เรื่องสั้น : นิราศสาธารณรัฐเช็ก : อธิวัฒน์ พงษ์สุระ

เรื่องสั้น : นิราศสาธารณรัฐเช็ก : อธิวัฒน์ พงษ์สุระ

 

            ผมอยู่ที่เมืองเชสกี กรุมลอฟ (Cesky Krumlov) ทางตอนใต้ของภูมิภาคโบฮีเมีย (South Bohemia) หลังจากเดินทางมาอย่างยาวนาน ผมก็มาถึงบ้านของคุณตากับคุณยายในเมืองเชสกี กรุมลอฟ เหล่าบรรดาญาติๆ ชาวไทยในเมืองที่รู้ข่าว ต่างก็มารอต้อนรับที่บ้านของคุณยาย ทำให้มื้อค่ำวันนั้นอบอุ่นและดูครื้นเครง ได้ยินเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาเป็นภาษาไทยดังขึ้นอยู่ไม่ขาด

            หลังมื้อค่ำ ผมเดินดูภาพถ่ายภายในบ้าน ที่ติดเรียงรายอยู่บนฝาผนัง มีทั้งภาพเก่าและภาพใหม่ปะปนกันไป เดินดูไล่เรียงจนมาหยุดอยู่ที่ภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ที่คุณตาได้สะสมเอาไว้

            “นี้คือภาพของวาตซลัฟ ฮาเวล กำลังโบกไม้โบกมือทักทายประชาชนที่ให้การสนับสนุนเขา ในฐานะแคนดิเดตประธานาธิบดี”

            คงด้วยเห็นผมยืนจ้องอยู่ตรงหน้าภาพใบนี้นาน คุณตาของผมที่เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์จึงเดินเข้ามาเล่าให้ฟัง

            “ภาพนี้คือภาพของพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย แต่คนอื่นที่อยู่ในภาพ ผมไม่รู้จัก แต่ผมเดาว่าต้องเป็นคนสำคัญอย่างมากคนหนึ่งเลย” ผมชี้ไปที่ภาพใบหนึ่งที่ติดอยู่บนฝาผนัง

            “นั่นคือภาพถ่ายของวาตซลัฟ ฮาเวล ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเช็ก กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งฮาเวลเดินทางมาเยือนประเทศไทย” คุณตาบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้

            คุณยายผายมือไปที่ภาพขาวดำใบหนึ่งที่มีกองทหารตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบ เป็นภาพที่ดูเก่า แต่ทว่าขรึมขลังและทรงพลังยิ่งนัก

            “นี่คือพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสประเทศเชโกสโลวาเกีย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองแผ่นดิน เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไทยได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนดินแดนของชาวเช็ก”

            “จริงเหรอครับยาย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสประเทศเชโกสโลวาเกีย”

            “ใช่แล้วจ้าหลานรัก”

            ผมมองไปที่ภาพขาวดำดูเลือนราง แต่ก็พอให้มองเห็นว่าเป็นภาพของโรงงานอะไรสักอย่างหนึ่งในสมัยก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าต้องมีความสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับประเทศไทยหรือสาธารณรัฐเช็กไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะมีอักษรภาษาไทยจารึกไว้ใต้ภาพว่าโรงงานผลิตน้ำตาลที่จังหวัดลำปาง

            “ส่วนภาพขาวดำใบนี้ เป็นภาพของโรงงานน้ำตาลที่จังหวัดลำปาง ซึ่งบริษัท Skoda ได้เข้ามาลงทุนทำธุรกิจในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งในสยามประเทศด้วย” ยายช่วยคลายความสงสัยให้ “ยายกับตารู้แล้วว่าจะพาหลานไปเที่ยวที่ไหนบ้าง แต่เอาเป็นว่าคืนนี้ขอให้หลานได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มอิ่มก่อน เพราะวันนี้เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยทั้งวันแล้ว” ยายพูดยิ้ม ๆ แบบคนมีความลับ

