เรื่องสั้น : แซนด์วิช : อินทร อรพัน

เรื่องสั้น : แซนด์วิช : อินทร อรพัน 

 

ดวงหน้าที่โผล่พ้นขอบหน้าต่างรถฝั่งคนขับช่างพริ้มเพราและเปล่งประกาย แม้บางส่วนของความงดงามจะถูกบดบังจากกิ่งก้านของพืชประดับสวนเมื่อมองจากมุมนี้ แต่กลับไม่สามารถลดความงดงามลงได้เลย

       คำทักทายแรกคือรอยยิ้ม โชว์ฟันขาวยืนเรียงรายอย่างสามัคคี รอยบุ๋มที่สองข้างแก้มกอปรกับดวงตาหยีแทบปิดสนิท องค์รวมของดวงหน้าราวบุปผาคลี่กลีบดอกต้อนรับแสงอ่อนของรุ่งอรุณ

       เป็นสุนทรียะที่แสนคุ้นเคย แต่กลับตระหนักถึงความงามอันแสนพิสุทธิ์ก็ในวันนี้

       โลกของฉันในวันวาน ความงามของอิสตรีอยู่ฟากฝั่งกิเลส การเพ่งมองคุณและพรรณนาเอื้อนเอ่ยเชยชมคุณในก่อนหน้าเป็นสิ่งผิดบาป ความรู้สึกอันหยาบกระด้างและมีแนวโน้มก่อให้จิตยึดติดกับราคะต้องถูกกำจัด หรือกดทับไว้ด้วยความรู้เท่าทัน ทว่าหากพลั้งเผลอแรงปะทุแห่งกิเลสจะทวีความรุนแรงเป็นเท่าตัว นี่กระมังที่ทำให้ฉันมองคุณในวันนี้งามเป็นพิเศษ ฉันเสียท่ากิเลสเสียแล้ว

       ฉันยังติดอุปนิสัยของเพศบรรพชิต แม้ลาสิกขาแล้วก็ตาม ไม่กล้าผสานสายตากับหญิงงาม แม้เข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ ฉันยังขยับถอยห่างจากคุณอย่างเสียมารยาท กระทั่งคุณเตือนสติฉัน ว่าฉันเป็นเพียงเพศคฤหัสถ์แล้วในขณะนี้ ตอนนั้นเองฉันจึงยิ้มไปทางคุณอย่างขวยเขิน

       ตลอดทางคุณพูดถึงผู้คนมากหน้าหลายตาที่เคยอยู่รายล้อมเรา เมื่อครั้งเรายังเป็นคู่รักกัน คุณพูดถึงทอฝันเพื่อนสนิทของคุณที่รักร้าวมีอันต้องเลิกรากับแฟนหนุ่ม เพราะเธอจับได้ว่าแฟนหนุ่มแอบนอกใจเธอ คุณพูดถึงหัวหน้างานของคุณที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่เป็นนิจ ด้วยถูกภรรยาฟ้องหย่าหลังจับได้ว่าสามีตนเองแอบไปได้เสียกับเด็กฝึกงาน คุณยังเล่าต่อด้วยสีหน้าอันแสนเศร้าว่าเจ้าเสือดำ แมวที่คุณชุบเลี้ยงมาแต่น้อย ถูกรถชนตายเมื่อไม่นานมานี้เอง คุณยังพูดอย่างวิตกถึงปัญหาครอบครัว ที่คุณรู้สึกว่าช่วงนี้พ่อของคุณดูเปลี่ยนไป มีท่าทีลึกลับและมีหลายกิจวัตรประจำวันที่เปลี่ยนไป และคุณก็สันนิษฐานว่าพ่ออาจมีเมียน้อย ส่วนแม่ของคุณก็งมงายอยู่กับไสยเวทและบรรดาร่างทรง ซึ่งขณะนี้บ้านของคุณเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลังนานาชนิด

       ฉันทำได้เพียงแต่เพ่งพิศดวงหน้าของคุณที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเรื่องเล่า บางครั้งคุณเศร้า ก็เศร้าได้อย่างงดงาม บางครั้งคุณวิตก คุณเพียงสลดได้อย่างน่าปลอบประโลม ไม่ว่าคุณจะแสดงสีหน้าใด สิ่งเลวร้ายที่สุดคือการถอนสายตาจากใบหน้าของคุณ

