เรื่องสั้น : เมฆดอกไม้ : ประชาคม ลุนาชัย

เรื่องสั้น : เมฆดอกไม้ : ประชาคม ลุนาชัย

 

          รูปเขียนสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาดสิบคูณสิบสองนิ้ว  ผมจัดการใส่กรอบติดผนังเหนือโซฟาในห้องนั่งเล่นเป็นที่เรียบร้อย นี่คือเครื่องประดับห้องชิ้นแรกของบ้านนับจากผมย้ายเข้ามาอาศัยเมื่อสิบห้าปีก่อน  เป็นภาพเขียนซึ่งซ้อนทับเบื้องหลังไว้ให้รำลึก 

          ดอกเมฆหลายสีพราวทาบผืนฟ้าสีน้ำเงิน  เป็นความจงใจของคนวาด  เธอประจงสร้างสรรค์จากความคิดและจินตนาการ  ประกอบทักษะการฝึกฝน  ทั้งระดับฝีมือ  ความเชี่ยวชาญ  และหัวใจสัมผัสศิลปะ 

          “เอารูปนี้”  นาทีแรกที่ผมตัดสินใจ  หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของยิ้มเอียงอาย  พลางก้มหน้าลงและนิ่งคิด  รูปไม่ได้ติดราคาไว้  อาจเป็นส่วนพิเศษที่เธอไม่มีไว้สำหรับขาย  ประดับหลังซุ้มเล็ก ๆ  อันเป็นฐานที่มั่นประจำวันของเธอบนถนนคนเดิน

          “หนูขอมอบให้อาจารย์”  เธอพูด  “ไม่คิดเงินนะคะ”

          “ไม่ได้หรอก” ผมพูดแล้วนิ่งคิดเพียงครู่  “เอาอย่างนี้   ถือว่าขิงให้  และครูก็รับไปแล้ว  แต่ห้ามขิงปฏิเสธถ้าครูจะให้อะไรตอบแทน”

          เราจ้องตากันนิ่งนานเกือบสามอึดใจ  ลึกลงไปในแววตาที่ดูสดใสร่าเริง  ผมค้นหาความเศร้าซึ่งอาจยังฝังลึก   และเร้นซ่อนความรู้สึก   

          ประหนึ่งค้นหามลทินในหยดน้ำค้างเช้า  นอกจากความใสพิสุทธิ์แล้ว  ผมไม่พบอะไรอื่น

          เด็กน้อยวัยแปดขวบซึ่งผมพบในงานรำลึกสหายเก่าที่อีสานใต้  เธอมากับพ่อวัยกลางคน  ท่ามกลางบทเพลงและเสียงขับขานบทกวี  เด็กน้อยสวมชุดกระโปรงสีสด  ไหวเคลื่อนในกลุ่นคนหลากวัย  ผมแอบถ่ายรูปเธอไว้  แรกที่ดวงตาคมวาวหันมาจับจ้อง  ผมลดกล้องลง  เธอสืบเท้าเดินเข้าหา  เอื้อมมือมาจับกล้องที่ผมห้อยคอ

         ผมสอนเธอถ่ายรูป  หมุนเลนส์ซูม  กดชัตเตอร์  กดดูรูปที่เพิ่งถ่าย  ครั้นเห็นว่าไม่ชัด  หรือองค์ประกอบไม่สวย  ผมปล่อยให้เธอเล็งหาเป้าหมายแล้วกดถ่ายอีกรอบ

          ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาร้องบอก  “ขิง  อย่าไปกวนพี่เขา”

          เธอทำเป็นไม่ได้ยิน  แย่งสายกล้องจากผมไปคล้องคอตัวเอง  แล้วเดินถ่ายรูปใครต่อใครไปทั่ว  ผู้เป็นพ่อหันมายิ้มให้ผมเป็นเชิงขอโทษกับความซุกซนของลูกสาว  ผมยิ้มและผายมือ  ปล่อยให้หนูน้อยสนุกกับของเล่นใหม่

         กลับมานั่งเบียดชิด  กดดูรูปที่เธอถ่าย  ผมหัวเราะในใจ  องค์ประกอบเละเทะ  รูปคนมีทั้งหัวขาด  แขนกุด  ขาหาย  ไม่ชัด  และเบลอจนกลายเป็นภาพเหนือจริง  ผมจับมือเธอสอนวิธีกดชัตเตอร์  ต้องกดลงเพียงครึ่งให้กล้องจับโฟกัส  หลังจากที่หมุนเลนส์ซูมจัดองค์ประกอบ

         วันถัดมาเธอนั่งตาแป๋วเคียงข้างพ่อฟังผมอบรมงานเขียน  ออกอาการกระวนกระวาย  ทันทีที่งานจบลง  เธอปรี่เข้าหา  ผมกอดเธอไว้ในวงแขน

         “ลูกสาวผมติดคุณแจเลย” ผู้เป็นพ่อพูด “เมื่อคืนก็งอแง  อ้อนพ่อให้พาไปหาคุณ”