            คืนนั้น ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้มาเยือนที่นี่ พอหัวถึงหมอน ไม่นานความเหนื่อยล้าก็เห่กล่อมให้หลับใหล

วันต่อมา เมื่อทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ตากับยายเตรียมออกรถพาท่องเที่ยวล่องไหลไปในความงดงามของเมืองเชสกี กรุมลอฟ อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังของสาธารณรัฐเช็ก สถาปัตยกรรมและศิลปะของเขตเมืองเก่าทำให้ผู้มาเยือนต้องหลงใหล ความยิ่งใหญ่ของปราสาทกรุมลอฟอันงดงามและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ตลอดจนอาคารบ้านเรือนแบบเรอเนสซองส์และบาโรก ทาหลังคาด้วยสีส้มสด มีแม่น้ำวัลตาวาไหลผ่านโอบล้อมเมืองในลักษณะคดโค้งเป็นคุ้งไปตามเนินเขา ดูราวกับหยาดน้ำค้างที่กำลังหยดลงมาจากใบไม้ เป็นเมืองที่งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย

            ตัวเมืองถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีแม่น้ำวัลตาวาไหลผ่าน ศูนย์กลางของเมืองจะอยู่ทางฝั่งทิศใต้ ส่วนฝั่งทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของปราสาทกรุมลอฟ เต็มไปด้วยบรรดาร้านอาหารและโรงแรมที่ถูกดัดแปลงให้เหมือนกับบ้านเมืองในยุคกลาง มีเมนูอาหารท้องถิ่นของแคว้นโบฮีเมีย และ Eggenberg Dark หรือเบียร์ดำให้ได้ลิ้มลอง

            คุณยายเล่าให้ผมฟังว่า มีพิพิธภัณฑ์กระจายตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของเชสกี กรุมลอฟ เริ่มตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองที่มีนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมือง พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่มีหุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญต่าง ๆ พิพิธภัณฑ์เครื่องทรมานที่นำเสนอเครื่องทรมานนักโทษในสมัยก่อน พิพิธภัณฑ์หินแร่ที่เก็บรวมรวบหินแร่เก่าแก่มาไว้ให้ได้ชม

            คุณตากับคุณยายพาผมมาที่โบสถ์ St. Vitus Church เป็นสถานที่แรก โบสถ์เก่าแก่ประจำเมือง ถือเป็นโบสถ์ประจำตระกูล Schwarzenberg ซึ่งเป็นเจ้าของปราสาทกรุมลอฟคนสุดท้าย

            จากนั้นก็ไปเยี่ยมชมปราสาทกรุมลอฟ (Krumlov Castle) เป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสาธารณรัฐเช็กรองจากปราสาทปราก สิ่งก่อสร้างอันโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเชสกี กรุมลอฟ  แบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ๆ คือ ตัวปราสาท หอคอยของปราสาท และสวนของปราสาทที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

            “ปราสาทกรุมลอฟ เป็นหนึ่งในปราสาทอันเป็นที่รู้กันดีว่าเต็มไปด้วยเรื่องเล่าและตำนานลึกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกแนวสยองขวัญเสียมากกว่า เช่น ผีสตรีในชุดขาว ตำนานของผียามเฝ้าเกลือ เรื่องของวิญญาณ Evelyna หญิงสาวนักแสดงผู้พ่ายรัก” คุณตาเล่าให้ฟังพร้อมกับทำเสียงน่ากลัว

            พวกเราไปที่ Castle museum พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของสามตระกูลผู้ปกครองปราสาทกรุมลอฟ คือ Rosenberg,Eggenberg และ Schwarzenberg จากนั้นขึ้นไปชมวิวบนหอคอยปราสาทกรุมลอฟ ด้านนอกหอคอยมีภาพวาดปูนเปียกหรือ Fresco ลวงตาให้ดูเหมือนเป็นแผ่นกระเบื้องปกคลุมหอคอย