       ทุกเรื่องราวรินไหลราวสายน้ำสู่โสตประสาท ฉันเพียงแต่รับรู้และเฝ้ามองมันอย่างเป็นกลาง ไร้คำตัดสิน ไร้คำแนะนำหรือปลอบประโลมใด ๆ ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง คุณเห็นความมั่นคงสักอย่างหรือเปล่า ? ในทุกเรื่องที่คุณเล่า รวมถึงเรื่องราวในอดีตของเราด้วย ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เดินทางสู่ดินแดนแห่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นนิจศีล แม้ใกล้ถึงฝั่งอยู่รอมร่อ เรายังเห็นมันจมลงไปต่อหน้าต่อตา

       ไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจถึงความไม่แน่นอนในชีวิตหากเราเพิ่งประสบเหตุ แผลสดย่อมปวดแสบกว่าแผลเก่าที่ตกสะเก็ด คุณกับฉันย่อมเข้าใจดีในเรื่องนี้

เราต่างมีแนวทางการเยียวยารักษาแผลใจในช่วงแรกไม่ต่างกัน คือการโยนความผิดให้แก่คู่กรณี และขุดคุ้ยความผิดพลาดในอดีตมาระบายแก่ผู้อื่นเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ และขอคะแนนสนับสนุนให้คนคนนั้นอยู่ฝ่ายตน ความเชื่อมั่นว่าตนไม่ผิดสร้างกำแพงหนาสูงขึ้นมา กระทั่งคำว่า ‘ขอโทษ’ ไม่อาจถูกเปล่งเสียงข้ามไปได้ เราพับเก็บความผิดพลาดของตัวเองและซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด ปล่อยให้อัตตาเป็นราชาเหนือจิตใจ ขับไล่ความสมานฉันท์แห่งรักสู่ดินแดนอันไกลโพ้น

       ช่วงที่สองของการทำใจ คนตั้งหลักได้ไวและควบคุมจิตอยู่กับปัจจุบันกลับกลายเป็นคุณ ตั้งต้นชีวิตใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และปล่อยให้วันเวลาชะล้างอดีตชายคนรักอย่างฉันออกไปจากใจได้อย่างง่ายดาย

       แต่สำหรับฉันแผลใจคงอักเสบ ยังจมปลักอยู่กับความทุกข์และภาพจำในอดีต ฉันไม่เข้มแข็งอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ ซ้ำยังอ่อนปวกเปียกราวกระดาษต้องน้ำ ไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนหยัด รอเพียงวันเปื่อยขาดและเสื่อมสลายไป

       หลอกล่อความคิดด้วยฤทธิ์สุรา ทว่าความเศร้ายังคงตามเป็นเงา จนวันหนึ่งฉันตกลงปลงใจนับมันเป็นญาติสนิท เราไปไหนมาไหนด้วยกัน แม้แต่ในความฝัน ฉันตื่นมาพร้อมกับคราบน้ำตาเต็มดวงหน้าในทุกเช้า

       ไม่เพียงตัวฉันที่ถูกเฆี่ยนตีด้วยพิษสุราและความเศร้า พ่อแม่ของฉันก็ใจสลายทุกครั้งเมื่อเห็นบุตรของตนกลายเป็นคนสำมะเลเทเมา เด็กหนุ่มอารมณ์ดีหายไปสิ้น ภาพของฉันที่ย่องอย่างเงียบเชียบเข้าทางด้านหลังของแม่ที่กำลังขะมักเขม้นทำครัวและถูกโอบกอดโดยฉัน หอมแก้มซ้ายที หอมแก้มขวาที ก่อนออกไปทำงานไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ภาพที่ฉันพูดหยอกล้อกับพ่อว่า น้องจุ๋มสาวทรงโตแม่ค้าร้านกาแฟโบราณที่พ่อมักไปขลุกอยู่ทุกเช้า ฝากบอกมาว่าคิดถึงพ่อ ซึ่งฉันพูดต่อหน้าแม่ ก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ท่านทั้งสองคงใจสลายเมื่อต้องทนเห็นเด็กหนุ่มที่เคยเริงร่ากลับกลายเป็นซากชีวิต

