เรื่องสั้น : รอยกรรม : ส.เทพรำเพย

เรื่องสั้น : รอยกรรม : ส.เทพรำเพย 

        เช้านี้แดดทอแสงอ่อน ๆ ลมพัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า แต่ก็ไม่ได้เย็นสบายตัว ลมอบ ๆ ร้อน ๆ ผ่านมาหลายวูบนับครั้งไม่ถ้วน ลมยังมีเย็นและมีร้อนปะปนกัน เหมือนคนเราที่แตกต่างกัน บางคนอยู่ใกล้ ๆ ก็รู้สึกสบายใจ บางคนแม้จะอยู่ห่างก็ให้อึดอัดและว้าวุ่นใจ

        ท้องฟ้าเป็นสีครามสวยเมื่อสายแล้ว ดวงอาทิตย์ทำงานอย่างแข็งขันขะมักเขม้น... เปล่งแสงร้อนแรงอย่างไม่สนใจผู้คนบนโลกนี้ เดชปาดเหงื่อตรงหน้าผากครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้ง ๆ ที่หลบแดดอยู่ชายคาบ้าน ไม่ได้ออกไปยืนหรือเดินกลางแจ้ง เหงื่อเริ่มรุกรานไปตามเนื้อตัวจนรู้สึกเหนียวเหนอะไปทั้งตัว ทำให้คิดถึงน้ำเย็น ๆ อยากกลับบ้านไปอาบน้ำให้คลายร้อนและชะล้างเหงื่อเค็มเปรี้ยวออกจากร่างกาย

        ทุกวันนี้เดชเข็นรถขายผลไม้ออกจากบ้าน จะเรียกว่าบ้านได้หรือ เป็นที่พักสร้างง่าย ๆ เรียงเป็นแถวยาวอยู่ริมทางรถไฟ หลังคาคลุมสังกะสี เป็นห้องเล็ก ๆ เหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่คนอื่นไม่เคยมองว่าเป็นบ้าน จะพูดว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรม ชุมชนแออัด หรือสลัมแล้วแต่จะเรียก

        แต่แรกเดชก็ไม่เคยมองว่าเป็นบ้าน เขาก็ไม่ใช่เจ้าของห้องสี่เหลี่ยมนั้น เจ้าของห้องก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ที่ปักหลักอยู่ ในที่สุดก็ต้องยอมรับว่าเป็นที่ซึ่งซุกหัวนอนมานานเกือบครึ่งชีวิต เขาได้พักพิงหลบแดดหลบฝนอยู่ในบ้านกล่องที่มองดูไม่แข็งแรง ได้อาศัยหลับนอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน... จนวันหนึ่งมีเมียมีลูกในห้องนั้น และเป็นบ้านไปโดยปริยาย

        เดชเคยอยู่บ้านใหญ่โตโอ่อ่า ปู่เป็นถึงเจ้าพระยาเก่า พ่อรับราชการตำแหน่งสูงในกระทรวง เขาเกิดมาเพียบพร้อมมีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินอยู่อย่างสบาย ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยตามประสาลูกคนมีเงินมีฐานะ พ่อแม่เลี้ยงลูกตามใจทุกอย่าง เดชค่อนข้างจะเกเรตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบเรียนหนังสือ ต่างจากพี่น้องที่รักเรียน และมีจุดหมายที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยจนไปศึกษาต่อต่างประเทศอันศิวิไลซ์ตามสมัยนิยมอีกด้วย

        ตั้งแต่ชั้นประถมเดชทำเรื่องต้องให้แม่ไปที่โรงเรียนเกือบทุกเดือน เพราะลูกชายไปชกต่อยกับนักเรียนห้องอื่น บางครั้งอีกฝ่ายถูกทำร้ายจนมีอาการเจ็บหนัก แม่ต้องไปเสียเงินเป็นค่าทำขวัญ โรงเรียนแทบจะให้เดชลาออกพ้นสภาพของนักเรียนในโรงเรียนนั้น

