เรื่องสั้น : วัยซนจำ : ’ชัย ชัยมี
เรื่องสั้น : วัยซนจำ : ’ชัย ชัยมี
ตอนที่เพื่อนแจ้งข่าวการตายอย่างกะทันหันของเพื่อนอีกคนหนึ่งบนเฟซบุ๊ก ผมพยายามนึกใบหน้าของผู้ตาย ผมกลับเห็นเด็กชายวัยประถมยี่สิบคนกำลังยื้อแย่งลูกบอลพลาสติกที่กลิ้งผ่านขา ใบหน้าเหล่านั้นมุ่งมั่นโชกไปด้วยเหงื่อในเสื้อขาวกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินบนลานตึกหน้ารูปปั้นคุณพ่อยอห์น บอสโก
เสียงเอ็ดตะโรทำให้มาสเตอร์ชวลิตเดินปั้นปึงออกมา ยืนเท้าสะเอวอยู่หน้ามุกลานตึกอำนวยการ แกนิ่วหน้าพร้อมด้วยไม้เรียวยาวสามศอกที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง กองเชียร์กว่าสิบคนพากันวิ่งแตกฮือ ก่อนคาบเรียนบ่าย นักฟุตบอลต่างยืนเรียงหน้ากระดานอยู่หน้ารูปปั้นนักบุญดอมินิก ตะเบ็งร้องเพลงทั้งน้ำตาอาบแก้ม“ยอมตาย แต่ไม่ยอมทำบาป ตามแบบฉบับนักบุญดอมินิก... เพื่อนชั่ว เราต้องหลบหลีก ดั่งดอมินิก นักบุญท่านเอย...” เสียงควั่บ ควั่บ ควั่บ ฟาดไม้เรียวของมาสเตอร์ชวลิตแบบไม่ยั้ง กระหน่ำหวดก้นพวกเราตามลำดับไหล่ “แต่อย่านึกว่ากันจะกลัวพวกแกนะ พรุ่งนี้พวกกันจะมาล้างตาใหม่ !” ประกาศกร้าวแล้วก็ร้องอูยเอาสองมือลูบก้นพลางกระโดดเหยงๆ รีบแยกย้ายขึ้นตึกเรียน
ที่นี่เป็นโรงเรียนชายล้วน เราหัวเราะ เราทะเลาะและโกรธกันเป็นประจำ ร้ายสุดนัดต่อยปากกันหลังโบสถ์ ทว่ามีคนคาบเรื่องไปฟ้องมาสเตอร์ชวลิต แต่พวกเราไหวตัวทัน หน่วยซุ่มดูลาดเลาได้กลิ่นไม้เรียวพิฆาตของแกหึ่งมาแต่ไกล ชั้นเรียนเรามีเด็กนักเรียนชายประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบคน แบ่งเป็นสี่ห้อง ที่นี่เราไม่เรียกชื่อแซ่หรือชื่อเล่นกัน เราเรียกด้วยสมญา ไม่ก็เป็นสรรพนามที่ถูกตั้งตามอุปลักษณ์ ไม่ก็ชื่อพ่อแม่ที่แกะจากลายเซ็นผู้ปกครองในสมุดจดการบ้าน พวกเรากอดคอวิ่งไล่และกระโดดเตะก้นกัน ถึงจะโกรธกันปานใด แต่พอยามต้องรักใคร่สามัคคีกันแล้ว ก็จับมือกลมเกลียวเหนียวแน่นอย่างเงื่อนเชือกในวิชาลูกเสือสามัญ เราต่างช่วยกันตะเบ็งร้องเชียร์เพื่อนเราที่กำลังจะแซงนักวิ่งจากโรงเรียนอื่นเข้าเส้นชัย เสียงกลองโห่ร้องกระหึ่มลั่นอัฒจันทร์เมื่อเพื่อนเราขึ้นรับเหรียญทอง
วันหยุดแก๊งจักรยานก็จะปั่นมารวมกันอยู่ในโรงเรียนก่อนจะเตร่ไปตามเมือง เราไปยืนตะโกนเรียกหน้าบ้านเพื่อนที่ได้ข่าวว่าป่วย จนพ่อเพื่อนเปิดประตูผางออกมาแล้วไม่พบใคร เราไปช่วยกันอุดหนุนขนมหวานของแม่เพื่อนที่ตลาดจนอิ่มแปล้ถ้วนหน้า ตกเย็นก็กลับไปเตะฟุตบอลในโรงเรียนต่อ ในขณะที่เด็กประจำเริ่มทยอยกันกลับเข้าหอนอนในเย็นวันอาทิตย์ บ้านเมืองเราในยามนั้นเงียบสงบ รถรามีไม่มากเท่าปัจจุบัน โจรขโมยมิจฉาชีพไม่พลุกพล่าน พ่อแม่จึงไม่ค่อยกังวลเป็นห่วงลูกหลาน ขอแค่สอบปลายเทอมมีเกรดสวยๆ มาอวดให้พวกท่านชื่นใจก็เป็นพอ พ่อบางคนใจดีพาพวกเราไปเลี้ยงข้าว พ่อบางคนเป็นเจ้าของธุรกิจโรงหนัง เราเรียนอยู่ชั้นประถมกันหกปี จากนั้นบางคนก็หายหน้าหายตาไป บางครอบครัวอพยพโยกย้าย บางครอบครัวเจอวิกฤตทางเศรษฐกิจ บ้านติดประกาศขายด่วน คนในละแวกนั้นบอกว่าพวกเขาหนีหนี้ เพื่อนสี่สิบคนสอบติดโรงเรียนสหศึกษา ดีใจกระโดดโลดเต้นตัวลอยอยู่หน้าบอร์ดประกาศผลสอบ ผมกับเพื่อนแปดสิบคนสอบไม่ติด ต้องกลับมาอยู่ที่เดิม
ช่วงปิดเทอมใหญ่ปีนั้นอาคารไม้ที่เคยวิ่งเล่นสมัยประถมถูกรื้อ กลายเป็นตึกปูนสูงสองชั้นยืนอวดตัวอยู่ท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์ พวกเราเริ่มมีเพื่อนใหม่ที่ฝีเท้าฉกาจฉกรรจ์กว่าศูนย์หน้าตัวกลั่นที่ย้ายสโมสรไปสวามิภักดิ์สังกัดอื่น เรารู้สึกแขนขามันเก้งก้างยาวขึ้นกว่าเทอมที่แล้วอยู่พิกล เพื่อนบางคนเริ่มมีไรหนวดขึ้นบาง ๆ บางคนเสียงห้าวแตกปร่า บางคนมีลูกกระเดือกโผล่ทิ่มออกมา ชี้ลำคอยักคิ้วอวด บางคนเริ่มพูดถึงเด็กผู้หญิงโรงเรียนอื่น บางคนนั่งตาลอยออกไปนอกรั้วโรงเรียนอย่างไร้จุดหมาย บางคนสั่นหัวปฏิเสธเลิกเตะฟุตบอล บอกว่าเหงื่อออกมาก ๆ ทำให้ตัวเหม็น
แต่ถึงอย่างไร พวกเด็กสิบหกคนที่ยังหลงใหลเกมฟุตบอล ก็ต้องมายืนกอดอกเรียงหน้ากระดานหลังรูปปั้นนักบุญพลางตะโกนร้องเพลงยอมตาย แต่ไม่ยอมทำบาป แอ่นอกรับไม้เรียวของมาสเตอร์ชวลิต พร่ำงึมงำอบรมอย่างเอือมระอา... ตอนนั้นเป็นแกเองที่เริ่มมีเหงื่อซึมอยู่ตามตีนผมและลานหน้าผาก แกต้องปาดเหงื่อทิ้งแขนพักเฆี่ยนอยู่ครึ่งทาง ตอนนั้นเองที่พวกเราเพิ่งเห็นถึงความชราโรยปรากฏขึ้นในดวงตาสีลูกหว้าของแก ขณะช่วยกันหิ้วปีกแกขึ้นไปนั่งพักหลบร่มใต้ชายตึก
