เรื่องสั้น : The Depression (2035) : พิชญะ ลาภาพันธุ์

เรื่องสั้น : The Depression (2035) : พิชญะ ลาภาพันธุ์

 

          หลังจากเรเชลถูกวินิฉัยว่า เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง เพราะด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หลังจากเธอเรียนจบก็ยังคงเกาะพ่อแม่กิน แต่สี่เดือนที่แล้ว พ่อแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุจากการซื้อทัวร์ไปเที่ยวภูเก็ต แต่รถเกิดพลิกคว่ำตกลงข้างทาง เธอสูญเสียบุคคลที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตสองคนในเวลาเดียวกัน และไม่ได้สร้างความภูมิใจให้กับพวกท่านแม้แต่น้อย ถึงจะเรียนจบสูงเหมือนลูก ๆ ของเพื่อนพ่อแม่ แต่เธอยังคงเกาะเงินพวกเขากินไปวัน ๆ แม้แต่หลังพ่อแม่ตายเธอก็ใช้เงินประกันกับเงินออมของท่าน มาประทังชีวิต จมอยู่กับความรู้สึกไร้ค่าในตัวเอง จนแล้ววันหนึ่งประกายไฟเล็ก ๆ ได้ถูกจุดขึ้นในใจ ประโยคที่ว่าคนหนุ่มสาวยังมีอนาคตอีกยาว ดังขึ้นมาในหัวของเธอ เป็นเหตุผลเล็ก ๆ ที่เธอตัดสินใจจะจบเรื่องราวที่เธอเผชิญอยู่ เธอจึงลากร่างกายของเธอจากบนเตียงในบ้านหลังเก่า ๆ ฝ่าแดดร้อนของยามเช้าไปยังคลีนิกจิตแพทย์ หลังจากนั้นเธอเดินถือใบสั่งยาของจิตแพทย์ไปยังศูนย์รักษาโรคของรัฐบาลที่นั่นเป็นอาคารเก่าไม่ได้รับการดูแลมาหลายปี ดูจากสีซีดจางบนผนังและรอยแตกร้าวที่หยั่งลึกและเผยโฉมให้เห็น จากคลินิกที่เธอไปวินิจฉัยเธอเดินจากที่นั่นไปยังศูนย์รักษาโรคของรัฐบาลเป็นเวลาสิบห้านาที ตอนนี้ผู้คนไม่นิยมใช้รถอีกแล้ว เพราะความพ่ายแพ้หรือจะเรียกว่าการรู้ว่าตัวเองไม่สามารถสู้กับภาวะโลกร้อนได้อีกต่อไป จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละเฉลี่ย 51,000 ล้านตัน นับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่มนุษย์ไม่ละเลยอย่างจริงจัง กลายเป็นว่า ก๊าซที่มีอายุอีกหนึ่งหมื่นปีในชั้นบรรยากาศเป็นตัวกักเก็บความร้อนของแสงอาทิตย์ให้ยังคงอยู่บนโลก เมื่อกักเก็บมากเข้าโลกก็ยิ่งร้อนขึ้น ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส ก็มากพอจะทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลไปทุกตารางเมตร

          ปี ค.ศ.2035 ทุกคนเลิกใช้รถยนต์น้ำมัน ส่วนรถไฟฟ้าที่เข้ามาแทนที่จำกัดอยู่แค่ในหมู่ของคนที่ยังพอมีทรัพยากรในการใช้ชีวิตมากพอ ดังนั้นขณะที่เรเชลเดินไปตามขอบถนน รถยนต์ไฟฟ้าสามสี่คันก็ผ่านเธอไป แต่อีกผลกระทบหนึ่งจากเหตุการณ์โลกร้อนก็คือ ผู้คนเริ่มรณรงค์ให้การมีลูกผิดกฎหมาย เพราะด้วยสองเหตุผลหลัก หนึ่งคือพวกเขาไม่อยากให้มนุษย์ที่เกิดมาใหม่ต้องมารับสืบทอดโลกที่ใกล้จะอยู่ไม่ได้แห่งนี้ กับเหตุผลที่สองก็คือการเกิดมนุษย์และเลี้ยงให้เติบโตนั้น ใช้พลังงานทรัพยากรเยอะจนเกินไป เหตุผลเหล่านี้ถูกยัดรวมให้อยู่ในโปสเตอร์รูปทารกเกิดใหม่พร้อมข้อความใหญ่ตรงกลาง ‘อยากจะให้พวกเขาเกิดมาจริงเหรอ’ กระจายทั่วอินเตอร์เน็ตและถูกติดอยู่ทุกเสาไฟฟ้าริมทาง