       พ้นปากซอย ถนนเส้นหลักรถราจอแจ คุณรบเร้าให้ฉันเล่าเรื่องราวขณะอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ให้คุณฟัง ฉันได้แต่ยิ้มและตรึกตรองสรรหาเรื่องราวที่มันไม่น่าเบื่อเกินไปให้คุณฟัง แล้วฉันก็นึกขึ้นได้อยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อครั้งที่ฉันยังเป็นพระสงฆ์บวชใหม่ ฉันมีพระพี่เลี้ยงผู้ครองจริยาวัตรที่สง่างาม และชดช้อย ยามท่านขึ้นธรรมาสน์เทศน์หรือท่านสวดก็ช่างไพเราะและก้องกังวาน สะกดญาติโยมทั้งหลายที่อยู่ภายในศาลาการเปรียญอยู่หมัดกันเลยทีเดียว แต่เรื่องราวที่จะเล่ามันตั้งต้นที่ความหิวของฉัน ฉันหิวบ่อย แต่พระฉันภัตตาหารได้เพียงสองเพลา คุณก็รู้ว่าเมื่อฉันหิว ฉันไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน พระพี่เลี้ยงของฉันท่านก็มีเมตตา ให้ฉันดื่มนมถั่วเหลืองในช่วงเย็นเพื่อบรรเทาความหิวโหย และค่อย ๆ สอนให้ฉันฝึกทำสมาธิเพื่อทำความรู้จักกับอาการหิวโหยอย่างแท้จริง ท่านให้ฉันสำรวจรายละเอียดของอาการหิว เท่าทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ไม่ฝืนหรือต่อต้าน แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของความหิว ใช่ ! มันได้ผล แต่ถึงกระนั้นบางวันจิตฟุ้งซ่าน ฉันจึงยังต้องพึ่งนมถั่วเหลืองเพื่อลูบท้องและข่มตาจำวัดไป

       ทว่าคืนหนึ่งฉันคงดื่มนมมากไป รู้สึกปวดฉี่ในกลางดึก ขณะลืมตาจะลุกไปฉี่ก็พบว่า พระพี่เลี้ยงของฉัน นั่งฉันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างสำราญใจ ฉันทิ้งตัวลงไปนอนเช่นเดิม สายตาจับจ้องทุกอิริยาบถของท่าน ฉันไม่อาจลุกขึ้นไปจับผิดสร้างความขายหน้าให้แก่ท่านได้ ทำได้เพียงเฝ้ามองความกลิ้งกลอกแห่งจิต ซึ่งอาจทำให้เราเสียท่าได้หากรู้ไม่เท่าทัน

       คุณหัวเราะลั่นและบอกกับฉันว่า ความหิวช่างร้ายกาจเสียจริง ๆ แม้กับพระกับเจ้าก็ยังพลั้งเผลอเสียทีให้กับมัน นับประสาอะไรกับคนธรรมดาเช่นเรา พูดถึงเรื่องนี้ฉันเองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วสิ รถติดชะมัด ด้านหน้าอาจเกิดอุบัติเหตุ คุณถามฉันว่าจะกินอะไร ? ฉันบอกว่าร้านแถวนี้แหละใกล้ดี คุณบอกปฏิเสธ โดยให้เหตุผลนานปีจะเจอกัน จะให้กินร้านธรรมดาได้อย่างไร แล้วคุณก็ถามฉันต่อว่าต้องการจะกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ฉันบอกว่าฉันไม่เรื่องมากอะไร ในวัดคนเขาถวายอะไรฉันก็กินได้ทั้งนั้น

       กระเพาะของฉันเริ่มมีอาการโหวงเหวง น้ำย่อยไหลมาตรงเวลา ทว่าไร้อาหารให้กัดกร่อน มือไม้ของฉันเริ่มสั่นและไร้เรียวแรง ฉันชี้ไปยังป้ายข้างทางที่บอกให้รู้ว่ามีร้านอาหารอีกไม่ไกลข้างหน้า แต่ไม่ทันเสียแล้ว เธอตีไฟเลี้ยวเข้าเลนขวาสุด ทำราวกับว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่ที่นั่น

       ภาพจำในอดีตย้อนมา เมื่อสถานการณ์ทำท่าว่าจะย้อนรอยเดิม ฉันเลือกที่จะไม่กำหนดจิตเพื่อระงับความหิวโหย แต่เลือกที่จะดึงเรื่องราวอันแสนเจ็บปวดในอดีตกลับมาฉายซ้ำในหัวอีกครั้ง

 