 

            เมืองถัดมาที่เราไปเยือนคือคาร์โลวี วารี เมืองแห่งบ่อน้ำแร่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งเมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่สี่ ทรงพบแหล่งน้ำแร่โดยบังเอิญที่เมืองนี้ในขณะออกล่าสัตว์ แล้วพบว่าบ่อน้ำแร่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาอาการปวดเมื่อยและรักษาโรคเรื้อรังชนิดต่าง ๆ พระองค์โปรดปรานการแช่น้ำแร่ที่นี่มาก จึงได้ยกฐานะให้คาร์โลวี วารีขึ้นเป็นเมือง คาร์โลวี วารีเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขาอันบริสุทธิ์ ทำให้มีอากาศดีตลอดทั้งปี

            สถานที่แห่งแรกที่เราไปไม่ใช่บ่อน้ำแร่ แต่คือพิพิธภัณฑ์ Museum of Glass MOSER ซึ่งหนึ่งในของฝากที่ขึ้นชื่อของเช็กคือ เครื่องแก้ว Moser มีความประณีตสวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การเลือกวัตถุดิบจากคริสตัลจากเมืองคาร์โลวี วารี ซึ่งมีแร่โพแทสเซียมสูงกว่าที่อื่น ทำให้ได้เนื้อแก้วที่แข็งแรงทนทาน มีความใสและเปล่งประกายระยิบระยับ

            “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เคยเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำเครื่องแก้วคริสตัลที่ Moser” ยายพูดขึ้น

            “ผมรู้แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตากับยายพาผมมาเที่ยวที่ Museum of Glass MOSER ใช่ไหมครับ”

            “ใช่จ้าหลานรัก ท่านเอกอัครราชทูต Jan Masaryk ในฐานะตัวแทนของท่านประธานาธิบดี ได้จัดแสดงชุดจานชามสำหรับอาหารมื้อค่ำแด่สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี และได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงเลือกชุดจามชามสักหนึ่งชุดตามพระราชหฤทัย”

            ยายเล่าให้ฟังพร้อมกับเดินชมเครื่องแก้วหลากหลายชนิดในพิพิธภัณฑ์ไปด้วย

            “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีได้มีพระราชเสาวนีย์ให้ทางโรงงานผลิตชุดพระกายาหารค่ำสำหรับแขกยี่สิบสี่คนสองชุด โดยชุดหนึ่งเป็นเครื่องแก้ว ส่วนอีกชุดเป็นเครื่องเคลือบดินเผา แล้วให้จัดส่งไปยังกรุงปารีส เพื่อจะนำส่งลงเรือกลับไปบางกอก” ยายหยุดดูเครื่องแก้วชิ้นหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ผลงานชิ้นเอกทั้งสองชุดทั้งแบบเครื่องแก้วและเครื่องเคลือบดินเผา ถูกจัดส่งไปยังห้องประทับที่โรงแรม Alcon ในกรุงปราก พร้อมกับหนังสือน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายจากผู้ผลิต และนอกจากนี้ ได้มีการจัดส่งกล่องที่ภายในบรรจุเครื่องแก้วสองชิ้น ไปยังที่พักของพระยาสุพรรณบัติ ซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตสยามประจำกรุงลอนดอนอีกด้วย”

            พอออกจากพิพิธภัณฑ์ ก็มาท่องเที่ยวบนถนนคนเดินเส้นเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า T.G.Masaryka ที่ตั้งชื่อตามรัฐบุรุษชาวเช็ก Tomas Garrigue Masaryk ประธานาธิบดีคนแรกของเชโกสโลวาเกีย สองข้างทางมีร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก เมื่อเดินมาจนเกือบสุดทางจะเจออนุสาวรีย์ของอดีตประธานาธิบดี ซึ่งท่านเคยมาพำนักอยู่ที่เมืองนี้