          ความพยายามในการหยุดวิกฤตที่จะล้างผลาญโลกให้กลับไปสู่การสูญพันธ์ครั้งที่หก ดูจะไม่สำคัญสำหรับเธอเลย เพราะราเชลเธอไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะต้องเสีย เธออายุยี่สิบสองปีจบจากมหาลัยระดับกลาง ๆ ในเมืองใกล้ ๆ จบในสาขาที่ทุกคนไม่รู้จะไปหางานอะไรทำในเวลานี้อย่างทางด้านภาษา เธอมีความเชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถเข้ามาแทนที่การแปลได้ดีกว่ามนุษย์ เป็นเพราะพวกมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า สำนวน หรือการเข้าใจน้ำเสียงของตัวบทดั้งเดิม ตอนปีสามบริษัทพัฒนาเอไอในประเทศได้เปิดตัว ‘สุนทร’ เอไอตัวใหม่ที่จะช่วยให้การแปลงานของคุณไพเราะและแม่นตรงน้ำเสียงเฉกต้นฉบับภาษาเดิม สุนทรสามารถแปลได้ทุกภาษาไม่ว่าจะภาษาหลัก ๆ ของโลกธุรกิจ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส เยอรมัน หรือภาษาไทยโบราณ ภาษาชนเผ่า สุนทรสามารถแปลให้มีสำนวนเหมือนภาษาคนไทยพูดได้ทั้งหมด

          เรเชลไม่มีอะไรอีกแล้ว ทั้งงาน เงิน อนาคต สิ่งที่เธอมีคือหนี้ หนี้ และหนี้ ในเช้าวันที่เธอ... เธอกลับไม่กล้าแทงมีดเล่มนั้นเข้าไปในร่าง เกิดกลัวขึ้นมาว่าถ้าหากเธอไม่ตายจะเป็นยังไง ถ้ามันไม่โดนจุดสำคัญ เธอจะต้องนอนจมกองเลือดตัวเองไปอีกกี่ชั่วโมง ? ดังนั้นเธอจึงลากร่างกายอันปรารถนาจะมีชีวิตอยู่น้อยนิดไปยังคลินิกจิตแพทย์ของเมือง จ่ายค่ารักษาด้วยเงินอันน้อยนิดของเธอ พร้อมจ้องใบหน้าอมโศกของผู้ป่วยอีกสิบคนที่มาอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่เธอไม่รู้เรื่องราวของพวกเขา แม้แต่คนเดียว อาจเป็นคนแปลกหน้าที่เจอกันในศูนย์รักษาโรคของรัฐบาลที่เธอเดินมาถึงแล้ว หรือไม่ก็ไม่พบหน้ากันอีกเลย

          เธอยื่นใบสั่งยาให้กับพนักงานสาธารณะสุขหน้าประตูรั้ว เขาให้เธอผ่านไปได้และบอกทางให้เดินไปยัง ทางเข้าหมายเลขสี่และคืนใบสั่งยาให้เธอ

          ทางเข้าหมายเลขสี่เป็นโถงทางเดินยาวที่มีแปดห้องระหว่างทาง เธอพบพยาบาลคนหนึ่ง ยื่นใบสั่งยาให้ พยาบาลแค่อ่านอย่างผ่าน ๆ ก็บอกเธอทันทีว่า “ตอนนี้เต็ม” พยาบาลเดินไปชะโงกดูสิ่งที่อยู่ในแต่ละห้องผ่านหน้าต่าง และเดินกลับมาหาเธอพร้อมบอกว่า “อีกสองชั่วโมงจะมีที่ว่างให้ ฉันจะเตรียมไว้ให้คุณ” ราเชลพยักหน้าและเดินออกมา