เรามีหลายสิ่งที่ต้องจัดเตรียมก่อนวันวิวาห์ และในเช้าวันนั้นฉันได้กะเกณฑ์เวลาให้พอเหมาะกับธุระที่เราต้องสะสาง แต่คุณเอาแต่นอน ใช้เวลาช่วงเช้าให้หมดไปกับนิทรารมณ์ ฉันปลุกคุณในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งแบบอ่อนโยนและกวนประสาท แต่มันไม่ได้ผล กระทั่งตะวันลอยโด่งนั่นแหละคุณจึงลุกจากที่นอน แล้วกระวีกระวาดทำทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างร้อนรน ทุกขั้นตอนของกิจวัตรในช่วงเช้าเป็นไปอย่างเร่งร้อน มีเพียงการแต่งหน้าทาปากเท่านั้นที่เป็นไปอย่างเนิบช้า ฉันเร่งเร้าคุณด้วยน้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิด ส่วนคุณเอาแต่บอกว่าจวนแล้ว ๆ อยู่อย่างนั้น

       ปัจจัยแห่งเวลาสร้างความอลหม่านให้แก่เราทั้งคู่ ความหงุดหงิดและโกรธเกรี้ยวก่อตัวขึ้นอย่าง   ช้า ๆ แม้เครื่องปรับอากาศภายในรถจะถูกเร่งไปจนสุด แต่ความรู้สึกภายในกลับร้อนระอุรอเวลาปะทุ เวลานัดหมายกระชั้นขึ้น ปลุกคำติติงให้หลุดออกจากปากฉัน คุณแก้ต่างให้แก่ตนเองโดยโยนความผิดให้ฉันที่ปลุกคุณไม่ตื่น ฉันก็โต้ตอบคุณไปว่า หากหัดวางมือถือเสียบ้าง นอนเร็วเสียบ้าง หรือมีความรับผิดชอบเสียหน่อย เหตุการณ์เช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้น คุณถลึงตาใส่ฉัน และเพียงชั่วอึดใจ ความเงียบก็ยึดครองทั้งรถ

       ฉันรู้สึกหิวจึงชวนคุณแวะกินมื้อเช้าเสียก่อน คุณบอกปฏิเสธอย่างเกรี้ยวกราดว่าไม่ดูเวล่ำเวลาหรืออย่างไร ฉันสวนไปทันทีว่ามันเป็นความผิดใคร เป็นฉันใช่ไหมที่เป็นคนนอนตื่นสาย ฉันบอกกับคุณว่าฉันได้จัดแจงเวลาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว แต่คุณก็ทำมันพังครืน คุณบอกไม่รู้แหละ คุณเป็นคนขับ จะไม่มีการแวะจอดที่ไหนจนกว่าจะถึงจุดหมาย

       อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของคุณสำแดงออกมาผ่านพฤติกรรมการขับรถ ทั้งเบียดปาด หวาดเสียว และไร้มารยาท ฉันเปรยอย่างเย้ยหยันว่าคงได้ไปนรกก่อนจะถึงร้านเช่าชุดบ่าวสาวเป็นแน่ คุณบีบแตรใส่รถทุกคันที่เชื่องช้า และเร่งเครื่องแซงทุกครั้งที่มีโอกาส คุณใช้มารยาททรามบนท้องถนนเพื่อตอบโต้ฉัน เถียงฉัน ตวาดใส่ฉัน กระทั่งความขัดแย้งไม่ใช่เรื่องของเราสองคนอีกต่อไป แต่กลับเป็นรถคู่กรณี

       ฉันผละออกจากรถอย่างไม่ใยดี ปล่อยให้คุณยืนด่าทอต่อปากต่อคำกับเจ้าของรถคู่กรณี ฉันเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง เสียงผรุสวาจาห้ำหั่นยังก้องอยู่เบื้องหลัง ความร้ายกาจในกิริยาอาการตลอดเช้าวันนี้ของคุณปลุกความเกลียดชังและขยะแขยงในตัวคุณ กระทั่งความดีทั้งหลายที่เคยสร้างมาของคุณถูกลบเลือนไป ฉันโบกรถแท็กซี่ บอกจุดหมายเป็นร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้ร่วมทางกัน

 