            จากนั้นพากันไปเที่ยวศาลาน้ำแร่หรือที่เรียกว่า Colonade มีศาลาน้ำแร่หลายแห่ง เปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถดื่มน้ำแร่ได้

            หลังพักทานอาหารกลางวัน ก็ถึงเวลาเที่ยวบนเขาเหนือเมืองคาร์โลวี วารี รถรางขึ้นเขานำพวกเราทั้งสามคนไต่สูงขึ้นไปบนเขาอย่างช้าๆ ธรรมชาติวิวทิวทัศน์เบื้องล่างสวยงามเกินคำบรรยาย

            “เราสามารถชมความงดงามของเมืองคาร์โลวี วารีจากมุมสูงได้จากมุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหอสังเกตการณ์ไดอานา หอสังเกตการณ์คาร์ลที่สี่ จุดชมวิวพระเจ้าปีเตอร์มหาราช อนุสาวรีย์กวางกระโดด” คุณตากล่าว

            เมื่อขึ้นมาอยู่บนภูเขา มองลงไปเห็นความงดงามของเมืองคาร์โลวี วารี ในยามสนธยากาล แสงแดดยามเย็นอันอบอุ่นสาดส่องไปทั่วบริเวณเห็นแล้วอบอุ่นใจ อากาศเย็นสบายมีลมโชยพัดมาอยู่ตลอดเวลา

 

            เมืองต่อมาที่คุณตากับคุณยายพาผมไปเที่ยวคือ เมืองเพิลเซน (Pilsen) เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของภูมิภาคโบฮีเมีย เมืองนี้ตั้งอยู่ตรงจุดบรรจบของแม่น้ำสี่สาย จึงกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าขายชายแดนระหว่างเช็กกับเยอรมัน เมืองเพิลเซนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้รักการดื่มเบียร์จากทั่วโลก เพราะเป็นเมืองต้นกำเนิดของเบียร์ชื่อดังอย่าง พิลส์เนอร์ อูร์เควลล์ ส่วนเขตเมืองเก่าเพิลเซนเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ที่งดงามตระการตารายรอบจัตุรัส Namesti Repubiky

            สถานที่แรกที่คุณตากับคุณยายพาผมมาเยี่ยมชมคือพิพิธภัณฑ์โบฮีเมียตะวันตก (Museum of West Bohemia in Pilsen) แหล่งรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองเพิลเซนรวมถึงภูมิภาคโบฮีเมีย พิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ มีส่วนของนิทรรศการโบราณคดีและประวัติศาสตร์ นิทรรศการศิลปหัตถกรรม และนิทรรศการศิลปะประยุกต์

            แล้วจึงมาต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ Brewery Museum พิพิธภัณฑ์ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการตามรอยเบียร์ชื่อดังอย่างพิลส์เนอร์ อูร์เควลล์ (Pilsner Urquell) ภายในจะนำเสนอเรื่องราวประวัติ ความเป็นมาของการผลิตเบียร์ของเมืองเพิลเซน มีการนำเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิตเบียร์มาให้ชม มีชั้นหนึ่งที่แบ่งออกเป็นหลายห้อง จัดแสดงการคิดค้นสูตรเบียร์ มีห้องจำลองบรรยากาศบาร์เบียร์ในสมัยก่อน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ของเบียร์ในสมัยแรก ๆ

            ก่อนจะออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป คุณตาพูดขึ้นว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณตาจะไปแวะที่โรงกลั่นเบียร์ Pilsner Urquell Brewery ดื่มเบียร์ให้อิ่มหนำใจไปเลย แต่ด้วยอายุที่มากแล้ว จึงต้องเพลา ๆ เรื่องนี้ลง