เป็นธรรมดาอยู่ที่เพื่อนหลายคนเริ่มมีโลกส่วนตัวสูง พูดน้อยคำจนถึงพูดอยู่คนเดียวในขณะเดินวนรอบต้นโพธิ์หน้าตึกอำนวยการ บางคนชอบปลีกวิเวกและเปิดคัมภีร์ศึกษาคำสอนของพระเจ้าอย่างเข้มข้น ยกมือทั้งสองอวดชูเหนือหัวแล้วอนุมานเอาว่านี่คือเรือโนอาห์ บางคนถึงกับเอ่ยปากขอแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนสมัยประถม หันไปสวามิภักดิ์ คอยเดินตามก้นและขลุกอยู่กับเด็กกลุ่มนักเรียนเข้าใหม่ที่ดูร่ำรวยถือตัว จนพวกเราเหม็นขี้หน้าขนานนามพวกนั้นว่า ‘แก๊งเด็กเสี่ย’ ยิ่งเติบโต ยิ่งค้นพบว่าความสนุกสนานร่าเริงไปวัน ๆ กลายเป็นความไร้สาระ เมื่อเด็กเสี่ยมีผลการเรียนดีเด่นได้รับรางวี่รางวัล ถูกขานชื่อประกาศเกียรติคุณหลังไปสร้างชื่อเสียงให้แก่ทางโรงเรียนมากมายเหลือคนานับ หนึ่งในกลุ่มของเราอดรนทนต่อไปไม่ไหวก็ถึงแก่ปรารมภ์ดัง ๆ ออกมาให้ได้ยินทั่วถึงกันว่า “เอ้ นี่แน่ะ ผองสหายทั้งหลาย วัน ๆ แกและกันมัวเล่นทำบ้าหาสวรรค์วิมานอะไรกันอยู่หว่า เอ้อ กันมานั่งคิดนอนคิดดูแล้ว แกและกันควรจะเริ่มหันหน้าเข้าหาหนังสือหนังหามันเสียบ้าง ตั้งใจเรียนเตรียมสอบเข้ามหาลัยเสียแต่เนิ่น ๆ น่าจะดีกว่าเอาแต่จับเจ่าไม่เป็นโล้เป็นพาย ฮึ่ย เลิกเสียทีเถอะว้า เตะบอลพลาสติกเหมือนไอ้พวกเด็กประถมไม่รู้จักเบื่อจักโต ทำแต่เรื่องไร้สาระไปวัน ๆ กันอยากมีอนาคตที่ดีกว่านี้ เข้าใจใช่ไหม การคบพวกแก กันก็ เอ่อ... มันทำท่าหงุดหงิดกับคำพูดคำจาของตัวเอง เงยหน้าขึ้นยิ้มเนือย ๆ มาทางผมกับพวกเพื่อน จากนั้นมันก็เลิกคบพวกเรา มันไม่พูดด้วย ไม่นั่งกินข้าวด้วย มันแยกตัวย้ายโต๊ะไปเข้ากลุ่มแก๊งเด็กเรียน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเมื่อเด็กอย่างเราโตขึ้นเรื่อย ๆ ทำไมมันเต็มไปด้วยเรื่องหยุมหยิมอีนุงตุงนังไปหมด อิจฉาริษยาแม้แต่การได้เห็นเพื่อนสักคนกำลังเรียนดีขึ้น เทอมต่อมาเกรดเฉลี่ยมันทิ้งห่างพวกเราไปลิบชนิดไม่ติดฝุ่น เพื่อนอีกคนในกลุ่มของเราเป็นโรคแพ้สมการในโจทย์คณิตศาสตร์ สอบตกตอนปิดเทอมแรก หลังเรียนซัมเมอร์และสอบซ่อมใหม่ พ่อของมันก็ต้องซื้อตู้เย็นขนใส่ท้ายกระบะมาประเคนแก้เกรดให้ลูกชาย ส่วนผมกับพวกที่เหลือเอาตัวรอดไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด เรื่องแบบนี้เราไม่โทษเครื่องเกมที่เราติดงอมแงมจนไม่เป็นอันทำอะไร เราไม่โทษทีวีที่หลอกล่อเราด้วยมายาคติ ไม่โทษคาสเซ็ตเทปเพลงที่ปั่นประสาทเราให้หลงงงงวยอยู่แต่ในโลกความฝัน เราแลเห็นเราในบทบาทร็อกสตาร์ ผมยาวรุงรังสะพายกิ๊บสันสีเนื้อไม้หนักจนไหล่อู้ และเพื่อนเราทั้งหมดเป็นวงดนตรีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงบนชาร์ตวิทยุในเมือง ราวกับว่าเด็กในวัยหนุ่มรุ่นกระทงอย่างผมกับเพื่อนเสพติดลุ่มหลงอะไรง่าย ขาดการยับยั้งชั่งใจ ผู้ใหญ่พูดใครเตือนเราก็ไม่ฟัง จนกระทั่งผลลัพธ์มันมาออกที่ผลการเรียนในเทอมต่อมา ฝ่ายปกครองร่อนจดหมายเชิญผู้ปกครองของเรามาปรึกษา ยามนั้นเราเริ่มลดสายตาลงหันมามองเห็นเพื่อนในรุ่นเดียวกัน ตอนขึ้นชั้นมัธยมสองเทอมแรก พบว่าพวกที่ชอบถือพระคัมภีร์แนบอกกลายเป็นเด็กโบสถ์ มีอภิสิทธิ์ไม่ต้องเข้าแถวร้องเพลงชาติฟังบราเธอร์อบรมวินัยจนหูชา พวกนั้นเดินแถวเรียงหนึ่งไปประกอบกิจทางศาสนาในโบสถ์ทุกเช้าอย่างเคร่ง ผมจะเห็นพวกมันชอบหยุดยืนหลับตายกนิ้วทำเครื่องหมายกางเขนบนอก ภาวนาถึงพระบิดา พระบุตร และพระจิต ให้แด่คนสัตว์สิ่งของอยู่เป็นนิจ หนึ่งในกลุ่มนั้นต่อมากลายเป็นบราเธอร์สอนหนังสือพวกรุ่นน้อง บางคนเป็นนักธรรมประจำอยู่ตามโบสถ์วิหาร ผมเห็นชุดนักบวชที่เขาสวมขณะขี่รถเวสป้าปุเล็งอยู่ในโรงเรียน อดนึกถึงเด็กชายหัวเกรียนวัยประถมคนนั้นที่เคยไล่เตะก้นกระโดดถีบหลังกันไม่ได้
กระบวนการจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งมันต้องผ่านกลไกอะไรมาบ้าง เพื่อนเคยบอกว่าต้นทุนชีวิตคนเรามีไม่เท่ากัน ไม่มีใครบอกใครได้หรอกว่าแต่ละช่วงชีวิตมันจะพาเราไปหาอะไร จะต้องพบเจออะไรบ้าง กว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยสารพัดปัญหาต้องแบกรับไว้เต็มสองบ่า ช่วงที่ดูเหมือนเราทุกคนในรุ่นจะกลับมารักใคร่กลมเกลียวกันอีกครั้งก็เห็นจะเป็นตอนที่ไปออกค่าย
เรายกทีมนั่งรถบัสออกต่างจังหวัดเป็นระยะเวลาห้าวันสี่คืน ขึ้นสู่เชิงเขาอันเป็นที่ตั้งของค่ายทหารกลางป่าลึก ประสากลุ่มเด็กผู้ชายนิสัยทโมนได้หนีไกลพ้นออกจากอกพ่อแม่ตั้งหลายวันหลายคืน ก็เหมือนติดปีกลิงโลด ยกเว้นก็แต่พวกเด็กเสี่ย เด็กโบสถ์ และเด็กเรียนเท่านั้นที่แสดงออกทางสีหน้าว่าไม่สนุกด้วยกับป่าเขาลำเนาไพร การได้ปีนเป็นลิงไต่เป็นค่างห้อยโหนผจญภัยไปตามด่าน การต้องเอาตัวรอดภายในป่าทึบทั้งในยามกลางวันและกลางคืน บุกตะลุยฐานปฏิบัติการตามจุดต่าง ๆ ในป่าเขาลำเนาถ้ำ ทำให้เด็กกลุ่มที่ไม่เคยมองพวกเราอยู่ในสายตาต่างปรี่เข้าหาเกาะแขนติดแจเป็นลูกแมวเซา
เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเราเกิดอุตริระหว่างเดินป่ากลางดึก หันปากกระบอกไฟฉายสาดลำขึ้นหาดวงหน้าที่เหลือกตาขาวขึ้นเหมือนผี พลางยื่นปากออก กระซิบกระซาบลอดไรฟันเล่าอ้างถึงไอ้ลายพาดกลอนบนเขาลูกนี้ เคยตะปบกัดคอเด็กที่มาเข้าค่ายตาย “...เรื่องนี้พ่อกันที่เป็นทหารเล่าให้กันฟังเองกะหู บอกให้กันคอยระวังตัวแจให้จงดี กำชับเตือนเพื่อน ๆ ด้วยว่าอย่าประมาทป่าเขาบนนี้ ห้ามออกไปไหนพ้นเขตค่ายคนเดียวเชียว...” ทันใดพุ่มไม้เบื้องหน้าส่ายไหวขึ้นอย่างรุนแรงทันกับเสียงหวีดลั่นของพวกเด็กเสี่ย เด็กโบสถ์และพวกเด็กเรียนที่ล้มกลิ้งฉี่ราดกองกันอยู่ตรงนั้น
กลับมาจากค่ายนรกครั้งนั้น พวกเราก็เลิกตั้งแง่รังเกียจกัน หันมาช่วยเหลือกันในด้านที่อีกฝ่ายไม่ถนัด การเรียนเราพลอยกระเตื้องขึ้น ลานถนนหน้าตึกอำนวยการถูกเด็กรุ่นน้องยึดเอาไปเตะบอล เราเห็นรุ่นน้องยืนเรียงแถวกอดอกป่าวร้องเพลงยอมตาย แต่ไม่ยอมทำบาป และมาสเตอร์ชวลิตพร้อมด้วยไม้เรียวพิฆาตของแกกำลังกระหน่ำนาบก้นเด็กกลุ่มนั้นอยู่หน้ารูปปั้นนักบุญดอมินิก ช่วงพักเที่ยงเราต่างมั่วสุมอ่านตำรับตำราอยู่ในโรงอาหาร คนที่เก่งติวให้คนที่อ่อน ภาคเรียนหนึ่งใครเคยบอกเราว่ามันผ่านไปช้า สอบปลายภาพเทอมสุดท้ายในวัยมัธยมต้นกำลังจะล่วงไป
ผมไม่ทันได้เอะใจด้วยซ้ำว่ามันเป็นอีกช่วงรอยต่อหนึ่งของชีวิตวัยรุ่น สามปีกำลังจะผ่านไป แม่ถามผมขึ้นวันหนึ่งว่าจะเอายังไงต่อไป ผมก็เหมือนเด็กคนอื่นที่ยังไม่รู้ความต้องการของตัวเอง เหมือนแม่จะมีคำตอบในใจอยู่ก่อนหน้า แกจะให้ผมย้ายไปเรียนศิลปะ จบแล้วไปทำงานหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์กับน้าชายที่กรุงเทพฯ แม่เกริ่นกับน้าเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ทางนั้นไม่มีปัญหา ผมก็ไม่มีปัญหา
สอบปลายภาควันสุดท้าย ก่อนกลับบ้าน เราแบ่งทีมกันเตะบอลพลาสติกที่ข้างตึกอำนวยการอยู่จนเย็นย่ำ โดยทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันจะเป็นการเตะนัดสุดท้ายของเพื่อนบางคนในรุ่น แต่ก็ไม่มีใครพูด ต่างเล่นกันสุดฝีเท้า ลูกบอลพลาสติกแตกเปลี่ยนไปถึงสองลูก เหงื่อโชกแนบเต็มแผ่นหลังเสื้อนักเรียนที่ละลานไปด้วยลายมือของเพื่อนในรุ่น : โชคดีเพื่อน แกจะเป็นเพื่อนกันไปจนวันตาย...
