เรื่องสั้น : ห้องเลี้ยงรับรอง : สมภพ นิลกำแหง

เรื่องสั้น : ห้องเลี้ยงรับรอง : สมภพ นิลกำแหง

          ในห้องที่สลัวขะมุกขะมัวด้วยควันหมอกจาง ๆ มีคนสามคน ทุกคนต่างก็ไม่รู้จักกัน เป็นชายหนุ่มผอมเกร็งหน้าตาถมึงทึงคนหนึ่ง ตำรวจวัยฉกรรจ์ตัดผมเกรียนอีกหนึ่งนาย และหญิงชราคนหนึ่ง ทั้งสามนั่งล้อมรอบโต๊ะกลมตัวหนึ่ง ต่างมองหน้ากันไปมาอย่างงุนงง

          ก่อนที่จะมีใครสักคนเอ่ยถามใครอีกคนในสถานการณ์ที่ช่างงงงันนี้ ก็มีเสียงใครก็ไม่รู้ ดังก้องขึ้นมา

          “มาได้พร้อมเพรียงกันเลยนะพวกคุณนี่”

          แล้วเจ้าของเสียงก็เดินท่าทางสบาย ๆ ออกมาจากความมืดมัวสลัวแสงที่ครอบคลุมห้องนี้ไว้ทุกด้าน เขาเป็นชายหนุ่มแต่งตัวเรียบร้อยภูมิฐาน หน้าตาหล่อเกลี้ยงเกลา เขากล่าวต่ออีก

          “ได้เวลาดินเนอร์พอดี ถือว่าเป็นการเลี้ยงสังสรรค์ต้อนรับการมาพบกันครั้งแรกของพวกคุณทั้งสามแล้วกันนะ”

          ทั้งสามมองชายหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาอย่างลึกลับนั้น ด้วยความฉงนงงงวย แล้วหันมามองหน้ากันด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม

          “ขอโทษด้วยนะที่ผมมาสายไปหน่อย...” ชายหนุ่มกล่าวต่อด้วยท่าทางและน้ำเสียงเบิกบาน หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดอีก “...ผมต้องไปดูแลจัดเตรียมห้องข้าง ๆ นี่อีกสองสามห้องน่ะ ห้องนึงก็สำหรับพวกนายพลทั้งหลายแหล่ อีกห้องก็เหล่านักการเมืองใหญ่โต ห้องถัดไปนั่นก็สำหรับบรรดาเจ้าสัวระดับบิ๊ก ๆ ทั้งนั้น ช่วงนี้เค้าจองห้องกันมาล่วงหน้าพร้อม ๆ กันหลายกลุ่มเลย”

          “ที่นี่มันที่ไหนกัน” ใครคนหนึ่งในสามคนเอ่ยถาม น้ำเสียงส่ออารมณ์ไม่พอใจ

          “ห้องจัดเลี้ยงรับรองไงล่ะ เราต้อนรับผู้มาที่นี่ทุกท่านอย่างเต็มความสามารถของเรา เรารับรองแขกทุกท่าน โดยไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ” ชายหนุ่มตอบด้วยอาการร่าเริง   

          “ทำไมจะต้องเลี้ยงต้อนรับด้วยล่ะจ๊ะ” หญิงชราเอ่ยถามด้วยทีท่าเหนียมอาย

          “กูมาอยู่ที่นี่ได้ไง” ชายหนุ่มหน้าโหดกระชากเสียงถามต่อเนื่องจากคำถามของยายแก่

          “อ้าว... ก็พวกคุณจ้องห้องเลี้ยงรับรองเอาไว้ไงล่ะ... การกระทำ ย่อมมีผลลัพธ์” ชายหนุ่มเจ้าของสถานที่บอกพร้อมกับอมยิ้มนิด ๆ เขาเดินไปรอบโต๊ะกลม พลางพูดต่ออย่างอารมณ์เบิกบาน

          “ก่อนจะเริ่มดินเนอร์มื้อนี้ พวกคุณน่าจะแนะนำตัวกันให้รู้จักกันก่อน ว่าแต่ละท่าน เป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไงกันบ้าง”

          “ใครจะเริ่มก่อนดีนะ เอ้า เอาเรื่องของคุณตำรวจนี่ก่อน  เอ้า... เชิญเล่ามา คุณตำรวจ คุณทำอะไรมาบ้าง ก่อนจะมาที่นี่” เสียงของชายหนุ่มนั้นกังวานอย่างแปลกประหลาด

          “ผมเพิ่งดวลปืนกับพวกปล้นร้านทอง ผมเป็นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด รักษากฎหมายมาตลอดชีวิตราชการ...”