        พอขึ้นชั้นมัธยมก็ทำเรื่องหนักขึ้นอีก เดชเริ่มหนีเรียน ไม่เข้าโรงเรียน แอบสูบบุหรี่ในห้องน้ำ จับกลุ่มมั่วสุมกับนักเรียนเกเรตระเวนเที่ยวเตร่ ผลการเรียนสอบตก ต้องเรียนซ้ำชั้น อาจารย์ทุกคนเอือมระอากับการกระทำของนักเรียนชั้นเลว สร้างแต่เรื่องเดือดร้อน ทั้งทำให้สถานศึกษาเสื่อมเสียชื่อเสียง จนแม่ต้องบากหน้าไปโรงเรียนอยู่เป็นประจำ ไปฟังอาจารย์ฟ้องและเล่าถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของลูกชาย บางครั้งฟังและอายจนหน้าชา แต่ก็ต้องอดทนเพื่อลูก ผู้อำนวยการโรงเรียนจะไล่เดชออก แม่ต้องขอร้องอ้อนวอนให้ลูกชายเรียนจนจบชั้นมัธยมต้น กว่าจะผ่านมาได้ อาจารย์และพ่อแม่เหน็ดเหนื่อยกับเดชที่ไม่เคยอยู่ในโอวาทหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

        พี่น้องก็ไม่สรวลเสเฮฮากับเดช เขาเหมือนแกะดำที่แบ่งชัดเจนในครอบครัว มีแต่คนตำหนิติเตียน ไม่มีใครสักคนที่ยอมรับว่าเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน เดชทำแต่เรื่องเสื่อมเสียและสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้พ่อแม่ไม่หยุดหย่อน แม้กระทั่งญาติ ๆ ที่ใช้นามสกุลเดียวกันฝากบอกกับพ่อว่า อยากให้เดชเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอื่น พ่อแม่รักลูกเกินกว่าจะทำอย่างนั้น แต่เดชก็ไม่เคยสำนึก ไม่เคยคิดถึงหัวอกของผู้ให้กำเนิด บ่อยครั้งที่แม่เสียใจถึงกับปล่อยโฮร้องไห้เพราะลูกชายไม่รักดีคนนี้

        พอจบมัธยมต้นเดชเข้าเรียนต่อโรงเรียนสายอาชีวะหรือทั่วไปเรียกว่าช่างกล แรก ๆ แม่ไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ดื้อรั้นจนได้เรียน แม่เป็นห่วงเพราะเห็นข่าวที่นักเรียนช่างกลมีเรื่องวิวาทและยกพวกตีต่อยกันบ่อยบนหน้าหนังสือพิมพ์และในโทรทัศน์

        ที่โรงเรียนช่างกลเดชได้รู้จักเพื่อนจับกลุ่มกันเป็นสิบ ต่างมีนิสัยและทัศนะใกล้เคียงกัน หรือกลุ่มที่มีศีลเสมอกัน จึงคบกันได้ พอออกไปเดินด้วยกัน คนข้างนอกจะมองและตัดสินด้วยสายตาในทางลบทันที หรือลงความเห็นเงียบ ๆ ในใจว่าเป็นกลุ่มอันธพาล เดชและพรรคพวกไม่รักเรียนแต่ก็อยากเข้าเป็นหนึ่งในสถาบัน หนีเรียนเป็นประจำ หรือเลิกเรียนก็จะไปเดินเที่ยวเตร่ตามที่ต่าง ๆ เมื่อเห็นนักเรียนช่างกลสถาบันอื่นหรือคู่แข่งก็เกิดการเขม่นกัน จนมีเรื่องให้ยกพวกตีกัน บ่อยครั้งที่มีคนบาดเจ็บ เสียเลือดจนต้องส่งเข้าโรงพยาบาล ตำรวจต้องมาระงับเหตุ พอจับตัวได้ พ่อแม่ต้องไปประกันลูก ๆ ที่สถานีตำรวจ พอออกมาเป็นอิสระ คู่อริยกพวกตามมาล้างแค้น ปะทะสู้กันไม่เคยจบสิ้น มันเกิดขึ้นเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายไม่เคยจบเรื่อง ยังเกิดขึ้นวนเวียนซ้ำ ๆ ซาก ๆ บางครั้งเหตุเกิดหนักถึงขั้นเสียชีวิตก็บ่อยไป บางคราวคนไม่รู้เรื่องก็ต้องมารับเคราะห์ มาเจอลูกหลง มาเป็นเหยื่ออย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บาดเจ็บสาหัสนอนอยู่บนเตียงไม่เคยตื่น ตายก็ไม่ตาย ไม่รู้สึกตัว ไม่รับรู้อะไรเลย แต่หัวใจยังเต้น อย่างที่เรียกว่าเจ้าชายนิทรา