          ไม่มีอะไรอีกแล้วบนโลกที่เธอรู้สึกว่ามันเป็นของเธอ การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ใช่ว่าเธอเศร้าอยู่ตลอด หากแต่คือภาวะสิ้นยินดี เธอไม่สามารถรู้สึกอะไรได้ ทั้งสุข เศร้า เหงา เคว้ง เธอไม่รู้จักมัน ไม่พบหน้าพวกมัน ถึงพวกมันจะเยี่ยมหน้าเข้ามาใกล้ เธอก็สัมผัสไม่ถึง

          เธอเดินเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย นับถอยหลังอีกหนึ่งร้อยยี่สิบนาที พินิจซึ่งทัศนียภาพที่เธอคุ้นเคยมาตลอดในเมืองบ้านเกิด แต่มันกลับถอยห่างถึงความคุ้นเคย เธอพบเจอผู้คนที่เดินริมถนนเหมือนเธอเช่นกัน สภาพของบางคนเหมือนขอทาน บางคนเหมือนคนหาเช้ากินค่ำ ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่โปสเตอร์และกระแสสังคมจะรณรงค์ให้ไม่มีลูก

          เธออ่านใบสั่งยาอีกหนเป็นรอบที่เจ็ดหลังจากเดินมาถึงหอนาฬิกากลางเมือง อ่านข้อความที่ถูกดอกจันเอาไว้ ‘*กินอาหารให้เพียงพอก่อนเข้ารับการรักษา แนะนำให้กินจนอิ่มท้องมาก ๆ’ อีกหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาทีเธอจะต้องเข้ารับการรักษา เธอตัดสินใจเดินย้อนกลับไปทางเดิม และหาร้านสะดวกซื้อแถวนั้น

          ร้านสะดวกซื้อดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่ร้านอาหารตามสั่งทั่วไปที่เริ่มล้มหายตายจาก ผู้คนที่ไม่มีอนาคตเช่นเรเชล หอบเงินและฝากท้องแต่ละมื้อกับร้านอาหารสะดวกซื้อที่มีอาหารสำเร็จรูปราคาถูกให้รับประทาน เรเชลเจียดเงินอันน้อยนิดของเธอซื้อข้าวกล่องสามกล่อง กินเหมือนมันเป็นมื้อสุดท้ายของเธอ

          เธอนั่งกินข้าวกล่องสำเร็จรูปที่ถูกออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ย่อยสลายภายในเจ็ดวัน จิตสำนึกร่วมของผู้คนในขณะนี้คือการกินข้าวให้หมด เพราะไม่เช่นนั้นคุณอาจจะถูกมองอย่างรังเกียจและขาดความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม เรื่องนี้มีความสำคัญในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เพราะเหตุนี้ผู้คนที่เดินผ่านเรเชลไปจึงอดไม่ได้ที่จะสอดส่องสายตาของพวกเขาไปยังกล่องข้าวที่เรเขลกินเสร็จแล้ว ดูว่ามันว่างเปล่าอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่

          เธอเดินไปศูนย์รักษาโรคอีกครั้งก่อนถึงเวลาที่นัดไว้สิบนาที ทำทุกขั้นตอนเช่นเดิม ยื่นใบสั่งยาจากจิตแพทย์ให้คนเฝ้าประตู เขาพูดเหมือนเดิมเหมือนจำไม่ได้ว่าเมื่อสองชั่วโมงก่อนพวกเขาเคยพบกัน เธอเดินไปยังทางเข้าหมายเลขสี่ พยาบาลเดินเข้ามาหาเธอ “ทันเวลาพอดี คนก่อนหน้าพึ่งออกไป ฉันจะพาคุณไปเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษา”

          เธอถูกนำตัวไปยังห้องสุดทางเดิน เมื่อประตูสีขาวถูกเปิดออก ข้างในห้องมีเพียงกระจกใหญ่เท่าตัวคนหนึ่งบาน ม่านกั้นห้องสำหรับให้ผู้ป่วยเปลี่ยนชุดเป็นชุดพิเศษจำเพาะ ชุดหนาสีดำที่ผิวสัมผัสลื่นเหมือนหนังปลา พยาบาลบอกเธอให้เปลี่ยนชุด พร้อมถามว่า “กินข้าวมาแล้วใช่ไหม” ราเชลมองหน้าพยาบาลเหมือนว่าพยาบาลเป็นเพียงคน ๆ เดียวที่เธอเหลืออยู่บนโลกแห้งแล้งเหี่ยวเฉาซึมเศร้าของเธอ แต่เธอสัมผัสความรู้สึกตัวเองไม่ได้ “ใช่”