          “คุณอย่ามาดัดจริต” ชายหนุ่มขัดขึ้น “อยู่ที่นี่ อย่าโกหก ผมรู้ทุกอย่าง ผมให้คุณสารภาพเท่านั้น”

          ชายที่แต่งกายชุดตำรวจมีสีหน้าโกรธในเบื้องแรก เมื่อได้ยินชายหนุ่มแปลกหน้านี้พูดแบบนั้น เขาโกรธเกรี้ยวเพราะเหมือนว่าอัตตาตัวตนของเขาถูกลบหลู่ แต่แล้วชั่ววินาทีต่อมาที่เขาเผชิญสายตาของชายหนุ่มที่จ้องเขม็งมา พลังอันลึกลับจากสายตานั้นก็ทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจขัดขืนได้

          “เอ้อ... ผมยัดยาบ้าให้คนบริสุทธิ์บ่อย ๆ” ตำรวจพูดออกมาเสียงเบา

          “นั่นไง ไหน... คุณเล่ามาให้ฟังซิ คุณทำยังไงบ้าง” เสียงชายหนุ่มที่เอ่ยออกมาก้องกังวานนั้นมีแววรื่นรมย์สมใจ

          “ผมจะไปตามปั้มน้ำมันที่อยู่บนเส้นทางออกนอกเมือง ไปตอนดึก ๆ แล้วแอบคุยกับเด็กปั้ม บอกมันว่าถ้ามันช่วยผม ผมจะมีส่วนแบ่งให้มัน แต่ถ้ามันไม่ช่วย มันจะซวย พวกเด็กปั้มมันจะกลัวผมที่เป็นตำรวจ มันต้องร่วมมือกับผมอยู่แล้ว ผมก็จะให้ห่อยาบ้ากับมัน ใส่ยาบ้าไปห้าหกเม็ด บอกมันว่า เวลามีรถมาเติมน้ำมันถ้าพวกเจ้าของรถไม่ได้ลงมาคอยดูตอนเด็กปั้มเติมน้ำมัน พอเติมน้ำมันให้เสร็จแล้ว ไอ้เด็กปั้มต้องเอาห่อยาบ้ายัดเข้าไปตรงช่องเติมน้ำมัน แล้วปิดฝาถัง ส่วนผมกับเพื่อนอีกสองสามคน จะไปตั้งด่านเถื่อนบนถนนข้างหน้าห่างจากปั้มออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ พอไอ้เด็กปั้มมันทำตามที่ผมสั่งไว้กับรถคันไหนได้ มันก็จะโทรมาบอกผม บอกรายละเอียดยี่ห้อรถ ว่ารุ่นไหน สีอะไร ทะเบียนอะไร ผมก็จะคอยดักรถคันนั้นที่จะต้องวิ่งผ่านมาทางที่ผมตั้งด่านเถื่อนไว้ พอรถคันนั้นมาถึงด่านของผม ผมจะเรียกให้จอดแล้วขอค้นรถ พอเจอยาบ้าที่ถูกแอบซุกไว้ ผมจะแจ้งข้อหามียาเสพติดในครอบครอง แต่ผมจะยื่นข้อเสนอว่าถ้าไม่อยากไปโรงพัก ไม่อยากถูกส่งฟ้องศาลถูกขังคุก ผมจะเรียกเงินจากเจ้าของรถ สักหมื่นก็พอ พวกเจ้าของรถกลัวเรื่องยาว ก็ยอมจ่ายเงินให้ผม”

          “ชั่วได้ใจจริง ๆ แล้วมีวิธีอื่นอีกไหม” ชายหนุ่มถามยิ้ม ๆ แต่น้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาอย่างทรงอำนาจ