         ผมพาเธอไปนั่งชมดนตรี  หัดถ่ายรูปดอกไม้   พ่อเธอปล่อยเต็มที่  แล้วถัดมาอีกวัน  ผมพาเธอไปนั่งอยู่เบื้องหน้าทนง โคตรชมพู  ศิลปินวาดรูปผู้ยืนอยู่เหนือโชคชะตาและข้อจำกัดทางร่างกาย

         ทนงพูด  ร้องเพลง  สุดท้ายก็สอนวาดรูป   ผมจูงแขนเด็กหญิงขิงเดินเข้าหา

         ด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย  มือและเท้าไม่อาจขยับ  ทนงคาบพู่กันด้วยปาก  ลากเส้นสีไปบนกระดาษปอนด์  ขิงนั่งเงียบ  จับจ้องแทบไม่กะพริตา

         ผละจากทนงเดินคู่กันไปข้างรั้ววัดที่เต็มไปด้วยดอกไม้บาน  ผมยื่นกล้องให้  ขิงสั่นหัว

         “อยากวาดรูป” เธอบอก

         ผมยื่นมือไปวางลงบนหัวเล็ก ๆ  “บอกพ่อซื้อสี  พู่กัน  แล้วหาที่เรียน  ได้ครูดี ๆ เดี๋ยวขิงก็เก่ง”

         ผมนำความฝันของเธอบอกเล่าสู่ผู้เป็นพ่อ  “ถ้าเด็กรักงานศิลปะ  ต้องสนับสนุนเขา  แม้ไม่ใช่งานที่ทำแล้วร่ำรวย  หรือมียศฐาบรราดาศักดิ์   แต่ศิลปะมันจะช่วยเติมเต็มความเป็นมนุษย์”    

         คืนสุดท้ายเธอนั่งเบียดผมขณะฟังบรรดาสหายเก่าผลัดกันอ่านบทกวีและร้องเพลง  ทันทีที่ทนง โคตรชมพูถูกเข็นมาหยุดลงบนเนินสูง  เธอหันหน้ามอง  ผมฉุดเธอลุกขึ้น  คิดว่าแรงบันดาลในในวัยเด็กสำคัญ  หากเธอรักงานศิลปะ  แล้วบันทึกใครสักคนเป็นต้นแบบไว้ในความทรงจำ

         “ไปหาครูทนงกัน” ผมกระซิบข้างหู

         เป็นคืนที่เราต้องจากลากัน  พ่อเธอดึงร่างเล็ก ๆ จากวงแขนที่ดื้อรั้นของผม  ห่างออกไปแล้วเธอยังหันมาจ้องมองและยิ้มเศร้า  ผมคิดว่านั่นคือภาพสุดท้ายระหว่างเรา  จนกระทั่งรุ่งเช้า  รถกระบะสองตอนแล่นมาบีบแตรเรียก  ขณะผมกับเพื่อน ๆ นั่งคุยกันรอบกองไฟ   พ่อของเธอหมุนกระจกหน้าต่างรถ  ขิงโผล่หัวออกมาส่งยิ้ม

         ผมสวมกอดและอำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย  ประสบการณ์ผ่านความพลัดพรากซ้ำแล้วซ้ำเล่าในชีวิต  ผมไม่วาดหวังจะได้พบเด็กหญิงคนนี้อีก    

 

          ถนนคนเดินสำหรับผมก็คล้ายสวนดอกไม้  สินค้าและผู้คนลานตามีไว้ให้เที่ยวชม  ผมไม่ใช่นักซื้อกระเป๋าหนัก  ไม่ชอบของสะสม  ไม่ว่าเครื่องประดับ  เสื้อผ้า  หรือแม้แต่งานศิลปะ  หนังแผ่นและหนังสือที่ดูผ่านตาไปแล้ว  ไม่แจกคนอื่นต่อผมก็หาทางบริจาค

         ศิลปะยืนยาว  ชีวิตสั้น  คุณค่าของงานศิลป์ไม่ได้สร้างสรรค์เพื่อให้ใครคนใดคนหนึ่งครอบครอง  หากต้องเผยแพร่และแจกจ่ายออกไป

         แรกที่ชะเง้อมองผ่านกลุ่มคนไปยังหญิงสาวที่นั่งบนพื้นเสื่อ  ผมเกือบสืบเท้าผ่านเลยไป  หากไม่เตะตากับความพิเศษอันน่าเศร้า  ละสายตาไปกวาดมองรูปที่เธอเขียนเสร็จและติดไว้ทางด้านหลังรอผู้ซื้อ  และในส่วนที่วางเรียงกันไว้ยังไม่ได้ติดราคา  ความคิดแวบเข้ามาในหัว  ถึงจะไม่ชอบซื้อข้าวของ  แต่ผมควรจะแบ่งปันคนอื่นในบางโอกาส