            หลังจากหาอาหารอร่อย ๆ ทานแล้ว สถานที่สุดท้ายของวันนี้คือมหาวิหารเซนต์ บาร์โธโลมิว โบสถ์คู่บ้านคู่เมืองของเพิลเซน ภายในโบสถ์ดูขรึมขลังและน่าศรัทธายิ่งนัก มีแท่นบูชาหลัก ฉากหลังของแท่นบูชามีประติมากรรมไม้แกะสลักเหล่านักบุญ มีรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระกุมารที่โด่งดัง คือ มาดอนนาแห่งเพิลเซน เป็นประธาน

            “เก่งจำภาพโรงงานน้ำตาลที่จังหวัดลำปางได้ไหม ติดอยู่บนฝาผนังบ้าน ที่หลานเคยยืนมองตอนวันแรกที่มาถึงบ้านยาย”

            “จำได้ครับ ยายเป็นคนเล่าให้ผมฟังเอง”

            “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เคยเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมชมบริษัท Skoda Entreprises ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังบริเวณที่ประดับตกแต่งไว้รับเสด็จซึ่งอยู่ใกล้กับโรงถลุงเหล็ก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีภาพถ่ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นหลงเหลือมาให้เห็น แต่บริเวณที่จัดไว้รับเสด็จ ได้รับการขนานนามอย่างไม่เป็นทางการว่า แยกสยาม (Siam Square) มาถึงทุกวันนี้”

            “นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ตากับยายพาผมดันด้นมาจนถึงเมืองเพิลเซน แต่ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ผมดูแผนที่ตลอดการเดินทาง เมื่อเราเดินทางออกจากเมืองเชสกี กรุมลอฟ เราผ่านเมืองเพิลเซน แต่เราไม่แวะเที่ยวที่เมืองเพิลเซน คุณตากับคุณยายดันพาผมไปเที่ยวที่เมืองคาร์โลวี วารีก่อน”

            “ช่างสังเกตเสียจริง ๆ เลยนะหลานยาย เหตุผลน่ะเหรอ ก็เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปที่เมืองคาร์โลวี วารี ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินมาที่เมืองเพิลเซน ยายกับตาเลยอยากให้หลานได้เที่ยวชมตามรอยเสด็จพระราชดำเนินของพระองค์ท่านทั้งสองพระองค์”

            ส่วนสุดท้ายที่มาเยือนคือหอคอยของโบสถ์หลังหนึ่ง ซึ่งสามารถมองเห็นเขตเมืองเก่าได้อย่างทั่วถึง ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ของเมืองเพิลเซนยาวไกลไปจนถึงเนินเขาเขียวขจีที่ล้อมรอบ

 

            ปรากเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็กที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน กรุงปรากยืนหยัดผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน แม้จะเคยถูกยึดโดยกองทัพนาซี หรือแม้กระทั่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้มนต์เสน่ห์ของเมืองที่แสนโรแมนติกแห่งนี้เสื่อมคลายลงไปแม้แต่น้อย

            สถานที่แรกที่คุณตาพามาชมคือ นาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) หนึ่งในสัญลักษณ์ที่โด่งดังของกรุงปราก นาฬิกาดาราศาสตร์ประกอบไปด้วยสองส่วน หน้าปัดที่อยู่ด้านบน ประกอบไปด้วยวงกลมเล็กซ้อนเรียงกันสามวง และหน้าปัดที่อยู่ด้านล่าง ตรงกลางมีรูปประตูเมือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปราก ล้อมรอบด้วยวงเล็ก ๆ สิบสองวง อันหมายถึงสิบสองราศี

