค้าว่า Score ได้กันเป็นหมื่น ๆ คะแนน แถมข้ามขั้นความเร็วกันไป Level 2 Level 3 แล้ว พี่เดชยิ่งต้องเร่งพัฒนาตัวเอง อีกอย่างที่ตอนแรกทำเอาพี่แกไปไม่เป็นเลย แต่เล่นบ่อยเข้าจึงจับทางได้ นั่นคือทั้งหน้าจอและปุ่มกดเป็นภาษาอังกฤษหมด ความรู้ ป.6 แบบเขียน A – Z ได้ และอ่านคำศัพท์ได้แบบงู ๆ ปลา ๆ แต่แปลเป็นไทยไม่ได้ซักกะคำ อะไร ๆ จึงช้าไปหมด
โลกผ่านเกมกดของพี่เดช ทำให้ห่างหายไปจากวงหมากรุก จนสมาชิกหลายคนเริ่มบ่นถามหา แม้จะเคยได้ยินเรื่องนี้ แต่พี่แกก็แกล้งทำหูทวนลมซะงั้น หลายเดือนที่รับจ้างเลี้ยงวัวมา ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของเป็นอย่างดี พี่แกจึงเริ่มแอบฝันถึงบางสิ่ง ความจริงฝันมานานแล้ว แต่เป็นได้แค่ฝันจริง ๆ ไม่รู้จะเอาเงินเอาทองที่ไหนไปซื้อหามา ลำพังรายได้จากงานรับจ้างที่ผ่าน ๆ มาไม่มีทางพอ เป็นเบี้ยหัวแตกได้ไปใช้ไป ไม่มีเก็บเป็นก้อน แต่ตอนนี้ชีวิตพี่แกเปลี่ยน พอมีเงินเก็บบ้างแล้ว และพอมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ฝันที่ว่าทำท่าจะเป็นจริงได้
ตะลึงกันไปทั้งหมู่บ้าน วันดีคืนดีหนุ่มเลี้ยงวัวทำงานมาเกินครึ่งปี มีมอเตอร์ไซค์ผู้หญิงยี่ห้อซูซูกิ (SUZUKI) รุ่นอากีร่า (Akira) ขี่ ซึ่งดังระเบิดจากโฆษณาทางหน้าจอโทรทัศน์ เพราะเพลงประกอบจังหวะโดนใจ นั่นคือการนำเพลง Have You Ever Seen The Rain ของวง CCR (Creedence Clearwater Revival) มาประกอบ แม้เป็นเพลงยุคเก่าก่อน แต่ก็สร้างกระแสผ่านโฆษณายุค 90s ได้อย่างเป็นปรากฏการณ์ เอาเป็นว่าต่างเรียกชื่อเพลงนี้ว่า “เพลงอากีร่า” เหมือนชื่อรุ่นมอ’ไซค์ที่โฆษณากันเลย
แม้เป็นเพียงรถมือสอง เพราะซูซูกิอากีร่าออกมาตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2533 แต่สำหรับพี่เดชมันย่อมดีกว่าจักรยานเสือหมอบเป็นไหน ๆ รถเก่าเจ้าของใช้ถนอมสภาพดีราคาพอจับต้องได้ แม้ต้องผ่อนกันอีกหลายงวดก็ตาม แต่นี่คือทางเดียวที่จะได้เป็นเจ้าของ โชคดีขนาดไหนที่เจ้าของเดิมก็คือลูกชายเจ้าของวัวที่พี่แกรับเลี้ยงนั่นแหละ งานนี้ยังใช้ขี่ไปไหนได้ไกล ๆ อีกต่างหาก แถมบางวันยังใช้ขี่ไปเลี้ยงวัวซะเลย แต่พอจอดริมถนนลูกรังก็เป็นต้องรีบคว้าผ้ามาเช็ดมือระวิง ราวกับจะไม่ให้ฝุ่นจับแม้เพียงนิด
เพลินกับอากีร่าสีแดงจนวันหนึ่ง วัวที่ปล่อยไปกินหญ้าเดินไปเกือบถึงแปลงข้าวโพดของชาวบ้าน พี่เดชวิ่งจากถนนลูกรังตัดทุ่ง พลางส่งเสียงตะโกนไล่ เกือบไปแล้ว ไม่งั้นค่าแรงคงเป็นค่าเสียหายวัวกินข้าวโพดแหง ๆ พี่แกรู้เลยว่าถ้าไม่เลิกเห่อเอาอากีร่ามาเลี้ยงวัวด้วย ไม่วันใดก็วันหนึ่งคงพลาดเข้าจนได้ หลังจากวันนั้นพี่แกไม่เคยขี่มอ’ไซค์มาเลี้ยงวัวด้วยอีกเลย
ห่างหายจากวงหมากรุกไปนาน วันหนึ่งพี่เดชนึกครึ้มใจขี่อากีร่าโฉบไปแถวนั้น ก่อนจะเลี้ยวจอดใต้ต้นมะขาม สมาชิกวงหมากรุกต่างส่งเสียงร้องแซวกันถ้วนหน้า พี่แกรู้ทางเลยเดินเลี่ยงไปในร้านค้า เปิดฝาขวดโค้กหยิบหลอดดูดเย็นชื่นใจ ก่อนค่อย ๆ เดินเลี่ยงมายืนข้าง ๆ วงหมากรุก มือขวาถือขวด มือซ้ายขยับชายเสื้อยืดอย่างเจตนาเผยให้เห็นพวงกุญแจมอ’ไซค์ที่คล้องอยู่กับหูกางเกงยีนส์ตัวเก่ง พร้อมยิ้มที่มุมปาก นาน ๆ ทีก็ดูดน้ำอัดลมแก้เขินซะที
“อู้ฟู่ใหญ่แล้วโว้ยเพื่อนเรา” บางคนเริ่มแซว
“ขี่รถดังซะด้วยนะเดช ไม่ธรรมดา” เจ้าของร้านผสมโรง
พี่เดชแค่พยักหน้ายิ้ม ส่วนใต้ต้นมะขามอากีร่าสีแดงเริ่มมีคนเดินไปยืนดูทีละคนสองคน แม้จะหวงรถ แต่พี่แกก็ไม่แสดงอาการ ค่อย ๆ เดินตามไปช้า ๆ และบอกตัวเองว่าคิดถูกแล้วที่ไม่เสียบกุญแจคาไว้ ไม่งั้นคงมีพวกมือบอนลองบีบแตร เปิดไฟเลี้ยวเล่น และถึงขนาดเปิดเบาะก็ยังเป็นไปได้ แต่ที่น่ากลัวสุดคือพวกอยากลอง และถ้ากุญแจคาอยู่ก็แค่บิดกุญแจ กระทืบคันสตาร์ท ใส่เกียร์ ขับออกไปวนทำเท่สักรอบสองรอบ ดีที่ไม่คากุญแจไว้ พี่แกโล่งอก
“ไป...เดี๋ยวไปก่อน” พี่เดชเดินแหวกคนเข้าไปนั่งคร่อมอากีร่า
“เดี๋ยวนี้ภารกิจเยอะนะเดชนะ” เสียงแซวยังไม่หมด
พี่เดชยิ้ม ไม่ต่อล้อต่อเถียง กระทืบคันสตาร์ททีเดียวติด เบิ้ลเครื่องทีสองที ก่อนเข้าเกียร์ขับอากีร่าสีแดงออกไป.
........................................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง