เรื่องสั้น : โฉลก : ข้าวหอมมะลิ
เรื่องสั้น : โฉลก : ข้าวหอมมะลิ
ภายในห้องนั้นมีเพียงแสงไฟเลือน ๆ สะท้อนเงาไม้ เล็ดลอด ผ่านช่องหน้าต่าง เข้ามา
เธอนั่งกอดเข่าอยู่ที่พื้นปลายเตียงนอน ค่อย ๆ ปล่อยสายน้ำน้อยจากเบ้าตาทั้งคู่ให้ไหลริน จนเปลี่ยนเป็นถั่งท้นออกมาราวตาน้ำผุด เสียงสะอื้นฮึก ๆ บางครั้งแผ่วเบา บางคราวกลับกลายเป็นเสียงไห้โฮ เมื่อความร้าวรวดข้างในถูกถีบกระเด็นกระดอนออกมานอกหัวอก จนตัวเธอสั่นเทิ้มโยกโยนไปกับจังหวะสะอื้น ร่ำไห้
ผมได้แต่ยืนนิ่งดู มันทำอะไรไม่ถูก ในชีวิตผมไม่เคยทำให้ผู้หญิงร้องไห้เสียใจแบบนี้มาก่อน จริงๆนะ ครั้งนี้ต้องมาเห็นผู้หญิงถั่งน้ำตาพราก ๆ ต่อหน้าต่อตา กับเรื่องกระทบใจเพราะผู้ชายอย่างนี้ ไม่รู้สิ...ผมจะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี
ผมเปิดสวิทช์ไฟ แต่ต้องรีบกดปิดเมื่อเห็นสายน้ำตาของเธอไหลล้นเอ่อกลบดวงตาที่เคยแวววาวลงมาไม่ขาด ผมไม่อยากเห็น รู้สึกร้อนวาบไปทั่วทั้งหน้า ตาทั้งคู่ของผมยิ่งร้อนผ่าว รู้สึกราวกับเส้นเลือดเล็ก ๆ ในดวงตาพวกนั้นกำลังเต้นเร่า ๆ พร้อมจะปริแตกออกมาให้ได้
ไม่รู้ว่าผมเผลอกำหมัดแน่นหนึบแบบนั้นมานานแค่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ปวดไปทั้งแขนเพราะกล้ามเนื้อถูกบีบเบ่งจนเส้นเอ็นขึงตึง แต่ที่ปวดร้าวยิ่งกว่า กลับเป็นก้อนเนื้อหัวใจที่เต้นตูม ๆ อยู่ข้างในของคนเป็นพ่ออย่างผม ใจมันเจ็บเหมือนกำลังถูกเหยียบย่ำ ราวกับเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้มากกว่าการเข้าไปลงนั่งข้าง ๆ โอบลูกไว้ อิงไหล่ลงให้ลูกซบ เอาอกเป็นแผ่นรองซับน้ำตาที่ไหลนอง แล้วนั่งอยู่เงียบ ๆ อย่างนั้น รอจนกว่าน้ำตาของเธอจะหมดหยดสุดท้าย...อย่างน้อยที่สุดลูกก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่อย่างเศร้าโศกในโลกหม่น ๆ นี้คนเดียว
ใช่ว่าผมไม่อยากใช้คำพูดดี ๆ สวย ๆ สักหลาย ๆ คำเอ่ยปลอบลูก แต่มันพูดไม่ออก ก้อนจุกมันอุดหลอดลมผมไว้จนเต็มแน่น คำพูดไหน ๆ ก็ไม่อาจเล็ดลอดออกมาได้
“พ่อไปนอนเถอะ...หนูโอเคแล้ว”
กลับเป็นลูกที่พูดขึ้นก่อน เมื่อเธอปาดน้ำตาหยาดสุดท้ายทิ้งไป แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมฉุดมือผมให้ลุกตามขึ้นไป
ไอ้ก้อนจุก มันก็ยังคงทำหน้าที่จุกปิดปากผมไว้อยู่อย่างนั้น ผมเชยคางลูกขึ้น ไฟสลัวนั่นทำให้ผมไม่ได้เห็นแววตาของลูก แต่ท่าทางแสดงความแข็งแกร่งของเธอมันทำให้ผมนึกถึงใครบางคน