            “ในทุกชั่วโมงตั้งแต่เวลาเก้านาฬิกา ไปจนถึงเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา นาฬิกาจะส่งเสียงดังบอกเวลา และหน้าต่างด้านบนจะเปิดออก แล้วเผยให้เห็นหุ่นไม้แกะสลักเป็นรูปอัครสาวกของพระเยซูทั้งสิบสององค์เคลื่อนไหวอยู่ข้างใน” คุณตาอธิบายให้ฟังพร้อมกับชี้ให้ดูแต่ละส่วนของนาฬิกาดาราศาสตร์ “ส่วนที่อยู่ด้านข้างนาฬิกา เป็นหุ่นแทนกิเลสต่าง ๆ ของมนุษย์ ประกอบไปด้วย ทางฝั่งซ้ายคือหุ่นถือกระจกส่องหน้า เป็นตัวแทนความลุ่มหลง ถัดมาเป็นหุ่นรูปนายทุนถือถุงเงินแทนความละโมบ ส่วนทางฝั่งขวาคือหุ่นรูปโครงกระดูก เป็นตัวแทนความตาย ความมืดบอดทางปัญญา ถัดมาอีกคือหุ่นรูปคนถือเครื่องดนตรี แทนตัณหาราคะ ปิดท้ายด้วยไก่สีทองจะขยับปีกออกมาขันตามจำนวนโมงยามในขณะนั้นด้วย”

            ผมมองไปรอบกาย เมื่อถึงเวลาที่นาฬิกาตีบอกเวลา มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมายืนรอชมอยู่ด้านหน้าแน่นขนัด

            ต่อมา ผมมาอยู่ในอาคารสูง ๆ หลังหนึ่งที่สามารถมองเห็นเขตเมืองเก่าในมุมสูง ภาพที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ผมราวกับตกอยู่ในเทพนิยาย อาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมทั้งเรอเนสซองส์ กอธิก บาโรก อาร์ตนูโว เหล่าอาคารปูด้วยหลังคาสีสดใสทำให้ทั้งเมืองดูมีมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล

            หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศของเขตเมืองเก่า ก็มาต่อที่เขตเมืองน้อยหรือไข่มุกบาโรกแห่งกรุงปราก ด้วยอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก ซึ่งเดิมเคยเป็นที่อยู่อาศัยของขุนนางและชนชั้นสูง มีสถานที่ท่องเที่ยวและความสวยงามไม่แพ้ฝั่งเมืองเก่า

            คุณตากับคุณยายพาผมทานอาหารกลางวันง่ายๆ เสร็จสรรพมุ่งหน้าตรงดิ่งไปที่ปราสาทปราก (Prague Castle) ซึ่งเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าหนึ่งพันปี ตัวปราสาทประกอบไปด้วยกลุ่มอาคารหลายแห่ง เราไม่สามารถเข้าชมได้ทุกส่วน เพราะบางส่วนถูกใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล

            ยายเดินไปที่ลานหน้าปราสาทปราก ก่อนจะยอบกายคุกเข่าลงแนบพื้น ก้มลงกราบอย่างช้า ๆ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจในการกระทำของคุณยาย แต่ผมรู้ว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่

            “ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งในอดีต ธงสยามประเทศเคยโบกสะบัดอย่างสง่างามบนแผ่นดินแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ต้อนรับพระมหากษัตริย์จากสยามประเทศ” คุณยายกล่าวด้วยความตื้นตันใจ “ยายนับถือในน้ำใจและมิตรไมตรีของชาวเช็กและประเทศเชโกสโลวาเกียในขณะนั้นนะ ตอนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป มีพระมหากษัตริย์บางประเทศ ไม่เต็มพระทัยที่จะต้อนรับพระมหากษัตริย์แห่งสยาม”

            “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นครับคุณยาย”

            “ยายคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475”

            “การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 ผมพอจะมองภาพออกแล้ว ผมเข้าใจที่ยายจะสื่อแล้ว”

            “แต่ประเทศเชโกสโลวาเกียไม่เป็นอย่างนั้น กลับปลื้มปิติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยืนยันที่จะกราบถวายบังคมทูลเชิญพระมหากษัตริย์แห่งสยามประเทศให้เป็นอาคันตุกะของรัฐบาล และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในระหว่างที่ทรงพำนักในประเทศเชคโกสโลวาเกียทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งที่ทรงแจ้งกับรัฐบาลอย่างชัดเจนก่อนหน้านั้นแล้วว่า ทางฝ่ายสยามประสงค์ที่จะออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด”

