เรื่องสั้น : ตู้แช่แข็ง : แพรพลอย วนัช
เรื่องสั้น : ตู้แช่แข็ง : แพรพลอย วนัช
ในความมืดเขาจ้องตู้สีขาวหลังนั้นอยู่เป็นนาน มือถือพวงกุญแจสั่นระริก ตั้งแต่เด็กชัยเข้าใจมาตลอดว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคือยาจีน ไม่ใช่เพราะคิดเองเออเองแต่เป็นเพราะพ่อสอน ซึ่งพ่อได้รับการบอกเล่ามาจากปู่ ส่วนปู่ก็ถูกปลูกฝังจากปู่ทวด และปู่ทวดก็คงจะถูกอบรมมาจากพ่อตัวเองอีกทอด หากได้รับการสั่งสอนมาว่านี่คือตู้เก็บยาจีนก็คือตู้เก็บยาจีน เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ หากใครสงสัยให้เก็บไว้ในใจ ห้ามตั้งคำถามเพราะเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ปู่สอนพ่อว่าความสงสัยคือบ่อเกิดของความขัดแย้ง หากเจ้านายบอกซ้ายให้รีบเดินไปทางซ้าย ชี้ขวาไปทางขวาอย่าแตกแถว ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่จงรักภักดี แต่ความสงสัยมันห้ามกันได้ด้วยหรือ ไม่ว่าชนชั้นไหนก็มีความต้องการขั้นพื้นฐานเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ชัยไม่ใช่ปู่หรือพ่อ จะได้ค้อมหัวกับทุกสิ่ง เขาไม่ใช่เด็กคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ชัยขยับเข้าไปใกล้ สอดลูกกุญแจบิดตามเข็มนาฬิกา คลายสลักออก ดึงประตูขณะไอเย็นพวยพุ่ง มองห่อกระดาษหนังสือพิมพ์เรียงเป็นตับฝ่าความเย็นเป็นไอหมอก กลืนน้ำลายอย่างตื่นตะลึง ทุกตารางนิ้วของตู้ตรงหน้าล้วนถูกสิ่งที่บอกต่อกันมาว่าคือยาจีนจับจองจนไม่เหลือพื้นที่ให้เก็บของอย่างอื่น แม้แต่ซอกประตูหรือช่องว่างระหว่างถาดวางก็ไม่เว้น หากเป็นเมื่อก่อนตอนยังเด็กกว่านี้เขาคงเชื่อสนิทใจว่าถาดบนสุดนั้นคือห่อตังกุย เม็ดเก๋ากี้ รากบัว พุทราจีน และเง็กเต็ก ชั้นรองลงมาคือที่เก็บโกฐหัวบัวกับกลอยจีน ชะเอมเทศ ตังเซียม และปักคี้ แต่ตอนนี้เขาไม่เชื่อสักนิด หน้าห่อเขียนกำกับชื่อยาด้วยปากกาเคมีลายมือตวัดหางเหมือนคนสมัยก่อน ถึงจะห่อหลายทบอย่างประณีตแต่กระดาษเหลืองคร่ำคร่า เช่นเดียวกับถุงพลาสติกห่อกันชื้น สภาพเหมือนผ่านธารน้ำแข็งมาไม่ต่ำกว่าห้าสิบ-หกสิบปี
บรรพบุรุษของชัยรับใช้เจ้าของโรงงานมาตั้งแต่ยุคก่อตั้ง เวลากินข้าวพร้อมหน้าในเรือนคนงานหลังโกดังเก็บของ พ่อมักเล่าให้ฟังอย่างภูมิอกภูมิใจว่าต้นตระกูลของชัยคือข้ารับใช้ยุคบุกเบิก ปีที่เจ้านายใหญ่จะก่อตั้งโรงงานผลิตยาสมุนไพร ปู่ทวดของพ่อซึ่งขณะนั้นอายุสิบแปดมาสมัครเป็นคนงานเก็บใบหม่อน แต่เจ้านายใหญ่เห็นหน่วยก้านจึงสั่งขับรถให้นั่ง