          “บางทีก็ไปคุยกับไอ้พวกช่างซ่อมรถ เด็กเปลี่ยนยาง ปะยาง ตามปั้ม ถ้ามีพวกขาจรมารถเสียกลางทางแล้วมาส่งซ่อม พวกนี้มันต้องทิ้งรถไว้ให้ซ่อม อาจจะวันสองวัน ผมจะบอกไอ้พวกช่าง ให้มันเอายาบ้าไปซุกไว้ในรถ ตามแถวช่องยางอะไหล่ บังโคลน แล้วก็ทำตามวิธีเดิม รอรถคันนั้นขับออกมาถึงด่านเถื่อน เรียกตรวจ เจอยาบ้า แล้วขู่ ยื่นข้อเสนอเรียกเงินเพื่อให้เรื่องจบตรงนั้น”

          “แค่นี้เหรอ ผมว่ามีอีกนะ เล่ามาเถอะ” ชายหนุ่มมีสีหน้ายิ้มขำ ๆ

          “บางที บางคืนขาดเงินให้เมียใช้ ผมก็เรียกตรวจค้นพวกเด็กวัยรุ่นที่มันเดินมาคนเดียว หรือขี่มอเตอร์ไซค์มา ทำเป็นขอตรวจค้นตามร่างกายมัน แล้วแอบซุกยาบ้าในกระเป๋ากางเกงมันสักเม็ดเดียวก็พอ พอเจอยาบ้าจากมันแล้ว ก็ทำตามวิธีการเดิม ขู่จะเอามันติดคุกถ้าไม่อยากติดคุก จ่ายตังค์มา สักแค่สองสามพันก็พอ ถ้าเด็กมันมีไม่ถึง เอาไม่เกินพันก็ได้ แล้วผมก็ได้เงินเอาไปให้เมีย”

          “ง่ายดีจัง แล้วถ้าเด็กเค้าไม่ยอมคุณล่ะ เคยมีไหม”

          “ก็มีบ้าง ถ้าแบบนั้น ผมก็จับมันใส่กุญแจมือไขว้หลัง บังคับจะให้มันไปกับพวกผม แค่นี้พวกมันก็กลัวแล้ว ทีนี้ผมขู่อะไรมันยอมหมดแหละ”

          “คุณชั่วมาบ่อยในการเป็นตำรวจ ยังดีที่ครั้งสุดท้าย คุณทำหน้าที่ตำรวจอย่างสมศักดิ์ศรี” สีหน้าของชายหนุ่มมีวี่แววชื่นชมแบบขำ ๆ ก่อนจะถามต่อ “แต่ผมอยากรู้ว่า คุณตั้งใจจะทำรึเปล่านะ ฮ่า ๆ ๆ”

          “ผมคงโกหกไม่ได้แล้ว จริงครับ คือว่าผมออกเวรแล้วแต่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดตำรวจออก ไปเดินเล่นที่ห้างนั้น ห้างนั้นอยู่คนละจังหวัดกับโรงพักผมด้วยซ้ำ ผมแค่อยากไปเดินเที่ยวเพราะไม่ค่อยได้ไปแถวนั้น บังเอิญตอนนั้นผมเดินไปแถวร้านทองพอดี ดันเจอโจรปล้นทองมันลากตัวประกันเป็นคนแก่ออกมาด้วย ผมแต่งชุดตำรวจอยู่ โจรมันเห็นผม มันยิงใส่เลย ผมถูกยิงล้มลง เงยหน้ามาไอ้คนยิงผมมันไปไกลแล้ว ผมจะยกปืนเล็งมัน เพื่อนมันอีกคนมาจากไหนไม่รู้ มันยิงใส่ผมก่อนเลย ยิงมาสามนัด โดนผมทุกนัด ผมตัวงอ ชาไปทั้งตัว ผมได้ยินเสียงมันเดินเข้ามา ผมฝืนพลิกตัวกลับไป ยิงใส่มันที่หน้าอก กับที่คอ แล้วผมก็วูบไป แล้วก็มาที่นี่ ผมไม่ได้อยากยิงสู้กับโจรปล้นร้านทองเลย”

          “อืม... ดีมาก เล่าได้กระชับดีนะ…” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “…ตอนนี้คุณก็อยู่เงียบ ๆ ไปก่อน ผมจะถามคุณยายบ้าง เอ้า คุณยาย เล่าเรื่องของยายมา ยายทำอะไรมาบ้าง”

          “อิชั้นเปิดร้านขายของชำจ้ะ พ่อคุณ” ยายแก่ตัวสั่นงันงก

          “อย่ามาทำพูดเสียงหวานเลย ยาย ฮ่า ๆ เปิดร้านขายของชำอย่างเดียวแน่นะยาย บอกมาให้หมด ผมรู้ทุกอย่าง แต่อยากให้ยายพูดออกมาเอง” ชายหนุ่มลึกลับกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างเบิกบานให้ยายแก่