เรานั่งล้อมวงกันอยู่ข้างถนน หน้ารูปปั้นนักบุญ สัพเพเหระมีทั้งเล่าไปถึงชีวิตข้างหน้าและย้อนกลับไปตั้งแต่วันแรกที่เหม็นขี้หน้ากัน ก่อนหน้านั้นเราเห็นมาสเตอร์ชวลิตออกมายืนจ้องอยู่ตรงที่แกชอบออกมายืน แต่เย็นนั้นแกไม่ได้ถือไม้เรียวพิฆาตติดมือออกมาด้วย แกแค่ออกมามองพวกเรา ผมเหมือนตาฝาด เห็นแกยิ้มให้ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องพักครู เพื่อนบางคนหัวร่อสัพยอกว่าแกออกมาถอนใจโล่งอกที่พวกลิงหินกลิ้งทโมนจบ ๆ พ้นเวรพ้นกรรมแกไปได้เสียทีต่างหากเล่า...
ต้องให้มาถึงตอนนั้นนั่นแหละที่อีกคนก็โพล่งขึ้นมาว่า “ใครจะยังเรียนต่ออยู่ที่นี่อีกบ้างวะ...” ม่านแห่งความเงียบหล่นลงมาจากฟ้าตะคลุบคลุมพวกเราเอาไว้ในเวลานั้น กระแสลมหอบหนึ่งลากใบไม้แห้งตามพื้นปลิวว่อนไปมา “กันว่าจะไปสอบสหศึกษาอีกครั้ง” “กันด้วย” “ถ้าไม่ติดเหมือนตอน ม.ต้น กันก็กลับมาเรียนที่นี่อีก ชีวิตกันมันเหมือนถูกสาปให้อยู่โรงเรียนชายล้วนไปตลอดชีวิต ชาตินี้ไม่ต้องมีฟงมีแฟนเหมือนเขากันละ” เกิดเป็นเสียงฮาลั่นขึ้น หลายคนรู้อยู่เต็มอกว่าเส้นทางที่ถูกขีดเอาไว้ล่วงหน้าจะนำพาพวกเราบางคนไปยังสถานที่แห่งไหน ใช่แล้ว เรากำลังจะแยกย้ายจากกันไป
เด็กหนุ่มสิบห้าคนในที่แห่งนี้ ต่างกวาดมองตากันและกัน บางคนรู้จักคบค้ากันมาตั้งแต่เข้าชั้นประถม บางคู่ตามกันมาแต่ชั้นอนุบาล และที่เข้ามาตอนมัธยมต้นก็มีอีกสามคนที่รักใคร่นิสัยใจคอกัน สามปีเป็นเวลาที่เร็วเท่าใจหาย... กังวานหนึ่งเปล่งขึ้นทำลายความเงียบ “พวกแกสัญญากับกันได้ไหม ว่าเราทุกคนจะเป็นเพื่อนกันอย่างนี้ไปจนตาย ไม่ว่าอนาคตข้างหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ความเป็นเพื่อนของกันและพวกแกจะยังคงตั้งมั่นอยู่โดยไม่สั่นคลอนไปกับการเติบใหญ่ของพวกเราทุกคน”
นั่นคือภาพอดีตทั้งหมดที่ผมหวนนึกถึงผู้ตายขึ้นมาในชั่วแวบหนึ่ง เวลาผ่านไปนานจนความขุ่นข้องที่เคยก่อกวนได้สูญสลายหายไปจากความรู้สึกจนสิ้น จะมีเหลือก็แต่ความรู้สึกดี ๆ ช่วงวันเวลาที่เคยได้ใช้ร่วมกัน เรากลับมาเป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก มีการจัดตั้งกลุ่มรุ่นไว้พูดคุย เพื่อนวัยประถมที่จำกันได้บ้างและจำไม่ได้บ้าง ด้วยอายุที่มากขึ้นและเรื่องราวมากมายที่วูบผ่านเข้ามาจนกระทั่งเราต่างคนล่วงเข้าสู่วัยหนุ่มใหญ่ มีครอบครัว มีธุรกิจบริษัทห้างร้านที่ต้องดูแล แน่นอนว่าเพื่อนทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบคน เกือบครึ่งที่หายไปจากชีวิตเราจริง ๆ บางคนถึงขั้นออกตามหากันทั้งในชีวิตจริงและในโลกเสมือน