ปู่ทวดของพ่อขึ้นชื่อเรื่องขับรถดีจนนายใหญ่ออกปากว่าไม่มีใครขับรถนิ่มเท่านี้อีกแล้ว แต่ทำอยู่ไม่กี่เดือนนายใหญ่เห็นว่าท่านเขียนหนังสือสวยจึงเปลี่ยนตำแหน่งจากคนขับรถมาเป็นเสมียน ท่านทำงานด้วยความซื่อสัตย์จนครบกำหนดเกษียณแต่นายใหญ่ไม่ยอมให้ออก จ่ายโบนัสเป็นเงินจำนวนมากให้ช่วยงานต่ออีกหลายปีจนท่านป่วยตาย นับแต่ปีแรกที่ท่านเริ่มงานกับโรงงาน จากวันนั้นเวลาผ่านมานานถึงหนึ่งร้อยสิบสองปี
เวลา 112 ปีนานพอที่จะทำให้โรงงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมเป็นอาคารไม้หลังเดียว เพิ่มเป็นสอง เป็นสามหลัง หมดยุคไม้เปลี่ยนเป็นอาคารปูน จากอาคารสามชั้นกลายเป็นตึกสิบชั้น จากหนึ่งเป็นหลายสิบหลัง จากเนื้อที่ไม่กี่ไร่ถูกกว้านซื้อเพิ่มเป็นสิบ เป็นร้อย จนตอนนี้นับพันไร่ เฉพาะพื้นที่เพาะปลูกกว้างใหญ่เป็นภูเขา ยุคแรกเริ่มต้นจากคัดพืชสมุนไพรด้วยมือ วันนี้เปลี่ยนการควบคุมคุณภาพผ่านเครื่องจักร วิวัฒนาการใหม่ ๆ ถูกทยอยนำมาใช้จนกลายเป็นโรงงานสมุนไพรอันดับต้น พนักงานจากเก่าสู่ใหม่วนเวียนไปจากรุ่นสู่รุ่น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเดิมคือผู้บริหาร แม้เปลี่ยนผ่านมือจากรุ่นสู่รุ่น มีผู้ถือหุ้นเป็นคนนอกหลายราย เจ้านายใหญ่แม้อายุยืนแต่ก็เสียชีวิตไปเกินครึ่งศตวรรษแล้ว ทุกวันนี้คนกุมบังเหียนก็ยังเป็นลูกหลานสายตรงของท่าน ต่อให้คนปัจจุบันไม่เอาถ่าน ดีแต่ผลาญสมบัติกับมั่วผู้หญิงไปวัน ๆ ก็ยังได้รับการยกย่องจากพวกประจบสอพลอ ไม่ใช่แค่งานบริหาร เรื่องปรุงยาและปรับสูตรก็ยังไม่อนุญาตให้พนักงานหรือคนนอกคิดค้นสูตรใหม่ นัยว่าต้องการควบคุมคุณภาพให้คงต้นฉบับดั้งเดิมแต่โบราณของตระกูลมากที่สุด ส่วนครอบครัวของชัยเองก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง จากยุคปู่ทวดของพ่อ สู่รุ่นปู่ทวดของชัย บรรพบุรุษของเขาล้วนเป็นพนักงานขับรถจบที่ตำแหน่งเสมียน มีคนพูดถึงในช่วงเวลาที่ยังอยู่ แต่หลังจากนั้นเรื่องราวของแต่ละคนไม่ต่างจากผงธุลีที่ไม่มีค่าพอให้จดจำ ชัยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของครอบครัวผ่านคำบอกเล่าของพ่อ ปู่เสียก่อนเขาเกิดหลายปีชัยจึงไม่มีเวลาร่วมกับท่าน ส่วนพ่อก็มีเวลาร่วมกับปู่ของตัวเองไม่กี่ปี ทุกอย่างจึงเป็นคำบอกเล่าผ่านคนยุคหนึ่งสู่ยุคหนึ่ง ที่เหลือเป็นเพียงคำบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น ระหว่างครอบครัวตัวเองกับครอบครัวผู้บริหารคือภาพคู่ขนาน ชนชั้นนำได้รับการยกย่องชูเชิด เวลาผ่านมานานถึงหนึ่งร้อยสิบสองปียังมีการสรรเสริญผู้ก่อตั้งโรงงานว่ามีบุญคุณยิ่งใหญ่