          “จ้ะ ก็ได้จ้ะ...” ยายแก่สั่นสะท้าน “ฉัน...ฉันแอบขายยาบ้าด้วยจ้ะ มีไอ้คนหนึ่ง มันชื่อไอ้ปื้ดจ้ะ มันเอายามาขายส่งฉันจ้ะ มาทีนึงก็สิบกว่าเม็ด ฉันก็รับซื้อมัน ฉันเอามาปล่อยขาย เวลามีไอ้พวกเด็กเสี้ยนยาแถวบ้านมาแอบถามซื้อ ฉันขายบวกกำไรเม็ดละไม่เท่าไหร่หรอกจ้ะ ฉันเพิ่งทำมาสาม-สี่ปีเองนะจ๊ะ”

          ชายหนุ่มหัวเราะขำแล้วก็ถามอีก “เล่ามาซิ ยายทำอะไรอยู่ ก่อนมาโผล่ที่นี่”

          ยายแก่ทำท่าคิดชั่วครู่ “เอ้อ... อิฉันไปร้านทองจ้ะไปที่ห้างน่ะจ้ะ ตั้งใจไปดูทอง จะซื้อมาเก็บไว้จ้ะ ขายของขายยาได้เงินมา อิฉันเอาไปเปลี่ยนเป็นทองจ้ะ มันราคาไม่ตก ตกแป๊ป ๆ มันก็ขึ้นอีก อิฉันเลยชอบซื้อทองมาเก็บจ้ะ อิฉันไปร้านทองในห้าง อิฉันกะลังดูสร้อยทองอยู่ มันก็มีโจรมาสองคนจ้ะ เข้ามาปล้นทอง ยิงตู้ทองแตกกระจาย มันเอาทองไป แล้วมันก็ลากอิฉันออกมาด้วยจ้ะ อิฉันตกใจ หัวใจจะวาย แล้วพอดีมีตำรวจมาเจอไอ้โจร ไอ้โจรมันยิงใส่ตำรวจ อิฉันตกใจกลัวถูกลูกหลงจากปืนตำรวจที่จะยิงสู้โจร ใจมันหายแวบ แล้วอิฉันก็วูบไปน่ะจ้ะ แล้วก็มาอยู่ที่นี่” ยายแก่เล่าด้วยเสียงสั่น ๆ ตลอดเวลา

          “เออ เรื่องของยายจบเร็วดีนะ ตอนนี้ยายนั่งเงียบ ๆ ไปก่อน ผมจะให้พี่หนุ่มนี่เล่าบ้าง...” ชายหนุ่มพูดอย่างยิ้มแย้มกับยายแก่ ก่อนจะหันไปบอกชายผอม

          “เอ้า...พี่หนุ่ม ตอนนี้พี่พูดได้ล่ะ แต่ยังขยับแขนขาลุกเดินไปมาไม่ได้นะ ผมรู้พี่อยากจะพูดมาตั้งแต่โผล่มาอยู่ตรงนี้แล้ว แต่พี่พูดไม่ออกขยับตัวไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ฮ่า ๆ ตอนนี้พูดได้แล้ว เล่าเรื่องของพี่มาให้หมด ผมอยากฟัง”

          “มึงเป็นใครวะ แล้วที่นี่มันที่ไหน ทำไมกูมาอยู่ตรงนี้” ชายผอมกระชากเสียงถาม

          “ผมเป็นผู้ดูแลที่นี่ ส่วนพี่ รวมทั้งคุณยายและคุณตำรวจ มาที่นี่เพื่อเล่าเรื่องของตัวเองไงล่ะ”  

          “มึงบอกยายแก่กะตำรวจว่ามึงรู้ทุกอย่าง แล้วมึงจะมาให้พวกกูเล่าอีกทำไมวะ” ไอ้หนุ่มท่าทางบ่งว่าโฉดทรามกล่าวตอบสีหน้าดุดัน

          “ก็ผมอยากให้เล่าออกมา เรื่องราวที่พี่ได้ทำไป” ชายหนุ่มยังพูดไปยิ้มไป “ผมอยากรู้ว่าเรื่องที่พี่เล่ามันจะเหมือนกับเรื่องที่ผมรู้มารึเปล่าน่ะ”