ผมได้ยินเสียงคุ้นเคยนั้นกลับก้องเข้ามาในโสตประสาทของผมอีกครั้ง
“ไอ้ตุ๊กกกก”
เสียงเรียกที่ผมเคยได้ยินดังสะท้อนผ่านผนังห้อง จากความเงียบที่โอบรัดสายลมกับรั้วลวดหนาม ในวันนั้น
ผมยิ้มให้ลูก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเธอคงมองไม่เห็นผ่านในแสงเพียงสลัวอย่างนี้ ค่อย ๆ เสยผมเปียกชื้นน้ำตาออกจากใบหน้า ขยี้หัวเธอเบา ๆ พลันก้อนจุกนั่นก็หล่นตุบหายลงไปในท้อง
“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร”
เพียงคำพูดนั้นที่ผมเอ่ยออกมาได้
ก่อนเดินออกจากห้องไป ผมก้มมองภาพถ่ายบนโต๊ะ ลูบแผ่นกระจกเบา ๆ เหมือนกำลังปลอบใครอีกคน จนใจเตลิดล่องลอย
............................
ผมบิดปุ่มเร่งเสียงเครื่องเล่นคาสเซ็ทไปทางขวาจนเกือบสุด หมายใจให้เสียงเพลงนั้นดังข้ามรั้วไปให้ถึงโต๊ะนั่งใต้ถุนอาคารใกล้ ๆ ได้อย่างชัดเจน
คว้าผ้าขึ้นจากกะละมัง มาถือไว้ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ บิดมันเบา ๆ กลัวเสียงน้ำหยดกลับลงไปในกะละมัง จะดังออกไปถึงนอกรั้ว ราวกับกำลังแอบขโมยเข้าไปซักผ้าในบ้านของคนอื่น แต่ตายังคงจับนิ่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ถุนนั่น
‘ ยามอยู่ในความเงียบเหงา
เหมือนเราอยู่เพียงเดียวดาย
หัวใจพร่ำเพรียกถึงใครคนหนึ่ง
อดีตฝังตรึงแนบทรวงมิคลาย...’
เสียงเพลงดังจนหูผมแทบแตก แต่คนที่นั่งอยู่ใต้ถุนหลังรั้วลวดหนามนั่นยังฟุบหน้านิ่งหลับกับโต๊ะเหมือนระดับเสียงเพลงที่ดังขึ้นมากกว่าเก่านั้น ไม่ได้กระทบรบกวนโสตของเธอเลย ยังปล่อยให้ผมยาวสลวยดูนิ่มลื่นนั้นถูกลมพัดปลิวลงปิดหน้า ซ้ำยังทิ้งให้แผ่นกระดานรองกระดาษวาดรูป กับดินสอ ยางลบ พวกนั้น นอนพักไปด้วยกันอย่างขี้เกียจ
ผมลืมตัว
“พึ่บพับ”
เผลอสะบัดผ้าในมือเต็มแรง เหมือนที่เคยทำทุกครั้งก่อนจะตากผ้า
อารามตกใจ กับความที่ลืมแผนดักซุ่มเสียเอง เลยลุกลนจนเผลอเดินเตะกะละมังอะลูมิเนียมเนื้อบางที่วางไว้ข้างๆไปกระทบกัน เสียงดังเข้าไปอีก
“บุ๊บ บุบ”
ผมโมโหตัวเอง นึกขึ้งไอ้กะละมังพวกนั้น ก็ปานกัน แอบก้มหลบลง ให้ผืนผ้าปูที่นอนที่ขึ้นราวตากไปก่อนหน้าเป็นกำบัง
“ปั๊ด...โว๊ย” ผมคิดในใจ ก่อนจะค่อย ๆ โผล่หัวขึ้นเหนือราวผ้าปูที่นอน เพื่อดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม
‘สุดท้ายความรักจบลงด้วยแหนงหน่าย
สุดท้าย ความรักจากลงด้วยร้างรา
จะโทษใครเล่าหนา ก็รักเธอเจียนบ้า
หลั่งน้ำตา เพราะใคร...’