“เจ้านายคือผู้มีพระคุณ ไม่มีท่านก็ไม่มีเรา” พ่ออบรมเหมือนที่เคยถูกปู่พร่ำสอน ชัยฟังมาตั้งแต่จำความได้แต่ตอนนี้เห็นด้วยเพียงครึ่ง พ่อก็รู้ เขาเกิดคนละยุคกับพ่อ จะให้ความคิดเหมือนกันทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ ชัยรับปากกับพ่อว่าจะทำงานตอบแทนบุญคุณเจ้านายแต่ไม่อยากเป็นคนขับรถหรือเสมียน พอได้ยินว่าเขาอยากคิดค้นสูตรยาพ่อทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก สั่งสอนยกใหญ่ว่าอย่าทำตัวแข็งกร้าว คิดสูตรยาเป็นงานสงวนไว้เฉพาะลูกหลานท่าน “เราเป็นแค่คนอาศัย อย่าอาจเอื้อม”
ปู่เคยเล่าให้พ่อฟังว่าสมัยท่านยังเด็ก ไม่ว่าจะกิน นอน หรือเล่นกับเพื่อนประสาเด็ก จะมีคนของเจ้านายคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาสอดส่องลูกหลานพวกลูกจ้างเสมอ ทุกคนได้รับคำสั่งมาว่าห้ามตีตนเสมอท่าน ของกินสำหรับเจ้านายสงวนไว้เฉพาะเจ้านาย เป็นพวกอาหารที่ใช้เวลาในการปรุงและพิถีพิถันเป็นพิเศษ ส่วนลูกจ้างกินต้มกินแกงง่าย ๆ พวกของทอดที่ใช้น้ำมันนำเข้าจากต่างประเทศมีไว้สำหรับทอดของว่างกินเรียกน้ำย่อยอย่างถุงทอง เป็นอาหารสำหรับเจ้านายหรือชนชั้นนำเท่านั้น ปู่เล่าให้พ่อฟังว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเห็นถุงทองสีเหลืองอร่ามในจานเบญจรงค์
“ตอนนั้นเราก็เด็ก อยากรู้ว่าอะไรอยู่ในถุงทอง สีเหลืองอร่ามสุกสวยอย่างกับทองคำ”
ขณะที่เพื่อน ๆ กำลังวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ ปู่นั่งกับพื้นหญ้าแหงนหน้ามองลูกเจ้านายที่กำลังนั่งอยู่บนแคร่ หยิบถุงทองใส่ปากเคี้ยวเอื้องคำแล้วคำเล่า กิริยาแช่มช้าราวกับยั่วต่อมอยากรู้อยากลองของคนไม่เคยลิ้มรส ปู่แอบกลืนน้ำลายหลายครั้งแต่ลูกเจ้านายไม่ยื่นให้ชิมสักที ประสาเด็ก พอลูกเจ้านายเผลอปู่รีบเอื้อมมือหยิบถุงทองใส่ปาก เคี้ยวไวจนแทบไม่รู้รส รีบกลืนลงคอจนเกือบสำลัก พอลูกเจ้านายเห็นของกินเหลือสองชิ้นจากที่นับไว้สามชิ้นก็ไม่ว่าอะไร แต่มีเด็กคนหนึ่งเอาไปฟ้องพี่เลี้ยง พอหล่อนรู้เข้าปู่ถูกคนทั้งโรงงานตราหน้าว่าไอ้หัวขโมย ไอ้ขี้ข้าไม่เจียมตัว เท่านั้นไม่พอถูกปู่ทวดเฆี่ยนจนหลังระบมจับไข้
“ตอนเล่าปู่หัวเราะขัน แต่พ่อแอบร้องไห้ สงสารปู่”