        เดชใช้ชีวิตเสี่ยงเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาไม่เคยกลัว ไม่เคยรู้ว่าความตายเป็นอย่างไร แล้ววันหนึ่งความโชคร้ายก็เข้าถามหา เป็นวันที่เกิดวิวาทใหญ่โต นักศึกษาช่างกลสองแห่งขาใหญ่ยกพวกตีกัน ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธครบมือ ต่างฝ่ายต่างไม่กลัวซึ่งกันและกัน พอเจอหน้าก็เข้าปะทะประจัญบาน หมายจะเข่นฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปต่อหน้า คนที่โชคดีก็แค่เจ็บเนื้อเจ็บตัว เลือดไหลอาบไปทั้งตัว บ้างก็บาดเจ็บอาการสาหัสปางตาย ที่โชคร้ายสุดคือมัจจุราชมารับตัวกลับไปยังนรกภูมิ เดือดร้อนถึงประชนชนที่อยู่ในเหตุการณ์และในบริเวณนั้น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องออกมาห้ามทัพและหยุดเหตุการณ์ที่กำลังอลหม่านวุ่นวายอย่างหน้าสิ่วหน้าขวาน

        เดชได้รับบาดเจ็บปางตาย เขาตกอยู่ในอาการหลับไม่ตื่น แต่หัวใจยังทำงาน เป็นตายเท่ากัน พอแม่รู้ข่าวก็ตรงไปที่โรงพยาบาล เมื่อได้เห็นสภาพลูกชายอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉินก็เป็นลมล้มพับลงทันที พี่น้องต่างรุมประณามด่าทอคนที่นอนไม่รู้สึกตัว แล้วก็มีเสียงสาปแช่งให้ตายๆไปน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับที่บ้าน จะได้ไม่ต้องรับฟังและพบเจอกับปัญหาเลวร้ายที่เกิดกับเดชและนำมาให้ไม่วายเว้น

        แต่เหมือนนรกยังไม่ต้องการเดช ราวปาฏิหาริย์เขาฟื้นขึ้นมาจนญาติฝ่ายพ่อบางคนผิดหวัง ไม่อยากให้เดชตื่นขึ้นมาสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูล แต่แม่ของเดชกลับล้มเจ็บด้วยมีอาการโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว แม่เจ็บออด ๆ แอด ๆ นอนติดเตียง ขณะที่อยู่บนเตียงก็อดเป็นห่วงลูกไม่ได้ กลัวว่าลูกอาจถูกคู่อริทำร้ายอีก จากนั้นไม่นานแม่ก็ตายจากไป การตายของแม่ทำให้พี่น้องรวมตัวไม่คุยกับเดช พ่อโกรธเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มีคำพูดเข้าหูเดชว่าเขาเป็นต้นเหตุหรือตัวซวยที่ทำให้แม่ต้องตรมใจหรือช้ำใจตาย ไม่มีใครรู้ว่าเดชแอบร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผู้ใด ไม่เคยมีใครเห็นน้ำตาของเดชแม้แต่คนเดียว เขาไม่เคยอยากให้แม่ต้องเสียชีวิตจากครอบครัวไปเลย

        เดชอยู่กับพี่น้องเป็นครั้งสุดท้ายในวันไปเก็บกระดูกแม่ ทุกคนแทบไม่มองหน้าเขา มีแต่ความเย็นชาและเฉยชาเหมือนเขาไม่มีตัวตน พอเสร็จงานศพแม่ไม่มีใครชวนเขากลับบ้าน เดชเข้าบ้านไปเก็บเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัวออกจากบ้านหลังใหญ่ที่เกิดและเติบโตมา เขาบอกตัวเองว่าจะไม่กลับเข้าบ้านที่อยู่อย่างสุขสบาย หันหลังให้กับพ่อและพี่น้องเดินจากไป ในเมื่อเขาไม่มีความหมายกับทุกคนในบ้าน เมื่อไม่มีแม่แล้วเขาก็ไม่อาจอยู่ในบ้านต่อไปได้

        สิ่งแรกที่เดชทำคือตรงไปที่เขตขอเปลี่ยนนามสกุล แล้วขอย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านของเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ทั้งขออาศัยอยู่กับเพื่อนที่ริมทางรถไฟ เขาคุ้นเคยสนิทสนมกับพ่อแม่พี่น้องของเพื่อน บ่อยครั้งที่ไม่ได้กลับบ้านก็ได้อาศัยนอนที่บ้านเพื่อน จนแม่ต้องไปตามเดชให้กลับบ้าน เกรงใจที่ลูกไปรบกวนอยู่บ้านของคนอื่นซึ่งอยู่กันแออัดยัดเยียด จากวันที่แม่ตายจากไปก็ไม่มีใครที่บ้านไปตามหาเดชที่ริมทางรถไฟอีกเลย แม้จะหายไปเป็นแรมเดือนแรมปีก็ตาม เหมือนเขาไม่ใช่ลูกของบ้าน เหมือนเขาไม่มีตัวตน เหมือนเขาหายสาบสูญไปจากบ้าน ญาติฝ่ายพ่อดีใจโล่งอกที่เดชเลิกใช้นามสกุลเดียวกัน

        วันแรก ๆ ที่ไปนอนบ้านเพื่อน เดชแทบจะนอนไม่หลับ เพราะมีเสียงรถไฟแล่นผ่านดังจนนอนหลับไม่ลง บางครั้งพูดคุยกันยังฟังไม่รู้เรื่อง ยิ่งตอนเช้าใกล้ฟ้าสางรถไฟหลายขบวนจากอีสาน เหนือ ใต้แล่นเข้าเมืองกรุงแทบไม่หยุด จำต้องตื่นทั้ง ๆ ที่นอนไม่หลับ กลิ่นรอบ ๆ บ้านและในตัวบ้านเป็นกลิ่นที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย... ครั้งแรกเขารับกลิ่นนั้นไม่ได้ ต้องคอยกลั้นหายใจ แต่แล้วก็คุ้นเคยไปในที่สุด ยิ่งเข้าหน้าร้อนเดชแทบจะวิ่งออกจากบ้านกล่องนั้นเลยทีเดียว อากาศร้อนอบอ้าวแทบไม่ระบาย พัดลมก็เอาไม่อยู่... ถึงจะเร่งปุ่มให้หมุนจนสุดแรง แม้จะอาบน้ำปะแป้งเย็นไปเกือบทั้งตัวก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก

        แรก ๆ เขาคิดถึงบ้าน... คิดถึงห้องนอนกว้างขวางที่เย็นฉ่ำไปด้วยเครื่องปรับอากาศ นอนอยู่บนเตียงกว้างและนิ่มกับหมอนข้างให้กอดอย่างสบายตัว และหลับอย่างสบายใจไปตลอดคืน แต่แล้วเดชก็ต้องยอมรับสภาพทุกอย่างในบ้านกล่องแห่งนั้น ต้องทนนอนอยู่บนพื้นกระดานแข็ง ๆ เขาแทบนอนไม่หลับ แม้จะพยายามข่มตาให้ปิดลง แต่ใจก็ไม่ยอมหลับตาม ต้องใช้เวลาอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะหลับลงได้เพราะความเหนื่อยเพลีย แล้วเดชก็ค่อย ๆ ปรับตัวจนเป็นความคุ้นเคยและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

        แล้วเดชก็หางานทำ เขาเป็นช่างไฟที่โรงแรมไม่ไกลจากที่พักอาศัยอยู่ พ่อแม่และน้องสาวของเพื่อนขายผลไม้อยู่ในตลาดใกล้ ๆ เดชใกล้ชิดกับแหวนน้องสาวเพื่อนจนเกิดเป็นความรักและได้เสียกัน แหวนเป็นคนดุและสามารถปราบผู้ชายเกเรอย่างเดชได้อยู่หมัด จากที่เคยทำตัวอันธพาลก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป... เงียบและสงบนิ่งขึ้น จนเพื่อนล้อเดชว่าเป็นคนกลัวเมีย