เครื่องเล่นคาสเซ็ทยังส่งเสียงเพลงถัด ๆ มา
เธอ...ลุกขึ้นยืนหันหน้ามาทางผม พร้อม ๆ กับมือสางผมสลวยให้กลับไปอยู่ด้านหลัง คราวนี้ผมจึงได้เห็นเธอเต็มตา
จังงัง... ผมตะลึง ยืนมองเธอนิ่ง เหมือนถูกสาปให้เป็นรูปปั้น ยืนแข็งทื่ออยู่หลังราวตากผ้า
“กริ๊ก”
ผมบิดปุ่มปิดเสียงคาสเซ็ท สาดน้ำทิ้งไปข้างรั้วเต็มแรง แล้วโยนกะละมังลงซ้อนกันเสียงดังโครม ก่อนหิ้วเครื่องเล่นคาสเซ็ท หันหลังกลับเข้าบ้าน รอยยิ้มที่อมไว้ในมุมปากอย่างคนอารมณ์ดี ที่มีมาตั้งแต่เพลงแรกถูกถุยทิ้งไปพร้อมกับน้้ำในกะละมัง
“ปังง”
ผมปิดประตูเสียงดังสุดแรง สาบานว่าจะไม่หันมองข้ามรั้วไปอีกเลย...แต่ข้างในใจนั้นกลับเต้นดัง ตึก ตึก
ผมโกรธเธอ...โกรธมาก ๆ ด้วย
ผมหิ้วคาสเซ็ทขึ้นไปบนห้อง สาบานว่าจะไม่หันกลับไปมองคนข้างรั้วนั่นอีกก็จริง แต่มันก็อดไม่ได้ พอได้ยินเสียงตะโกนเรียกโหวก ๆ มาจากข้างล่างนั่น ผมยิ่งกลับใจเต้นรัวถี่ไวกว่าเข็มวินาทีบนหน้าปัดนาฬิกาหลายเท่า
ทำอะไรไม่ถูกก็หมุนปุ่มโวลุ่มคาสเซ็ทไปสุดเสียง แต่ก็รีบบิดกลับ เพราะกลัวไม่ได้ยินเสียงข้างล่างอีก แล้วก็ลืมตัว เดินไปแหวกม่านหน้าต่างออกนิดหนึ่ง สอดตามองลงไป อยากดูให้แน่ใจ
หญิงวัยสาวผมยาว รูปร่างปราดเปรียว เอวเพรียวผอมบาง หน้าตาสดสวย หมดจด แต่มองดูท่าทางร้ายกาจอย่างนางแมวป่า กำลังปาก้อนยางลบขึ้นมาใส่หน้าต่าง ผมเผลอตกใจ รีบปิดม่านหลบ ล้มตัวลงบนเตียง ใช่เธอจริง ๆ ด้วย
“สวยปากหมา” ฉายาของเธอ ผมเองแหละเป็นคนตั้งให้
บ้านของเราอยู่ติดกัน เห็นหน้ากันทุกวัน ผมนึกไม่ออกว่าผู้หญิงหน้าตาดีขนาดนั้นจะมีนิสัยโลดโผน พูดจาโผงผางแบบนั้นได้อย่างไร ไม่น่ารักเลยสักนิด ผู้หญิงในรสนิยมของผมตอนนั้น ต้องพับเพียบเรียบร้อย แต่แม่ผมกลับนิยมชมชอบในตัวเธอ บอกว่าเด็กคนนี้จริงใจ กล้าหาญ คงเพราะวีรกรรมวิ่งไล่ทุบวัยรุ่นติดกาวที่มาวิ่งราวแม่ในคราวนั้น
ผมบอกแม่ว่า “ไม่ถูกโฉลก”
ผมโกรธเธอ เพราะเธอเอาเรื่องผมคบแฟนตอนม.ปลาย ไปบอกแม่ เป็นเหตุให้แม่ทำตึงตังใส่ผมทุกที ที่เห็นผมแต่งตัวหล่อเฟี้ยวออกจากบ้าน
“ริรัก มิรักเรียน ไม่พากเพียร พาลพาจน”
แม่แต่งกลอนประชด เมื่อเห็นผมหวีผมเรียบแปล้ เดินล้วงกระเป๋า ออกจากประตูบ้านไป ไม่สนใจเสียงค่อนขอดของแม่สักนิด ทิ้งแต่กลิ่นออดิโคโลญจ์ฟุ้งกระจาย ไว้ข้างหลัง ไม่เกรงใจหมาแมวที่ถึงกับจามกันฟิดฟัด