ในสายตาพ่อ ปู่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมของแท้ ท่านไม่ยอมให้ลูกใช้มือข้างซ้ายจับดินสอหรือกินข้าว ปู่ไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไรแต่พูดอย่างขัดใจว่าทำไมถึงถนัดซ้าย ต่อให้พ่อกลับมาจับดินสอข้างเดิมอีกกี่ครั้งปู่ก็ยังตามมาดึงมือออกสอนให้จับอีกข้าง ส่วนยุคของพ่อเหตุการณ์ไม่รุนแรงเท่ายุคปู่ แต่สมัยนั้นเวลาเด็กทำผิดการเฆี่ยนตีถือเป็นเรื่องไม่ผิดบาป พ่อและเพื่อน ๆ ลูกเสมียนลูกคนงาน ไม่ว่าจะเป็นคนงานเก็บใบชาใบหม่อน คนงานผสมสูตร คนกวนดินสอพอง คนคัดน้ำผึ้ง เล่นซ่อนหากันก็ต้องมีผู้ใหญ่คอยกำกับว่าอย่าทำตัวเสมอท่าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่เลี้ยงของลูกหลานนายไม่อยู่ ลูกเจ้านายเอ่ยว่าอยากเล่นซ่อนหา บอกให้พ่อกับเพื่อน ๆ เป็นคนซ่อน ตัวเขาจะเป็นคนหาเอง หลังหาที่ซ่อนอยู่นานพ่อของชัยปีนขึ้นไปบนยุ้งข้าว พอได้เวลาเห็นลูกเจ้านายเปิดประตูผลักเข้าไป อารามตกใจบวกกับอยู่สูง ปล่อยมือไม่ได้จึงใช้เท้าแตะไหล่ลูกเจ้านาย “โป้ง”
“ถ้าพวกเขามีปืนพ่อคงเป็นไข้โป้ง” ยิ้มของพ่อดูเจียมเนื้อเจียมตัว ชัยดูไม่ออกว่าพ่อคิดถึงสิ่งใดหรือรู้สึกอย่างไร แต่พ่อเป็นอย่างนี้แหละ ยอมค้อมหัวเพื่อเลี่ยงความขัดแย้ง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อเห็นว่าคนในโรงงานแบ่งเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งสงสารพ่อที่ถูกตีจนขาบวม พวกเขาเห็นเป็นเรื่องเด็กเล่นกัน ขึ้นชื่อว่าเด็กจะลูกเจ้านายหรือลูกบ่าวก็คือเด็กวันยังค่ำ ต่อให้ไม่แบ่ง เรื่องชนชั้นไม่จำเป็นต้องพูดเพราะทุกคนได้ยินชัดอยู่แล้ว ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมีความคิดฝังหัวว่าการกระทำของพ่อจาบจ้วงล่วงเกินเจ้านายอย่างไม่น่าให้อภัย โดยเฉพาะคนที่เดือดดาลเป็นพิเศษคือหัวหน้าแผนกจัดซื้อ เหตุการณ์ลุกลามถึงขั้นสองฝ่ายกินข้าวร่วมกันไม่ได้จนมีคำสั่งให้สร้างโรงอาหารอีกหลัง ตอนนั้นปู่เกือบถูกไล่ออกจากโรงงานฐานไม่สั่งสอนลูกและสร้างความแตกแยก แต่หัวหน้าปู่ไปกราบกรานขอร้องผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจนปู่ได้ทำงานต่อ เหตุการณ์ครั้งนั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“หัวหน้าแผนกจัดซื้อได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการโรงงาน”
“คนที่พ่อเล่าให้ฟังว่าไม่มีลูกน้องคนไหนรักเพราะเขาชอบแอบอ้างข้างบนน่ะนะ เพราะเขาจงรักภักดีหรือเพราะมีคนเชื่อว่าเขาเป็นอย่างนั้น”
“อย่างแรกไม่ใช่ อย่างหลังเกือบใช่”
..........................................................................