        แต่ที่เปลี่ยนแปลงทางชีวิตของเดชอย่างหน้ามือเป็นหลังมือก็ตอนที่มีลูก แหวนคลอดลูกชายน่ารักให้กับเขา พอเห็นหน้าก็รักลูกสุดหัวใจ เขาเพิ่งเข้าใจและรู้ซึ้งถึงหัวอกของคนที่เป็นพ่อแม่ พ่อกับแม่รักเดชไม่น้อยไปกว่าพี่น้องคนอื่น เพียงแต่แม่เป็นห่วงเขามากกว่าพี่น้องคนอื่น เพราะเดชมีแต่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้ที่บ้าน

        เดชตั้งชื่อลูกชายว่าฤทธิ์ เขาเติบโตอยู่ในชุมชนแออัด... อยู่ในสภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม ฤทธิ์ถอดแบบเหมือนเดชแทบไม่ผิดเพี้ยน มีนิสัยเกเรตั้งแต่เด็ก ชอบมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับเด็กวัยเดียวกันในชุมชนนั้น บางครั้งก็วิวาทกับเด็กที่อื่น ฤทธิ์ไม่ชอบไปโรงเรียน ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบหลบไปร้านเล่นเกมและติดโทรศัพท์ เดชก็ไม่สามารถบังคับลูกได้ ถึงจะไปโรงเรียนก็สร้างปัญหาให้เดชต้องไปพบครู ฤทธิ์ไม่ส่งการบ้าน เรียนไม่ทันเพื่อน ๆ ผลการเรียนและสอบไม่ผ่านเกณฑ์ ต้องเรียนซ้ำชั้น

        เดชมองลูกชายแล้วเหมือนเห็นตัวเองในวัยเยาว์ ฤทธิ์มาแนวเดียวหรือพิมพ์เดียวกับเขาในตอนเด็ก เรียกว่าลอกกันออกมาเลย ทั้งดื้อรั้นไม่กลัวพ่อแม่ เอาแต่ใจตัวเอง เดชหวั่นใจว่าเมื่อลูกโตกว่านี้จะรับมือไม่อยู่ เขานึกถึงตัวเองที่ทำกับพ่อแม่และครูบาอาจารย์สารพัดสารพัน ทำให้พ่อแม่เสียใจและมีแต่ความทุกข์ขมขื่น ทำไมต้องตกมาถึงลูกด้วย ฤทธิ์เดินตามรอยเขาทุกอย่าง... แทบทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

        กว่าจะผ่านชั้นมัธยมต้นไปได้ เดชและแหวนต้องเคี่ยวเข็ญลูกชายจนเหนื่อยใจ... แทบไม่มีความหวัง อาจารย์มีส่วนช่วยให้นักเรียนเหลือขอสอบผ่านไปอย่างเสียมิได้ ต้องการให้พ้น ๆ ไปจากโรงเรียน อาจารย์ทุกคนถอนใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องพบเจอกันอีก

        ฤทธิ์เลือกเดินตามรอยพ่อ เข้าเรียนต่อโรงเรียนช่างกล จับกลุ่มมั่วสุมกับเพื่อนเกเรจนเป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งมีรุ่นพี่คอยให้ท้ายและหนุนหลัง สอนให้ทำอาวุธจากเหล็กเป็นมีดมีคม สอนให้ทำระเบิดขวด เรียนรู้การทำหอกแหลมคมซ่อนไว้ในกระบอกพร้อมที่จะชักออกมาทำร้ายฝ่ายตรงข้าม สอนทำปืนอัดลม ปลูกฝังให้บ้าคลั่งสถาบันและมีค่านิยมผิด ๆ เสี้ยมสอนให้เกลียดชังสถาบันคู่แข่งและอื่น ๆ พร้อมที่จะต่อกรและลงไม้ลงมือทำร้ายคู่อริในทุกเมื่อ

        ลูกชายนำเรื่องเดือดร้อนมาให้พ่อแม่จนหนักอกและปวดหัวอยู่บ่อย ๆ เดชไม่สามารถบังคับลูกให้อยู่ในโอวาทได้ ฤทธิ์ไม่เชื่อฟังใครทั้งนั้น เดชมองย้อนไปในอดีตที่เคยทำกับพ่อแม่ไว้ บัดนี้ได้ย้อนกลับมาหาตัวเขาแล้ว ได้รู้ซึ้งถึงหัวอกของพ่อแม่ที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะลูกเลว ๆ มันช่างเจ็บปวดใจสาหัสสากรรจ์ เขารู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น เวรกรรมได้ย้อนรอยกลับมาให้เดชชอกช้ำใจ เหมือนที่แม่ของเขาตรอมใจจนตายจากไป แล้วเดชก็แอบร้องไห้เพียงลำพัง ด้วยสำนึกในบาปที่เขาสร้างขึ้นกับผู้ให้กำเนิดยากที่จะให้อภัยได้ เขาคงต้องชดใช้ไปอีกนาน... ตลอดชั่วชีวิตเลยกระมัง