เรามีกลุ่มพูดคุยที่ทำให้สามารถเข้าถึงกันรวดเร็วแบบไม่ต้องนัดแนะชวนกันปั่นจักรยานไปยืนตะโกนเรียกชื่อพ่อที่หน้าบ้านเพื่อนเหมือนในวัยเด็ก เมื่อได้โยนระเบิดเปิดทาง เกริ่นถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อนหลายคนเข้ามาตอบ เล่าสู่กันฟังถึงวีรกรรมต่าง ๆ นานา จนเป็นที่สนุกสนานเฮฮาไปทั้งคืน ทำราวกับเรื่องที่กำลังพูดถึงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้นี่เอง เสียดายที่ยุคนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือที่สามารถถ่ายคลิปหรือเก็บภาพนิ่งได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องที่กำลังถ่ายทอดออกมาด้วยตัวหนังสือจะมีชีวิตชีวามากมายกว่านี้อีกเยอะ
ผมจำได้ว่าสมัยประถม บราเธอร์จะมีกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่มาตั้งอยู่หน้าตึก พวกเราเรียกประเพณีนี้ว่าถ่ายรูปหมู่ประจำปีการศึกษา เป็นช่วงที่ไม่ต้องเรียน ตั้งแถวเดินลงมาจากตึก รอให้นักเรียนชั้นอื่นวิ่งกรูเข้าหาแถวเก้าอี้ซึ่งตั้งวางเรียงหลั่น พวกตัวสูงและตัวใหญ่จะปีนป่ายขึ้นไปอยู่แถวบนสุด เด็กที่ตัวไม่สูงยืนแถวถัดลงมาโดยมีบราเธอร์คอยยกไม้ทำมือเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ สลับตำแหน่งคนนั้นคนนี้
แกยืนเอียงคอ เท้าสะเอว ขมวดคิ้วตรวจดูความเหมาะสม โดยมีคุณครูประจำชั้นนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กชายสวมเสื้อขาวกางเกงสีน้ำเงินสี่แถวหน้ารูปปั้นคุณพ่อยอห์น บอสโก ช่วงที่ยืนรอพวกเราแก้เบื่อโดยชูสองนิ้วเติมเขาบนหัวไว้หลังศีรษะพวกเพื่อน ๆ... เสียดายรูปถ่ายพวกนี้หายกลืนไปกับกาลเวลาจนหมด ไม่มีใครในรุ่นนึกจะเก็บสะสมจนกระทั่งเอามาอวดโอ่กันในกลุ่มได้แม้สักราย ไม่บ้านโดนน้ำท่วมใหญ่ก็โยกย้ายถิ่นฐานจนจำไม่ได้แล้วว่าเอาไปเก็บอยู่ที่ไหน ข่าวคราวการมรณภาพของคณะครูบาอาจารย์และมาสเตอร์ชวลิต (ซึ่งผมและบรรดากลุ่มเพื่อนจะลืมเลือนพิษสงไม้เรียวพิฆาตของแกไปไม่ได้) ต่างช่วยกันลงขันบริจาคเป็นเจ้าภาพในงานฌาปนกิจ ส่งพวงหรีดไปแสดงความอาลัยรักในความเป็นศิษย์ครู มาสเตอร์บางคนป่วยนอนติดเตียงอยู่บ้าน พวกอยู่ทางนั้นรวมตัวกันแห่ไปเยี่ยมเยียนพร้อมมอบซองเงินเป็นค่าใช้จ่ายช่วยเหลือ ความที่ข่าวสารมันส่งกันทั่วถึงรวดเร็ว พอเพื่อนในรุ่นเกิดเดือดเนื้อร้อนใจอะไร เพื่อนในกลุ่มก็จะรีบหยิบยื่นเข้าช่วยเหลือ ไม่ต่างจากข่าวร้ายที่แจ้งมาถึงการตายของเพื่อนที่พวกเราแทบทุกคนต่างรักเขาในนิสัยใจคอและความเป็นคนจริงจังต่อเพื่อนฝูงทุกคน เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา เพื่อนรักของเราได้จากพวกเราไปแล้ว ขอให้พระเจ้าทรงรับดวงวิญญาณบริสุทธิ์ดวงนี้ของชายผู้มีน้ำมิตรน้ำจิตดีงาม