ท่ามกลางความมืดเขาจุดไฟแช็กจ่อไส้เทียนไข หากประวัติศาสตร์ของชนชั้นล่างอย่างพวกเขาถูกเก็บกักไว้ในนี้ มันก็ยาวนานพอที่จะเปิดเผยได้แล้ว หยิบห่อกระดาษออกจากถุงพลาสติก คลายปมเชือกป่านที่ผูกไว้แน่นหนา เมื่อคลี่ออกทีละชั้นเขาไม่พบยาจีนอย่างที่ได้ยินมา ชัยรื้อออกมาทีละห่อ ไล่อ่านทีละแผ่นทีละชั้น ก่อนปะติดปะต่อเรื่องราว สรุปได้ว่าแต่ละห่อแต่ละชั้นบอกเล่าความเป็นมาของโรงงานอย่างละเอียดทว่าเต็มไปด้วยปริศนา มีผู้ก่อตั้งโรงงานหลายกลุ่ม ไม่ใช่แค่นายใหญ่คนเดียวตามคำบอก มีการเข่นฆ่า ปลุกปั่น แย่งชิงอำนาจ นายใหญ่มีกำลังเหนือกว่าทุกกลุ่ม ท่านมีคนทำบัญชีมือฉมัง มีคนทำงานฝั่งซ้ายฝั่งขวาคอยอารักขาและสนับสนุน ส่วนกลุ่มอื่น ๆ เริ่มจากความเห็นไม่ลงรอย ขัดแย้งจนนำไปสู่การแย่งชิงอำนาจ ขณะที่ชนชั้นนำกลุ่มอื่นขัดแย้งกันนั้นกลุ่มของนายใหญ่วางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด นิ่งเงียบและวางเฉย พูดง่าย ๆ คือปล่อยให้ตีกันเอง รอจังหวะจนกลุ่มอื่นถูกฝั่งตรงข้ามทำลาย กลุ่มของนายใหญ่จึงได้ครอบครองทั้งที่ดินและบริหารโรงงานทั้งหมด ชัยถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าต้นตระกูลตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่มล่มสลาย ถูกสั่งให้เป็นเพียงชนชั้นล่าง ปู่ทวดของพ่อรับใช้โรงงานตำแหน่งคนขับรถและเสมียนจริง แต่ท่านไม่ได้ทำเพราะสมัครใจ และไม่ได้สมัครเป็นคนเก็บใบหม่อนอย่างคำเล่าขาน ท่านมาขอทำงานตำแหน่งปรุงยาแต่ถูกไล่ตะเพิด บ้านช่องใหญ่โตที่เคยมีถูกกลุ่มชนชั้นนำยึดครองหมดจนไม่เหลือที่ทำกิน เมื่อไม่มีทางเลือกท่านจำต้องกลับมาของานทำอีกครั้ง กลุ่มของนายใหญ่สั่งให้ทำงานขับรถท่านก็ทำ เป็นคนขับรถดีที่สุดในยุคนั้นก็ว่าได้ ความที่มีรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดี ทำได้ไม่กี่เดือนก็พบรักกับน้องสาวของนายใหญ่แต่ทั้งคู่ถูกกีดกัน ท่านถูกสั่งให้ไปทำงานเสมียนในห้องทำงานเล็กซอมซ่อและถูกสั่งห้ามพบปะผู้คน กลุ่มผู้บริหารส่งผู้หญิงมาทำงานโรงงานหลายคนเพื่อกันท่านออกจากคนรัก แต่ท่านไม่มองใครสักคน ส่วนน้องสาวของนายใหญ่ถูกคลุมถุงชนกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ วันวิวาห์เธอส่งจดหมายนัดให้ปู่ทวดของพ่อมารับพาหนีไปใช้ชีวิตคู่ร่วมกันที่หัวเมืองทางใต้ แต่ถูกกลุ่มสอดแนมจับได้ก่อน ท่านถูกลงโทษด้วยการเฉือนลิ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครได้ยินเสียงของท่านอีกแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