        แล้ววันที่ไม่คาดคิดก็มาถึง วันที่ฤทธิ์กับเพื่อน ๆ ไปตะลุมบอนตีกับคู่อริที่มีเรื่องขัดแย้งและเกลียดกันมาอย่างยาวนาน เป็นตำนานที่เล่าขานจากรุ่นพี่ถึงรุ่นน้องไม่เคยจบสิ้น วันชะตาขาดของฤทธิ์มาถึงจนได้ เขาถูกฝ่ายตรงข้ามกะซวกแทงจนไส้ทะลักและตายอยู่ข้างถนนท่ามความตกใจของผู้คนสัญจรผ่านไปมา ต่างกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน ตำรวจมาช้าเกินไป มีคนได้รับบาดเจ็บและเลือดนอง

        เดชกับแหวนไปดูศพลูกชายแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียวที่โรงพยาบาล ผู้เป็นแม่ได้แต่ร้องไห้เหมือนคนบ้า ครั้งนี้เดชไม่อาจเก็บน้ำตาได้อีกต่อไป เขาทำใจยอมรับไม่ได้กับการสูญเสียลูกในครั้งนี้ มันช่างเจ็บปวดเหมือนใครมาทุบหัวและถองใจของเขาอย่างหนักสุดแรงเกิด ปล่อยให้ปวดร้าวทุรนทุรายใจแต่ไม่สิ้นลม

        แม้วันเวลาจะผ่านไปเดชกับแหวนก็ไม่อาจลืมลูกชายที่วายปราณไปได้ แหวนยังขายผลไม้เหมือนทุกวันที่ผ่านมา บางครั้งเกิดอาการเหม่อและซึมเศร้า เดชต้องคอยปลอบคนรักคู่ทุกข์คู่ยาก ไม่เคยคิดจะทิ้งแยกจากกัน ตั้งแต่ลูกชายตายจากไป เขารู้สึกว่าชีวิตช่างเงียบหงอยเหงา จวบกับช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ทางโรงแรมจำต้องให้พนักงานส่วนหนึ่งออกไป เขาเป็นหนึ่งที่โชคไม่เข้าข้าง จึงตัดสินใจหารถเข็นออกไปขายผลไม้ แหวนมีหน้าที่เพิ่มขึ้น ด้วยเตรียมผลไม้ให้เขาในตอนเช้า ตั้งแต่ปอกสับปะรด ผ่าแตงโมออกเป็นชิ้น ๆ บางครั้งยังต้องดองฝรั่งให้ด้วย แล้วยังผสมน้ำตาลทรายขาวกับพริกและเกลือป่นไว้จิ้มกินกับผลไม้ อย่างน้อยเวลาที่ผ่านไปก็ช่วยทำให้ลืมความทุกข์เศร้าไปได้บ้าง... ไม่มากก็น้อย

        แรก ๆ เดชไปขายผลไม้ข้าง ๆ โรงเรียนแห่งหนึ่ง พอเห็นนักเรียนก็ยังทำใจลืมลูกชายไม่ได้ จึงย้ายไปขายแถวอื่น เขาได้ที่ประจำใกล้ป้ายรถเมล์ที่มีรถโดยสารหลายสายผ่าน ผู้คนยืนรอรถกันมากมาย ถัดไปเป็นโรงพยาบาลใหญ่โต บางวันขายผลไม้จนเกือบไม่เหลือ การค้าขายไม่แน่นอน บางครั้งขายไม่ดีจนรู้สึกท้อแท้ ยิ่งในยุคนี้ที่ใคร ๆ ก็บ่นว่าเป็นยุคข้าวยากหมากแพง ตัวเงินช่างหาได้ยากเย็นเข็ญใจ พ่อค้าแม่ขายบ่นโอดครวญไปตาม ๆ กัน ค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังหากำไรได้ยาก