รถเคลื่อนตัวได้อย่างคล่องแคล่ว คุณหันมาถามว่าฉันหิวไหม โลกที่ฉันจากมาการโป้ปดเป็นสิ่งผิดบาป ฉันจึงพยักหน้ายอมรับว่าหิวอย่างสุจริตใจ คุณยิ้มอย่างเอ็นดู และกล่าวว่าคุณเข้าใจความรู้สึกของผู้หิวโหยว่ามันทรมานเพียงใด เพราะช่วงนี้คุณกำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักเพื่อต้อนรับวันสำคัญของชีวิต คุณกล่าวต่อว่า ทุกสิ่งบนเรือนกายของคุณ ขยายใหญ่ขึ้นไปทุกส่วน จนคุณไม่กล้ามองตัวเองที่หน้ากระจก เสื้อผ้าที่เคยสวมใส่เมื่อครั้งเก่าก่อน ก็บีบรัดแน่นขนัดไปทุกสัดส่วน จนคุณนำเสื้อผ้าเหล่านั้นไปบริจาคแล้วตั้งมากมาย คุณชี้ให้ฉันดูท่อนแขนของคุณพร้อมกับเขย่ามัน และคุณก็เหลือบตามองมันด้วยความรู้สึกขยะแขยง คุณชี้ให้ฉันมองพุงของคุณ และด่าทอมันด้วยน้ำเสียงแห่งการดูแคลน คุณบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของคุณ ที่กินอะไรเพียงน้อยนิด ร่างกายก็ตอบรับ ขยายใหญ่เอา ๆ ตอนจะพามันกลับคืนสู่สภาพเดิม กลับเป็นขั้นตอนที่แสนจะลำบากและยุ่งยากเหลือคณา

       คุณบอกว่าต้องกระมิดกระเมี้ยนกินสิ่งต่าง ๆ และโหมออกกำลังกาย อาหารที่นำสู่ร่างกายก็ต้องไร้ไขมัน แล้วมันจะมีสิ่งใดนอกจากพืชพรรณธัญญาหาร คุณจึงกลายเป็นพวกมังสวิรัติไปโดยปริยาย

       การทานเพียงแต่พืชผักโดยปราศจากเนื้อสัตว์ มันทำให้คุณหิวและไร้เรี่ยวแรง หงุดหงิดง่าย ตัดสินใจอะไรพลาดบ่อย จนถูกเจ้านายตำหนิอยู่หลายครา และเมื่อปล่อยให้ร่างกายขาดสารอาหารบ่อยเข้า ร่างกายก็อ่อนแอ ทำให้คุณเป็นลมอยู่เนือง ๆ คุณเริ่มเข้าใจความรู้สึกของฉันกับเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนหน้า รู้ซึ้งถึงพิษสงของความหิวโหย มันสามารถบีบคั้นให้คนเราทำอะไรโดยขาดการยับยั้งชั่งใจ เพราะความหิวโหยไม่ใช่หรือ ? ที่ทำให้บุตรฆาตกรรมมารดาของตนเอง เพราะความหิวโหยไม่ใช่หรือ ? ที่ก่อให้เกิดการปล้นชิงวิ่งราว และความหิวโหยไม่ใช่หรือ ? ที่ทำให้เราสองคนต้องเลิกรากันไป

       คุณพูดด้วยใบหน้าที่แสนเศร้า แต่ฉันไม่ต้องการให้บรรยากาศดิ่งลึกไปมากกว่านี้ ฉันบอกคุณว่าฉันทนหิวได้ ฉันไม่ต้องการผิดซ้ำสอง ฉันเสียคนรักไปเพราะความหิวมาครั้งหนึ่งแล้ว ฉันจะไม่ยอมเสียเพื่อนไปเพราะความหิวอีกเด็ดขาด ฉันบอกกับคุณว่าทุกอย่างมันได้ผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่เรายังคงเก็บรักษาไว้ได้ก็คือ ‘ปัจจุบัน’

       คุณเองก็พูดในทำนองเดียวกันกับฉัน ว่าคุณเสียคนรักไปเพราะปล่อยให้คนรักหิวไปแล้วครั้งหนึ่ง คุณจะไม่ยอมเสียเพื่อนไป เพราะปล่อยให้เพื่อนหิวอีกเด็ดขาด คุณไม่พูดเปล่า คุณล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือของคุณขณะรถจอดติดไฟแดง คุณยื่นแซนด์วิชพร้อมกับซองสีชมพูมาให้ฉัน บนซองนั้นมีชื่อฉันปรากฏในฐานะแขกรับเชิญ ฉันแสดงความยินดีกับคุณอย่างสุจริตใจ ตื้นตันจนรู้สึกหายใจติดขัด กัดกินแซนด์วิชอย่างฝืดคอ น้ำตาท่วมท้นเต็มสองตา ฉันพูดออกไปพร้อมด้วยเสียงสะอื้น

หากวันนั้นมีแซนด์วิชติดรถสักชิ้น เรื่องของเราก็คงไม่ต้องลงเอยเช่นนี้

 

.............................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์