“ถ้าท่านถูกตัดลิ้น นอกจากภรรยาท่านแล้ว ลูกชายท่านรับรู้เรื่องราวของท่านจากใคร”
เนื้อเทียนละลายลงทีละนิดเปลวไฟเริ่มหรี่โรยแรง ชัยสังเกตว่าตัวอักษรในกระดาษหนังสือพิมพ์เหล่านั้นค่อย ๆ เลือนราง ทว่าต่อมากลับชัดเจนขึ้น ระหว่างตะกอนความคิดกำลังตกผลึกพลันสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบพื้นเหมือนเจ้าของฝีเท้าสวมรองเท้าบู๊ท ก่อนที่พวกเขาจะผลักประตูเข้ามา ชัยลักลอบเข้าห้องจึงไม่แปลกที่จุดเทียน แต่ชายสองคนนี้กลับยืนจังก้าไม่กดสวิตช์ไฟ กระนั้นชัยก็เห็นผ่านแสงสลัวจากเปลวเทียนว่าเป็นผู้จัดการโรงงานกับหัวหน้าฝ่ายบัญชี คนหนึ่งเป็นชายหน้าตอบร่างสูง ขายาวเก้งก้าง อีกคนเตี้ยกว่ารูปร่างล่ำสัน สิ่งที่ผู้ชายสองคนนี้มีเหมือนกันคือแววตาเย็นชานิ่งเฉย ความผิดปกติในร่างกายของทั้งคู่คือแขนข้างขวาใหญ่เทอะทะ ตอนเดินเข้ามาคอเอียงไปทางขวาเหมือนมีลูกตุ้มถ่วงอยู่ แต่งกายเหมือนกันคือสวมชุดสีเขียว มีเครื่องหมายอะไรไม่รู้เต็มไหล่ ปู่เคยพูดกับพ่อว่าไม่ว่ายุคไหนก็มีพวกแขนข้างขวาใหญ่เทอะทะ สวมหมวกและชุดอย่างนี้คอยเป็นป้อมปราการให้ชนชั้นนำและอยู่เบื้องหลังประวัติศาสตร์มาทุกสมัย
“ออกไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดลิ้น” ผู้จัดการโรงงานออกคำสั่ง
“ผมไม่ออก ผมมีสิทธิตามหาประวัติความเป็นมาของครอบครัว เมื่อสิ่งที่ถูกฝังหัวมามีแต่เรื่องโกหก ความจริงอยู่นี่!” ชัยชูหนังสือพิมพ์ในมือแต่อีกฝ่ายทำปากย่น
“เหรียญมีสองด้าน เธอรู้ได้ยังไงว่าที่อ่านไปไม่ถูกบิดเบือน”
“ก็พวกท่านเขียนมันเอง !”
“อย่าจาบจ้วง อย่าดึงท่านลงมาเกลือกกลั้ว ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่ถูกแค่ตัดลิ้น ตากับหูก็จะไม่มี”
ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบก็เกิดเสียงอื้ออึงอลหม่าน ชัยมองฝ่าเงาสลัวเห็นคนหนุ่มสาวรูปร่างประหลาด ท่อนบนอกลงมาถึงเอวแลดูบอบบาง ส่วนท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปถึงเท้าดูแข็งแกร่ง ศีรษะใหญ่ผิดรูป เดินหัวเอียงไปทางซ้ายคล้ายมีตุ้มถ่วง พวกเขาร้องเพลง ปฏิรูปโรงงาน ปฏิรูปโรงงาน ! ครู่ต่อมาก็มีเสียงเพลงดังสนั่นมาจากอีกฟากหนึ่งอื้ออึงไม่แพ้กัน ห้ามปฏิรูปโรงงาน ห้ามปฏิรูปโรงงาน !
ชัยถึงกับทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินผู้จัดการออกคำสั่งให้จับคนหนุ่มสาวหัวเอียงซ้ายกลุ่มแรกไปกองรวมกันห้องหนึ่ง ชี้นิ้วว่าพวกขบถจองหอง
“มีสิทธิอะไรร้องเพลง ปฏิรูปโรงงาน เป็นแค่คนอาศัย”
“พวกนั้นก็ร้องเพลงเหมือนกัน” ชัยเริ่มโวยวาย
“แต่ฝั่งนั้นเขาร้องเพลงเดียวกับเรา”
“เหลือเชื่อ ! ท่านจับพวกเขาไปขังในห้องเก็บเสียง เพียงเพราะเขาร้องเพลงคนละเพลงกับท่านเนี่ยนะ รู้ไว้เถอะ เสียงที่หายไปจะกลับมาชัดอีกครั้ง อีกร้อยปีพวกเขาก็จะรอ !”
“รอชาติหน้าเถอะ” ผู้จัดการโรงงานตัดบท หันไปพยักพเยิดกับหัวหน้าบัญชี ก่อนที่ทั้งสองจะเริ่มลงมือเขียนเรื่องราวในอดีตใหม่ ตรงไหนอ่านแล้วไม่พอใจก็ลบทิ้งเขียนใหม่ ส่วนชัยยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน กระจ่างแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงใช้ดินสอแทนปากกา
เปลวเทียนริบหรี่ ขี้ผึ้งละลายจนเกือบหมด ชัยมองสองคนนั้นเขียนด้วยลายมือตวัดหางสวยงามอ่อนช้อย รับรู้เรื่องราวในอดีตที่คนพวกนี้เขียนขึ้นใหม่ด้วยความรันทด วูบหนึ่ง เขาอดคิดถึงเรื่องปู่กับถุงทองขึ้นมาไม่ได้ อยากตะโกนออกไปว่าการที่ปู่อยากกินถุงทองไม่ใช่เพราะอาจเอื้อม แต่เป็นแค่ปฏิกิริยาของร่างกายเด็กที่ต้องการลิ้มรส วูบต่อมาเขานึกถึงพ่อตอนเอาเท้าแตะไหล่ลูกเจ้านาย พ่อคงคิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นแค่การละเล่นประสาเด็ก ไม่ใช่การจาบจ้วง
“เรียบร้อย” ในที่สุดสองคนนั้นก็พับกระดาษหนังสือพิมพ์พร้อมประวัติศาสตร์ฉบับใหม่ แต่เป็นฉบับเดิมที่ชัยได้ยินมาตั้งแต่เกิด พวกเขาสอดห่อทั้งหมดลงในถุงพลาสติกอีกชั้น ชัยเห็นหมดทุกถ้อยความ แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ฉบับนี้ยกย่องชูเชิดชนชั้นนำ ไม่มีการกล่าวถึงคนทำงานเบื้องหลังหรือชนชั้นล่างตัวเล็กตัวน้อย --- ประวัติศาสตร์ของพวกเราอยู่ในนั้น จำไว้ พวกเขาเลือกให้เราเห็นด้านเดียว ด้านที่เขาอยากให้รู้ มันก็วนอยู่อย่างนี้แหละ
“เขาจะเขียนให้พวกเราเป็นอะไรก็ได้” เปลวเทียนหรี่รำไร คำพูดของพ่อลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง.
..........................................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”