         หันกลับมาที่หญิงสาวอีกครั้ง  เธอวาดรูปเสร็จแล้ว  มือยังถือพู่กัน  เงยหน้าขึ้นและหันมาสบตากับผมอย่างจัง  เธอนิ่งงันพร้อมเบิกตากว้าง  ผมหันมองทางอื่น  และหมุนตัวเดินจากไป  ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะกลับมาอีกครั้ง  และเลือกรูปที่เธอพร้อมจะขาย

         ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครของคนวาดรูปกลายเป็นมหรสพทางสายตาของนักเดินเท้า  เธอถูกรุมล้อมตั้งแต่บ่ายขณะแดดยังแรงกล้า  รูปวาดแผ่นใหญ่ทั้งบนกระดาษและผ้าใบด้านหลังเหมือนยังอยู่ครบ  นักเดินเท้าซึ่งเข้ามาล้อมมุงอุดหนุนแค่ภาพเหมือนของตัวเอง  และโปสการ์ดเล็ก ๆ  ซึ่งเธอเขียนขึ้นสด ๆ  ผมไม่ได้แหวกกลุ่มไทยมุง  ยืนรอให้คนรุมล้อมลดน้อยลง

         ช่องเล็ก ๆ ระหว่างผู้คน  สายตาเธอแทรกผ่านมาถึงผมจนได้  ผมยิ้มทักทาย  อีกหน่อยคงได้พูดคุยกัน  และผมตั้งใจมาซื้อรูปที่เธอวาด

         เธอจ้องผมไม่วางตา  ริมฝีปากขยับ  พู่กันที่ใช้วาดรูปถูกปล่อยทิ้ง  เธอขยับปากอีกหลายครั้งเหมือนร้องเรียก

        ผมแหวกกลุ่มคนเข้าใกล้ด้วยพลังลึกลับที่ยากอธิบาย  เธอร้องทัก...อาจารย์ใช่ไหม  หนูจำอาจารย์ได้

        เค้าหน้าและแววตาของหญิงสาวพาผมย้อนความทรงจำที่ยังเหลือค้าง ...ขิง...ใช่...ขิงจริงๆ ด้วย

        น้ำตาหยดเล็ก ๆ ร่วงสัมผัสเนินแก้ม  “ขิง...ใช่ค่ะ  อาจารย์”

        ผมกระเถิบเข้าหา  ก้มหน้าจับจ้องพู่กันที่หล่นลงห่างปลายเท้า  สิบสี่ปีเต็มที่จากกัน  กาลเวลาเปลี่ยนเด็กหญิงเป็นสาวสะพรั่งวัยยี่สิบสอง

        “พ่อขิงไม่อยู่แล้วนะ  นานแล้ว  หลังไปอีสานใต้สองปี  แล้วขิงก็เป็นอย่างที่อาจารย์เห็น...”         

 

          ดอกเมฆหลากสีชวนเบิกบานในภาพเขียน  ผมจ้องมองนิ่งและนานแทบทุกเช้า  เมฆดอกไม้ที่สยายกลีบจากจิตนาการของหญิงสาว  ส่งต่อจากจิตใจที่แข็งแกร่ง  พราวประดับท้องฟ้าแห่งความรู้สึกของคนรับสาร  แรกมองแล้วผมรู้สึกเศร้า  จินตภาพไม่ได้หยุดแค่ภาพที่เห็น  ย้อนคิดถึงวันคืนที่ผ่านเลยซึ่งเด็กคนหนึ่งต้องต่อสู้ชีวิตอย่างหนัก  บาดแผลและความเจ็บปวดจากอุบัติเหตุ  และพ่อผู้จากไปชั่วกาลนิรันดร์

        มือสองข้างขาดหาย  และขาข้างขวาเหลือเพียงครึ่งเดียว

        “หนูคิดถึงครูทนง...” ขิงพูด “มือไม่อาจวาดเขียนได้  เท้าก็ไม่อาจขยับ  แต่ปากที่เคยใช้กินข้าว  วาดโลกได้ทั้งใบ...”

        ดวงตาที่เพิ่งหายเปียกชื้นเปี่ยมประกาย  เธอพูด  “หนูเหลือขาข้างเดียวให้ยืน  และใช้มันเขียนรูป...”

        ผมไม่ได้ถามว่าเธอฝึกฝนและผ่านอุปสรรคที่ยากลำบากมาได้อย่างไร  ไม่จำเป็นต้องถาม  รอยยิ้มชื่นบานจากหัวใจที่แกร่งเยี่ยงเพชรของเธอเป็นทุกคำตอบ

        ...ไม่มีมือหนูก็จะใช้เท้า  ไม่มีเท้าหนูก็จะใช้ปากวาดรูป  หรือต่อให้ไม่เหลือตัวช่วยอื่นใดเลย  หนูก็จะวาดมันด้วยความคิดและหัวใจ

 

.....................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

              “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

               วรรณกรรมออนไลน์