          เธอเปลี่ยนชุดเสร็จ มันรัดรูปจนเห็นส่วนโค้งของร่างกายเธอ พยาบาลพาเธอไปหน้าหน้ากระจกพร้อมแนะนำขั้นตอนที่ต้องทำ “เมื่อคุณเข้าไปข้างใน สิ่งที่ต้องทำคือหายใจช้า ๆ หายใจเข้า หายใจออก พยายามผ่อนคลายร่างกาย อย่าเกร็ง แล้วมันจะหลับง่าย สิ่งสำคัญคือต้องหลับ เมื่อหลับแล้วทุกอย่างก็จบ” ขณะฟังการอธิบายขั้นตอนเรียบง่ายเหล่านั้น ราเชลจ้องมองตัวเองในกระจก ผมดำเข้มยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเก่าใส่ให้พอดูดี และสีหน้าโทรมเหมือนคนใกล้ตาย เธอไม่รู้สึกอะไร

          พยาบาลนำเธอเข้าไปยังห้องที่ตอนนี้ว่าง Cryosleep Capsule ซึ่งเป็นงานวิจัยของนาซ่า มันเป็นสวัสดิการของรัฐ ที่ทุกประเทศพร้อมใจกันเห็นด้วยกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด มันถูกดัดแปลงมาจากงานวิจัยของนาซ่า Cryosleep Capsule ในตอนแรกมันถูกสร้างขึ้นโดยเป้าหมายให้มนุษย์จำศีลเป็นเวลา 180 วัน เพื่อเดินทางไปยังดาวอังคาร แต่มีนักวิจัยทำวิจัยแย้งกับความพยายามดังกล่าว เพราะปัญหาที่มนุษย์ไม่สามารถจำศีลเป็นเวลานานได้ก็คือระบบเผาผลาญของร่างกายที่ดีเกินไป จนทำให้ไม่สามารถประหยัดพลังงานได้นานเพียงพอ เพราะถึงแม้จะมีสายส่งอาหารขณะมนุษย์จำศีลอยู่ก็ตาม ก็เสี่ยงต่อการเสียชีวิต จนเมื่อสิบปีที่แล้วมีบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เกิดนึกไอเดียนำเทคโนโลยีชิ้นนี้มาปัดฝุ่นใหม่ ด้วยเป้าหมายไม่ใช่ส่งคนไปมีชีวิตใหม่บนดาวใหม่ แต่ทำให้ชีวิตเดิม ในดาวเดิม ดีขึ้น ญี่ปุ่นเมื่อสิบปีที่แล้วประชากรส่วนใหญ่เป็นโรคซึมเศร้าแทบจะติดอันดับโลกถ้าเทียบในอัตรส่วนจำนวนประชากร ดังนั้นบริษัทดังกล่าวจึงสร้างเครื่องจำศีลชิ้นนี้ขึ้นมา ด้วยชื่อใหม่ Anti Depression sleepCapsule รัฐบาลในหลายประเทศเป็นผู้ซื้อหลัก ด้วยความสามารถอันวิเศษของมัน เมื่อผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้านอนในแคปซูลนี้เป็นเวลาเพียงแค่เจ็ดวัน เครื่องจะปรับเปลี่ยนสารเซโรโทนินในสมองให้กลับมาสมดุลดังเดิม เมื่อผู้ป่วยออกมาจากเครื่องในเจ็ดวันให้หลัง เธอหรือเขาก็จะกลายเป็นเธอหรือเขา ‘ปกติ’