ขึ้นไปอยู่กับพระองค์บนสรวงสวรรค์ด้วยเถิด... ภาพของเด็กชายที่ยิ้มเต็มใบหน้ากระจ่างชัดแจ้งขึ้นมาในความทรงจำของผม แน่ละ เราสองคนต่างเคยมีช่วงเวลาดี ๆ ระหว่างกันมากมายเกินนำออกมาพรรณนาได้หมด ให้มันตกนรกเสียตรงนี้เลย ผมทั้งใจหายและนึกเสียดายที่ไม่หาเวลาพูดคุยกับเขา จนกระทั่งความตายมาพรากเขาไปจากความเป็นเพื่อนของเรา ผมน่าจะได้มีโอกาสคุยกับเขาก่อนหน้านี้ ปรับความเข้าใจกัน หรือไม่ก็ใช้ความพยายามอีกหน่อยเอาชนะทิฐิที่มีอยู่เต็มหัวใจ
ตอนที่เห็นชื่อเขามาขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก พร้อมเพื่อนอีกหลายสิบคนที่ตกหล่นไปตามกาลเวลา ผมน่าจะกดรับเขา ผมน่าจะได้คุยเป็นการส่วนตัวตั้งแต่สี่ปีที่แล้วที่เห็นชื่อเขาร่วมรุ่น ผมดันทุรังทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน เป็นอากาศธาตุ ในช่วงหลายปีที่เข้ามาพูดคุยกับเพื่อนในกลุ่ม ตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า ผมรู้สึกโกรธตัวเองที่เป็นคนใจแคบ และไม่เคยรับฟังคำแก้ตัวของเขาเลย
ตอนเรียนอยู่ประถม ผมและเขาเคยชกต่อยถึงขั้นปากแตกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ช่วงมัธยมต้นยิ่งร้าวฉานหนักขึ้น เมื่อเกิดไปชอบเด็กผู้หญิงคนเดียวกัน และเธอผู้นั้นบอกว่าชอบเขา นั่นเป็นรักแรกและรักเดียวที่ผมเกือบจะตายเพราะหุนหัน ขี่มอเตอร์ไซค์บิดตะบึงออกไปพร้อมกับตะโกนว่าไอ้เพื่อนทรยศ แกหักหลังกัน !... ดีที่กระบะคันข้างหน้าหักหลบทันก่อนประสานงาเข้าอย่างจัง สุดท้ายเขายอมเลิกกับเด็กผู้หญิงคนนั้นโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากสูญเสียเพื่อนอย่างผมไป ผมไม่ยอมรับ ไม่รับฟังแม้แต่คำขอโทษ
ผมปิดตาลง นึกเห็นเด็กหัวเกรียนสองคนวิ่งไล่กระโดดเตะก้นกันอยู่บนตึก กอดปล้ำกลิ้งเกลือกกันอยู่บนพื้นจนกระทั่งว่าต่างเอาแต่นอนหอบหัวเราะตัวโยน ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกจากกางเกง รองเท้ากระเด็นหลุดไปคนละทิศละทาง เย็นวันนั้นก้อนเมฆลอยเอื่อยอยู่บนฟากฟ้าสวยงามลิบตา นิ้วก้อยของเขายื่นมาตรงหน้าผม เขาพูดทั้งยังหัวเราะว่า
“ดีกันนะเพื่อน กันยอมแกแล้ว” “เออ” ผมผลักมือของเขาออกไปให้พ้นหน้า “ยอมก็ได้ แต่แกต้องให้กันขี่หลังแก เล่นขี่ม้าส่งเมืองลงไปถึงชั้นล่างนะโว้ย“ แล้วเขาก็ลุกพรวดขึ้นกวักมือหันหลังให้ผมกระโดดเกาะบ่าขึ้นเหมือนคาวบอยหนุ่มกำลังควบม้าคู่ใจไล่ล่าโจรปล้นเพชร เสียงแบกของหนักลงบันไดอย่างยากเย็นสลับกับเสียงหัวเราะกั๊ก ๆ ของเราสองคนอื้ออึงไปทั้งอาคารเรียนตอนพักเที่ยง ยังคงกึกก้องอยู่ในหูของผม.
.........................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”