เรื่องสั้น : ห้องหมายเลข 709 : ธนา บุญเลิศ

เรื่องสั้น : ห้องหมายเลข 709 : ธนา บุญเลิศ

 

          ชานแทบหยุดหายใจหลังบานประตู เสียงฝีเท้าดังสลับกันเป็นจังหวะตามทางเดินที่สีบนผนังเริ่มหลุดลอกจนเผยให้เห็นคอนกรีต มือของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหลับตาและสูดหายใจลึก ๆ เพื่อให้จิตใจสงบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก นายจะกลัวอะไร ชานบอกตัวเอง นาราอุ้มปรินขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวแสดงบทบาทสมมติอีกครั้ง ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลาเดิม พวกเขาฝืนยิ้มอัตโนมัติ ชานส่องดูที่ช่องตาแมว ผู้มาเยือนอยู่ในชุดเครื่องแบบสีกากี ไม่ใช่เจ้าหน้าที่คนเดิมที่มาเมื่อเดือนที่แล้ว เขาทิ้งระยะเพื่อทำให้ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติก่อนจะเปิดประตู

          ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ ทักทายและแนะนำตัวว่าเขาเพิ่งมาประจำการที่สำนักงานเขต เขาถามว่าพวกคุณเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้อยากรู้ก็ตาม สายตาเหลือบมองเด็กชายวัยสามขวบที่อยู่บนแขนของนารา เขาสอบถามพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาของเจ้าตัวน้อย ก่อนจะยื่นเอกสารโครงการพัฒนาศักยภาพให้พวกเขาไปศึกษา ภาพเด็กชายเงยหน้ามองตรงอย่างมีความหวังอยู่บนหน้าปก ด้านล่างมีคำขวัญคุ้นหู “เด็กคืออนาคตของชาติ” เจ้าหน้าที่กรอกผลตรวจลงในสมุด ชานพยักหน้ายิ้มรับ เขายินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง

          การประเมินผ่านไปเหมือนทุกครั้ง พวกเขารอให้เสียงฝีเท้าทิ้งระยะห่างออกไป ชานนั่งลงบนโซฟาพลางเอามือกุมหัว “ถ้าวันนึงถูกจับได้ พวกเราจะทำยังไง” เขาเปิดบทสนทนาที่ทำให้กังวลใจมาสักพัก ปรินเริ่มร้องไห้งอแง พวกเขาไม่อยากไปจากที่นี่ อะพาร์ตเมนต์สวัสดิการประกอบด้วยอาคารสามหลังที่เรียงกันเป็นรูปตัวยู ตึกสูงแปดชั้นล้อมรอบสระว่ายน้ำและสวนหย่อมร่มรื่น ห้องพักขนาด 40 ตารางเมตรแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วนสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก เขาติดภาพวาดฝีแปรงแนวอิมเพรสชันนิสม์บนผนังห้องโทรทัศน์จอแบนสีดำวางบนชั้นไม้สีน้ำตาลอ่อน ดอกทานตะวันในแจกันสีขาววางอยู่มุมห้องด้านใน

          “ไปอยู่ที่อื่นดีไหม” เขาถามอีกครั้งเมื่อเห็นภรรยานิ่งเฉย “ผมคิดว่ายังมีห้องที่เจ้าหน้าที่ไม่น่าจะตามไปถึง”

          “ฉันไม่ไป” นารายืนกราน “ถ้าคนอื่นรู้เข้า จะมองพวกเรายังไง”

          “คุณเอาแต่คิดเรื่องหน้าตาในสังคม คุณไม่กลัวเหรอ”

          ชานถอนหายใจและเดินออกไปที่ระเบียงนอกห้อง เขาควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะพ่นควันระบายความเครียด นครถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นตามฤดูกาล การจราจรติดขัดบนท้องถนน เขาชอบอะพาร์ตเมนต์สวัสดิการ ไม่ใช่แค่เพราะเขาจ่ายค่าเช่าในราคาต่ำกว่าปกติ แต่มันยังอยู่ใกล้ที่ทำงาน ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ขับรถไปถึงสถาบันวิจัย เขาไม่ต้องการใช้บริการรถขนส่งสาธารณะที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม (บางคันคือสิ่งตกค้างจากวัยเด็กของเขาเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว) ไม่ตรงต่อเวลา และเบียดเสียดไปด้วยผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเขตชานเมือง โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน

          ตึกระฟ้าแออัดกว่าตอนที่ชานมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายปีก่อน คู่รักดาราหนุ่มสาวชื่อดังบนแผ่นป้ายโฆษณาเชิญชวนให้ผู้คนมาใช้ชีวิตที่นี่ “นครคือศูนย์กลางแห่งโอกาส” ชานค้นพบแล้วว่ามันยังมีโลกที่พวกเขาไปไม่ถึง เขตปกครองพิเศษของพวกอภิสิทธิ์ชนไม่ต่างจากประเทศที่ซ้อนอยู่ในประเทศอีกที แต่เขาปลอบตัวเองว่าได้แค่นี้ก็พอแล้ว เขาและนาราทำงานวิจัยในหน่วยงานภาครัฐ จึงได้สวัสดิการหลายอย่าง รวมถึงห้องหมายเลข 709 มันอาจจะไม่ใหญ่โตเหมือนบ้าน แต่ค่าเช่าราคาพิเศษก็ทำให้มีเงินเหลือพอเอาไปใช้จ่ายปรนเปรอตัวเอง พวกเขาสามารถผ่อนรถและไปเที่ยวต่างประเทศใกล้ ๆ ได้ปีละครั้ง

          ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อรัฐบาลบังคับให้ประชาชนมีลูก พนักงานภาครัฐเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตรวจสอบเพื่อเป็นแบบที่ดีอย่างให้กับสาธารณะ แต่ปรินและนาราไม่อยากมีลูก พวกเขารู้ตัวว่าไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงขนาดนี้ได้ แม้ว่านครจะมีนโยบายส่งเสริมครอบครัวตั้งแต่การศึกษาไปจนถึงการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน แต่มันไม่ได้หมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดี ทรัพยากรถูกจัดสรรปันส่วนให้ประชาชนอย่างจำกัด ดูเขาเป็นตัวอย่างก็คงจะพอเห็นภาพ ชานยอมรับว่าทำงานภาครัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อการพัฒนาประเทศ

          เขาจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี ย่านแออัดในเมืองเต็มไปด้วยตึกเก่าทรุดโทรมสลับกับบ้านสังกะสี ห้องพักถูกแบ่งออกเป็นห้องเล็ก ๆ สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ พวกเขาอพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ญาติห่าง ๆ ขอร้องให้เขาช่วยพาเหมยเข้ามาอยู่ในนคร เธออยู่รวมกันกับคนอื่น ๆ ในห้องเช่าที่มีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของเขา สามีของเธอเสียชีวิตจากสงครามกลางเมือง หญิงสาวเพิ่งคลอดลูกชายคนแรกและกำลังจะหางานทำ เธอจึงขอร้องให้เขาช่วยดูแลปริน เขารับปาก เหมยบอกว่าชีวิตของปรินคงมีอนาคตมากกว่าอยู่กับเธอ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันหมายถึงความมั่นคงของพวกเขาด้วย

          ปรินมีหน้าตาน่ารัก เด็กชายผิวขาวมีตาชั้นเดียว ลักยิ้ม และร่างกายอ้วนท้วมสมบูรณ์ตามวัย แม้ว่าปรินจะไม่ใช่ลูกของตัวเอง แต่ชานก็ตั้งใจเลี้ยงดูเขาอย่างเต็มที่ ไม่ปฏิเสธว่าปรินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขายังคงได้รับสิทธิในการเช่าอะพาร์ตเมนต์สวัสดิการ เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับเด็กชาย แต่ถ้าเขาเติบโตขึ้น คงมีคนเริ่มสังเกตว่าปรินมีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนพวกเขา “พวกเราอาจจะไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้” นารายังมีความหวังที่จะได้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ชานรู้ว่าภรรยากำลังหลอกตัวเอง ประเทศต่าง ๆ มีนโยบายจำกัดชาวต่างชาติมากขึ้น

          หลายวันต่อมา นาราลงไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอรีบขึ้นมาบนห้องและเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากเพื่อนบ้านให้ชานฟัง ตำรวจจับสามีภรรยาที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่พักอยู่ชั้นบนสุดของอาคารเมื่อวันก่อน พวกเขาจ้างเด็กชายมาตบตาเจ้าหน้าที่ ชานเคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาบ้าง ไม่ใช่แค่เด็ก แต่ยังมีคนทุกช่วงวัยที่ให้เช่าตัวเองเป็นครั้งคราว ไปกินข้าว ดูหนัง หรือไม่ก็อยู่เฉย ๆ เป็นเพื่อนคลายเหงา เด็กชายคนนั้นคงมาจากครอบครัวแรงงานข้ามชาติ เขากังวลว่ามันอาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาได้เช่นกัน พวกเราต้องระมัดระวังมากกว่านี้

          หลายวันถัดจากนั้น ชานกำลังกลับมาถึงห้องพัก เขาตั้งใจจะดูหนังผ่านระบบสตรีมมิ่งเพื่อผ่อนคลายจากการสัมมนาประจำปีที่เคร่งเครียด นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงเรื่องการโคลนนิ่งเพื่อเพิ่มจำนวนประชากร นาราไปรับปรินจากสถานเลี้ยงเด็กและจะกลับมาถึงห้องช่วงค่ำ ๆ ลิฟท์เคลื่อนที่ขึ้นไปชั้นบนอย่างเชื่องช้าเหมือนเคย เมื่อประตูเปิดออก ชานได้ยินเสียงคนโวยวายด้านนอก เขาจึงแอบอยู่ด้านหลังประตูทางหนีไฟ “พวกเธอเป็นคนบอกใช่ไหม” วนิสราชี้นิ้วไปที่เพื่อนบ้านหลายคนที่ชะโงกหน้าออกมาดู เจ้าหน้าที่กำลังลากเธอและสามีออกจากห้อง

          ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แปลว่าในอะพาร์ตเมนต์แห่งนี้ นอกจากจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบพวกเขาแล้ว ผู้อยู่อาศัยยังคอยสอดส่องกันเองด้วย

          นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ได้ไม่นาน ทางการยังไม่ได้จัดเก็บข้อมูลชีวภาพของปรินเข้าไปในระบบ แต่เมื่อปรินไปโรงเรียนหรือทำบัตรประชาชน เจ้าหน้าที่ต้องพบว่าเด็กชายไม่ใช่ลูกของพวกเขาแน่ ๆ เขาและภรรยาอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีจนไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ วนิสรา กร เอกภพ ปรีดี เพื่อนบ้านของเขาทั้งหมด อาจจะมีใครคนใดคนหนึ่งที่สามารถเปิดโปงพวกเขาได้ตลอดเวลา จะมีใครสงสัยไหมว่าทำไมไม่เคยเห็นภรรยาของเขาตั้งครรภ์ วนิสราเคยถามว่าปรินอายุเท่าไหร่แล้ว เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของพวกเขาหรือเปล่านะ เธอจะบอกทางการไหมว่าอาจจะมีคนอื่น ๆ อีก

          พนักงานภาครัฐที่ฝ่าฝืนจะถูกคาดโทษและปลดออกจากงาน ประชาชนจะถูกหักคะแนนความประพฤติ มาตรการขั้นรุนแรงที่สุดคือการบังคับให้เข้าร่วมโครงการทดลอง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในสถาบันวิจัยประชากร เคยมีคนเข้าไปและหนีออกมาได้ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นพวกเขาอีก ชานได้ยินเจ้าหน้าที่ระดับสูงพูดกันต่อ ๆ มาว่าผู้หญิงจะถูกบังคับให้มีลูกและเลี้ยงดูพวกเขาอยู่ในนั้นตลอดช่วงอายุที่สามารถตั้งครรภ์ได้ แล้วหลังจากนั้นล่ะ ไม่มีใครอยากเข้าไปเจอฝันร้ายที่นั่นพอ ๆ กับไม่มีใครอยากมีชีวิตที่ลำบากในนคร

          เมื่อนารากลับมาถึงห้องและพาปรินเข้านอน ชานเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ภรรยาฟัง

          “ผมไม่อยากโกหกอีกแล้ว” เขาพูดเรื่องเดิม “เราออกไปจากนครกันไหม”

          “แล้วพวกเราจะอยู่ยังไง”

          ชานเข้าใจความกังวลเรื่องนี้ดี พื้นที่บริเวณนั้นอยู่นอกเหนืออิทธิพลของนคร ผู้พักอาศัยที่นั่นไม่มีสถานะพลเมือง ดินแดนของคนไร้อนาคต

          “ไม่มีใครรู้หรอกว่าปรินเป็นลูกของใคร” นาราโน้มน้าว “คุณรู้จักพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน ทำไมจะขอให้พวกเขามาช่วยไม่ได้”

          “ทางการมีข้อมูลของพวกเราแทบทุกอย่าง คุณเป็นใครมาจากไหน บางทีอาจจะรู้ด้วยว่าคุณจะตายยังไง ไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าปรินไม่ใช่ลูกของเรา ทางเดียวคือต้องไปจากที่นี่” เขาพูดก่อนจะยื่นคำขาด “ถ้าคุณไม่ไปกับผม เราคงต้องแยกกัน”

          “ไม่นะ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว”

          “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องหนีไปด้วยกัน” เขาจับมือภรรยา มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะละทิ้งผลประโยชน์ที่มาพร้อมกับตำแหน่ง “ผม คุณ ปริน พวกเราจะไปอยู่นอกนครเหมือนคนอื่น ๆ ที่หนีออกไป มันอาจจะไม่เหมือนที่นี่ แต่พวกเราก็ได้อิสรภาพ”

          พวกเขาช่วยเก็บเสื้อผ้าและสิ่งของที่จำเป็นใส่กระเป๋า ชานพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างและรู้จักคนที่น่าจะช่วยพวกเขาได้นอกนคร เขาอาจจะทำธุรกิจเล็ก ๆ เมื่อปรินโตขึ้น ค่อยหาลู่ทางว่าจะทำยังไงต่อไปสำหรับอนาคตของเด็กชายที่ยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว “ขอแค่ไปจากที่นี่ก่อน” เขาบอกตัวเอง ชานทิ้งของที่เหลือทั้งหมดไว้ที่นี่ เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงกลางดึก พวกเขาออกไปจากห้องหมายเลข 709 ในไม่ช้ามันก็คงถูกจัดสรรไปให้ผู้เช่าคนอื่น ไม่ต่างจากตอนที่พวกเขาได้รับแจ้งว่ามีสิทธิ์เข้ามาอยู่ที่นี่ รถยนต์มุ่งหน้าไปในความมืด ไม่มีใครพบเจอพวกเขาอีกเลย

 

..................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

         “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

          วรรณกรรมออนไลน์