            เมื่อฟังที่ยายพูด ผมรู้สึกซาบซึ้ง เย็นกายเย็นใจอย่างแปลกประหลาด ในความมีน้ำใจไมตรีของชาวเช็ก

            “ตามกำหนดการเดิม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองโมราเวีย (Moravia) เพื่อทรงเยี่ยมชมบริษัททำรองเท้าบาจา (Bata) ที่ Zlin และ Zbrojovka และบริษัทผลิตอาวุธในเบอร์โน (Brno) แต่ทั้งสองพระองค์ทรงเหนื่อยล้าจากการเสด็จพระราชดำเนินไปตามสถานที่ต่างๆ ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา จึงมีรับสั่งให้ยกเลิกการไปเยี่ยมชมเมืองโมราเวีย และตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินไปยังภูเขาแห่งหนึ่งที่มีบ่อน้ำแร่แทน” คุณยายกล่าว

            “เสียดายที่ทั้งสองพระองค์ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังโมราเวีย ไม่อย่างนั้นผมอาจจะได้ไปเที่ยวที่เบอร์โน (Brno) ซลิน (Zlin) หรือโอโลมูซ (Olomouc)” ผมพูดแล้วก็ส่งยิ้มแฉ่งไปให้คุณยาย

            “ถ้าหลานมาครั้งหน้า ยายสัญญาว่าจะพาหลานไปเที่ยวที่ภูมิภาคโมราเวียแน่นอนจ้า”

            มหาวิหารเซ็นต์วิตัส (St. Vitus Cathedral) ตั้งอยู่ภายในเขตของปราสาทปราก ตรงทางเข้าหลักของวิหาร ซึ่งใช้เป็นทางเข้าสำหรับพระมหากษัตริย์ในพระราชพิธี จะประดับด้วยโมเสกบอกเล่าเรื่องราวของการพิพากษาครั้งสุดท้าย ซึ่งภาพอันวิจิตรตระการตาที่ว่าเกิดจากการนำก้อนหินและแก้วนับล้านชิ้นมาเรียงต่อกัน บานหน้าต่างถูกประดับด้วยกระจกสีรูปนักบุญต่าง ๆ เมื่อแสงแดดจากภายนอกส่องลอดผ่านเข้ามาทำให้ภาพเหล่านี้ราวกับว่ามีชีวิตชีวาเป็นประกายระยิบระยับวิบวับไปทั่วทั้งโบสถ์  

            ยามเย็นพากันเคลื่อนคล้อยมาอยู่บนสะพานชาร์ลส์ (Charles) สะพานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานทอดยาวเหนือแม่น้ำวัลตาวา บริเวณสองฝั่งสะพานประดับประดาไปด้วยรูปปั้นพระเยซูและเหล่านักบุญ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขน  หรือรูปปั้นของเซนต์จอห์น เนโปมุก (statue of St.John of Nepomuk) ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับนักบุญองค์นี้ว่าท่านถูกจับถ่วงแม่น้ำวัลตาวา หลังจากท่านตายไปก็เกิดประกายดาวห้าดวงขึ้นตรงจุดที่ถูกถ่วงน้ำ คุณตาบอกให้ผมเอามือไปลูบตรงแผ่นโลหะตรงฐานของรูปปั้นแล้วอธิษฐาน ซึ่งจะทำให้คำอธิษฐานของเราเป็นจริง ผมทำตามที่คุณตาบอก เอามือไปลูบที่แผ่นโลหะตรงฐานรูปปั้น เกิดความเย็นเยียบอย่างแปลกประหลาดตรงฝ่ามือทั้งสองข้าง

            ผมหลับตาลง อธิษฐานขอให้ได้กลับมาเยือนที่สาธารณรัฐเช็กอีกครั้ง.

 

.................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”  

                 วรรณกรรมออนไลน์