แต่สุดท้ายผมต้องอกหัก เพราะรักทางไกล
ผมกับแฟนเรียนคนละที่ เธอค่อย ๆ ห่างหายไป เหมือนถูกวันเวลาดูดกลืน เรื่องของเราราวกับบันทึกรักในแผ่นกระดาษที่ถูกวางลืมไว้กลางแจ้ง ปล่อยให้ความผันแปรของฤดูกาลเซาะซัดจนขาดวิ่น ผมมักจะโทษเวลาสองปีนั้นที่เปลี่ยนแปลงใจคน แม่ไม่ปลอบ ซ้ำยังพูดแบบไม่เกรงใจ
“ดีแล้ว...ไม่ถูกโฉลก”
-----------------------
“ไอ้ตุ๊ก”
เสียงเรียกมาจากข้างหลัง ดังกว่าเสียงกระซิบเล็กน้อย ใจผมถึงกับเต้นรัวขึ้นมาทันที
แปดปีที่แล้ว ผมได้เจอกับเธอแค่ครั้งนั้นหนเดียว ทำกะละมังบุบไปสองใบ แต่ไม่กล้าสู้หน้าเธอ
วันนั้นผมหนีขึ้นไปดักเร้นอยู่ในห้อง แม้ใจจะเต้นแรง แต่มันพลุกพล่าน อารมณ์สับสนปนเป ยินดี โกรธ หรืออาย ผมก็ไม่รู้ แต่ความขลาดนั่นชัดเจน เพราะผมไม่กล้าที่จะเปิดหน้าต่างออกไปดูเธออีก ทั้ง ๆ ที่เธอยืนตะโกนเรียกอยู่เป็นนาน แต่พอทำใจสงบลงได้ ข้างนอกหน้าต่างนั้นกลับมีเพียงโต๊ะกับม้านั่งว่างเปล่าในสายลมเงียบเหงาเท่านั้น
กลับมานึกสะกิดใจแปลก ๆ อยู่ว่าพอแผลในใจผมหายสนิท คนใหม่ที่เตะตาผมจนต้องแสร้งสร้างอุบายแอบมองในวันนั้น กลับเป็นเธอไปได้อย่างไร ท่าทางโผงผาง ก๋ากั่นของเธอในวันเก่า ๆ ที่ผมคิดว่าไม่ถูกโฉลก กลับทำให้เผลอยิ้มได้เงียบ ๆ คนเดียว เฝ้ากลับไปถามตัวเอง...ผมโกรธเธอทำไม ไร้สาระแท้ ๆ
ผมหันกลับไปตามเสียง...ใช่เธอจริง ๆ
“ปลัดหญิงผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”
ฉายาใหม่ที่ชาวบ้านตั้งให้เธอ และมันฟังดูถูกโฉลกกับผมสุด ๆ
ผมเคยวาดฝันสวยงามเมื่อคราวคบกับแฟนเก่า เราจะช่วยกันสร้างบ้าน ซื้อรถ เก็บออม มีลูกน่ารักด้วยกัน แต่ความฝันเหล่านั้นก็ถูกวันเวลากลืนหายไป
แล้วจู่ ๆ สวยปากหมา ในโฉมปลัดหญิงผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ก็ถูกโลกใบเก่า ในห้วงเวลาใหม่ หมุนกลับมาส่งคืนให้ผมง่าย ๆ และเป็นเธอที่มาเติมต่อฝันเหล่านั้นของผมจนสำเร็จ
“เฮ้ยตุ๊ก...แกก็...มาแต่งงานกับฉันสิ”
พอรู้ว่าผมยังอยู่เดียวดายเอกา นับจากพลาดรักจากแฟนม.ปลาย เธอก็รวบรัดเอากับผมง่าย ๆ อย่างนั้น
แต่มันก็อาจจะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ถ้าประโยคนั้นเธอพูดออกมาเมื่อสักสิบกว่าปีก่อน คงผิดจริตจนผมรับไม่ได้ แต่ครานี้มันกลับเป็นมธุรสวาจาที่ผมปรารถนา ในวันที่ผมเฝ้ามองหาใครสักคน ผมกลับติดตาติดใจ ผู้หญิงที่ยืนปายางลบใส่หน้าต่างของผมคนเดียว ผ่านเวลานั้นไปแปดปี ผมมองไม่เห็นคนอื่นเลย ราวกับว่าผมเพียรเฝ้ารอวันนี้เท่านั้น