          โลงศพกระจกใสตั้งอยู่หน้าราเชล นี่คือสถานที่พักผ่อนของเธออีกเจ็ดวันข้างหน้า พยาบาลบอกให้เธอเข้าไปนอนข้างใน เทคโนโลยีใหม่นี้ไม่จำเป็นต้องมีสายอาหารโยงใยเข้าไปในตัวผู้จำศีล ขอแค่เพียงกินอาหารมาให้อิ่มท้องก็เพียงพอแล้ว น้ำที่ขาดไม่ได้ก็ไม่ต้องห่วงเพราะเมื่อเครื่องตรวจร่างกายของผู้พักผ่อนว่าถ้าหากร่างกายหลับแล้วนั้น จะปล่อยน้ำที่รักษาอุณหภูมิให้คงที่ที่ 5 องศาเซลเซียส โดยที่มีที่ครอบให้ผู้รักษาไว้หายใจและไม่สำลักน้ำตาย

          ราเชลสวมใส่ที่ครอบหายใจดังกล่าว ก้าวเข้าไปในแคปซูล เธอพยายามทำให้ร่างกายหายเกร็งที่สุด แคปซูลหรือโลงศพกระจกใสถูกปิดฝาแคปซูลของมัน เหมือนศพของเธอกำลังนำไปทำพิธี เธอตายไปเจ็ดวัน ร่างกายที่ถูกนำไประลึกถึงในศาสนสถานสักแห่ง เธอจะหลับใหลเหมือนตายไม่ฝันไม่รับรู้ไม่รู้สึก และเมื่อถึงวันที่เจ็ดร่างกายของเธอถูกเผา ตัวตนเดิมได้หายไปจากโลก เป็นเพียงเถ้าธุลี ลอยหายเป็นเศษฝุ่นในอากาศ

          เธอหลับไปเช่นนั้นเป็นเวลา 7 วัน น้ำที่เธอดื่มเข้าไปมีส่วนผสมที่ถูกคิดค้นขึ้นสำหรับปรับสมดุลสารเคมีในสมอง ร่างกายต้องได้รับมันในปริมาณน้อย ๆ แต่สม่ำเสมอตลอดเจ็ดวัน

 

          เธอตื่นขึ้นมาในอีกเจ็ดวัน โลกยังคงเป็นใบเดิม ปัญหาเดิม ๆ แต่เธอกลับรู้สึกสงสัยโดยพูดได้เต็มปากว่ารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดแจ้ง และควรจะเป็น พยาบาลคนเดิมที่เธอพึ่งพบหน้าไปเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว แต่เหมือนกับเมื่อสองนาทีที่ผ่านมาแค่นั้นเอง กำลังกดปุ่มปรับที่แผงควบคุม น้ำไหลออกจากตัวแคปซูล เธอหนาวเยือกถึงกระดูก แต่มีลมร้อนช่วยปรับอุณหภูมิร่างกาย เมื่ออุณหภูมิกลับมาปกติ ฝาโลงเปิดออก เธอก้าวเท้าออกไปพร้อมชุดหนังสีดำรัดรูปที่ใส่อยู่ มันกลับไม่เปียกน้ำ พยาบาลนำเธอกลับไปยังห้องเดิม เปลี่ยนชุด และเดินกลับออกมา โดยที่ระหว่างทางทุกห้อง เธอเห็นผู้คนหลับใหลในโลงศพ

          ง่าย เร็ว เหมือนไม่กี่นาทีเธอกลับมาเหมือนเมื่อยังไม่เป็นโรคซึมเศร้าอีกครั้ง กลับมาสัมผัสอารมณ์ลิ้มรสของชีวิตอีกครา ในอากาศแรกที่เธอสูดลึกเข้าปอด ลมหายใจในโลกที่เผชิญกับวิกฤตโลกร้อน คนตกงาน และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่คน อารมณ์แรกที่เธอได้ลิ้มรสอย่างเต็มที่คือความสิ้นหวัง เคล้าด้วยความมืดหม่นที่ไม่เห็นแสงจากทางข้างหน้า

          เธออยากกลับเข้าไปยังข้างในแคปซูล ไม่ใช่เพื่อทำให้เธอหายจากโรคยอดนิยมแห่งยุคสมัย แต่ให้เธอกลับไปเป็นโรคยอดนิยมเหมือนเดิมต่างหาก

          เพราะชีวิตที่สัมผัสลิ้มรสอารมณ์ไร้ความรู้สึก ยังดีเสียกว่ามีความรู้สึกอย่างแจ่มแจ้ง บนโลกใบนี้เสียอีก

 

.....................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

                  “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                   วรรณกรรมออนไลน์