        ตั้งแต่เข็นรถออกไปขายผลไม้ เดชได้พบปะลูกค้าหลากหลายแตกต่างกันทั้งวัยและอาชีพ เขาสังเกตผู้คนตรงป้ายรถเมล์ ชอบมองพ่อหรือแม่มารับลูกหลังเลิกเรียนเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน ช่างเป็นภาพที่อบอุ่นใจ บางครั้งก็ได้เห็นชายหนึ่งหญิงสองยืนทะเลาะกันตรงนั้น... เป็นรักสามเส้าที่ไม่อาจติดตามตอนต่อไปได้อย่างในละครหลังข่าว เคยเห็นคนแอบกรีดกระเป๋าและล้วงขโมยลักทรัพย์ ฉกชิงวิ่งราว แม้กระทั่งการวิวาทยกพวกตีกันของกลุ่มนักเรียนช่างกล บางคนวิ่งมาหลบหลังรถเข็นผลไม้ของเดช เขาเคยช่วยนักเรียนให้รอดพ้นจากการรุมกระทืบกลุ่มอันธพาล ถึงกับยกมือไหว้ขอร้องให้เลิกแล้วต่อกัน

        วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ขายไม่ดี เดชรู้ดีว่าคงขาดทุนเหมือนหลายวันที่ผ่านมาติดต่อกันจนแหวนเคยขอร้องให้หยุดขายสักระยะ แต่เขาอยากออกไปลองเสี่ยง ต้องมีสักวันที่ได้กำไรบ้าง สับปะรดชิ้นเหลืองฉ่ำยังอยู่เต็มเรียงเป็นแถว แตงโมสีแดงหวานยังวางเป็นระเบียบ ฝรั่งเขียวกรอบก็ยังไม่ได้พร่องหายไปจากในรถเข็นที่มีน้ำแข็งก้อนเล็กใหญ่อัดให้ความเย็นค่อย ๆ ละลายกลายเป็นน้ำท่ามกลางความร้อนนอกกระจกใส จนเห็นเปลวแดดเต้นยิบ ๆ อยู่เบื้องหน้า

        เดชคิดเพลิน ๆ กับเงินที่ลงทุนไป... ทุนหายกำไรหดอีกแล้ว น่าจะเชื่อแหวน ไม่ควรออกมาขายเลยในวันนี้ เขาก็ยังดื้อเหมือนเคย และยังไม่ทันตั้งตัวก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น นักเรียนช่างกลวิ่งไล่ตีกัน พวกที่มากกว่าชูมีดตามไล่แทงอีกกลุ่มที่ไม่มีอาวุธ พวกถูกไล่ล่าจวนตัววิ่งตรงไปที่รถเข็นผลไม้ของเดช ปากร้องขอความช่วยเหลือ สีหน้าหวาดกลัว คนหนึ่งหน้าตาคล้าย ๆ ฤทธิ์ เขานึกถึงใบหน้าลูกชาย จึงก้าวตรงเข้าไปขวาง ด้วยหวังจะช่วยให้รอดจากปลายมีดแหลมที่กำลังพุ่งแทงเข้าไปเต็มเหนี่ยว แล้วเดชก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ท้อง เจ็บจนพูดไม่ออก ไม่มีเสียงรอดจากปากแม้แต่คำเดียว เจ็บอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยในชีวิตนี้

        เท้าหยุดชะงัก มือกุมท้องรู้สึกถึงของเหลวเหนียว ๆ ไหลออกมาเหมือนตาน้ำผุด ร่างของเดชเซล้มไปที่รถเข็นจนคว่ำลงบนพื้นเสียงดังโครม กระจกใสตกแตกเป็นชิ้น ๆ ใหญ่บ้างเล็กบ้างเต็มไปหมด พริกเกลือสาดแผ่กระจายไปบนพื้น ฝรั่งเขียวหลายลูกกลิ้งไปต่างทิศต่างทาง สับปะรดและแตงโมหกเกลื่อนกลาดไปทั่ว

        พร้อม ๆ กับน้ำใส ที่ละลายจากน้ำแข็ง ไหลผสมปนเปไปกับเลือดแดงสดที่ไหลไม่หยุด

 

...................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง     

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์