-----------------------
ลูกคือโลกใบใหม่ที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาหลังเวลาแปดปีที่หายไปของผม แปดปีที่ความคะนึงหาถูกซ่อนเร้นเงียบงำอยู่ในความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายอย่างไม่เคยรู้ตัว
เวลาทำให้เธอได้เยียวยา ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ สร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่ หลังจากแหวกว่ายจนโผล่พ้นขึ้นจากทะเลน้ำตาในช่วงสองสามปีนั้น ครั้งนี้ผมนึกขอบคุณเวลาที่ผ่านไปของลูก
เมื่อก้าวข้ามเวลารักร้ายนั้นมาได้ ลูกคงไม่มีน้ำตาเหลือในแอ่งใจแล้วตั้งแต่วันนั้น เธอไม่ร้องไห้ให้ผมเห็นอีกเลย ร่องรอยความเศร้าที่หลงเหลือ ที่ผมพอจับสังเกตได้ คงมีเพียงแต่ความเซื่องซึม เหม่อลอยในช่วงสั้น ๆ ก่อนที่เธอจะเรียกเอาเสียงหัวเราะกังวานใสกับความมีชีวิตชีวากลับสู่บ้านของเราอีกครั้งหนึ่ง และมันยังไม่เคยจางหายไป หากมีแต่เพิ่มพูนเข้ามา กับต้นอ่อนที่กำลังโลดเต้นอยู่ข้างหน้าสองต้นนั้น
ผมมองเด็ก ๆ วิ่งไล่จับกัน เห็นพลังในวัยต้นอ่อนที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหมด เฝ้าฟังเสียงหัวเราะ เวลาเขากำลังเล่นสนุกหรือพอใจ แอบใจเสียกับเสียงร้องไห้เมื่อเขาหกล้ม นี่คือชีวิตที่เหลืออยู่ของผม
อดคิดไม่ได้ว่าหากโฉลกของผมไม่สูญหายไปถึงแปดปี ป่านนี้เด็กสองคนที่วิ่งเล่นหยอกล้อกันอยู่นั่น คงอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว และผมคงไม่ต้องพูดกับใครต่อใครซ้ำ ๆ ว่า ไม่รู้จะได้อยู่จนเห็นหลาน ๆ โตรึเปล่า
ผมนอนอยู่บนเปล กึ่งหลับกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเรียกเหมือนกระซิบ
“ไอ้ตุ๊ก”
ใจกระตุกคิดว่ากำลังตื่นจากฝัน หันมองมือน้อย ๆ ที่กำลังสะกิดที่แขน
เธอยื่นก้อนยางลบมาให้ อีกมือกำลังเสยผมที่ปลิวปรกหน้า ท่าเสยผมแบบนั้นผมรู้สึกคุ้นตาดี ผมเหลือบไปยิ้มให้คนในภาพใต้แผ่นกระจกใส
“คุณตาช่วยเช็ดยางลบหน่อยค่ะ...เปื้อน”
ผมรับยางลบจากหลานสาวตัวเล็กมาเช็ดขี้ไคลดินสอออกให้ ท่าทางก๋ากั่น แต่รักสวยรักงาม รักการวาดรูปนั่น
มันช่างถูกโฉลกผมเสียจริง ๆ
..........................................................