          “มึงรู้ทุกเรื่องแล้วจะถามกูอีกทำไม...” ไอ้หนุ่มโฉดสำรากต่อปากต่อคำ ก่อนจะว่าต่อ

          “...แต่เอาเถอะวะ กูก็อยากเล่า... กูก็เคยเป็นพลเมืองดีมีจิตใจงามช่วยพ่อทำนาเช่าอยู่ที่บ้านนอก จนต้องมาเป็นจับกังในเมืองกรุง... ฮ่า ๆ กูมาทำงานเป็นลูกมือช่างที่อู่ซ่อมรถในกรุงเทพ ก็ไม่มีอะไรมาก กูก็ทำงานไปวัน ๆ ได้เงินมาก็ใช้ไป ไม่ค่อยมีเงินส่งไปช่วยที่บ้านนอก จนกูมารู้จักกะไอ้สัน มันเป็นลูกจ้างร้านขายแก๊สหุงต้ม เป็นเด็กส่งแก๊สนั่นแหละ วันนึงมันชวนกูไปเที่ยวตลาดโรงเกลือชายแดนเขมร แล้วกูกะมันดันข้ามไปเล่นที่บ่อน ยิ่งเล่นยิ่งมัน จนติดใจ หลังจากนั้นกูกะไอ้สันก็เลยไปเล่นที่บ่อนเขมรบ่อย ๆ ทำงานได้เงินมา วันหยุดก็เอาไปเล่นที่บ่อน บ่อยมาก ๆ ทั้งกู ทั้งมัน ติดบ่อนเข้าให้แล้ว ห่าเอ้ย... กูกะมันก็เริ่มเป็นหนี้ วันหนึ่งตอนจะกลับจากโรงเกลือ ไอ้สันชวนกูซื้อปืนปลอมแถวโรงเกลือนั่นแหละ ปืนลมที่เอาไว้ยิงเล่นกันนั่นแหละวะ แล้วไปโคราชกัน เอาปืนสั้นของปลอมไปคอยดักปล้นคนที่เพิ่งลงมาจากรถทัวร์ตอนเช้ามืด ครั้งแรกปล้นผู้หญิงสาวได้เงินเยอะเลย ง่ายดายยิ่งกว่าบีบสิว กูกะมันเลยทำต่อ ปล้นกันอีก นับได้สามครั้ง เหยื่อเป็นผู้หญิงทุกครั้ง ได้เงินได้ทอง ได้โทรศัพท์ กูเอาไปขายมาแบ่งกัน เอาไปเล่นที่บ่อนมั่ง เอาไปซื้อม้ามั่ง พวกกูเริ่มติดใจการปล้นเขาแดก ทำง่ายเหมือนตดไปตามลม ฮ่า ๆ”

          “โอ้ น่าสนใจตั้งแต่เริ่มเรื่องเลย... ยังไงต่อ เล่ามา ผมชอบฟังเรื่องของคนแบบพี่” ชายหนุ่มมีสีหน้ารื่นเริง

          “จะบอกว่าคนแบบกูมันชั่วใช่มั้ย กูเล่าถึงไหนแล้ววะ... เออ นึกออกแล้ว ไอ้สันมันชวนกู หรือกูชวนมันก็ไม่รู้ กูจำไม่ได้แล้ว แต่ตกลงกันได้ว่ามาปล้นในกรุงเทพก็ได้นี่หว่า จะถ่อไปปล้นทำห่าอะไรตั้งไกลที่โคราช พวกกูก็เลยขี่มอ’ไซค์เร่ไปตามสถานีรถไฟฟ้าตอนดึก ๆ ตอนเวลารถไฟฟ้าวิ่งเที่ยวสุดท้าย ใช้ปืนปลอมกระบอกเดิมนั่นแหละ มาดักรอปล้นคนตรงตีนบันไดชั้นล่างสุด ถ้าใครลงมาคนเดียว พวกกูก็เข้าไปจี้ ได้ของแล้วพวกกูก็ยำมันให้น่วม มันจะได้หมดแรงไปวิ่งตามหรือร้องให้คนช่วย พวกกูทำไปห้า-หกครั้ง ส่วนมากก็ได้จากพวกคนแก่ กะผู้หญิงสาว ๆ อีพวกผู้หญิงสาว ๆ นั่น พวกกูปล้นแล้วยังบีบนมจับจิ๋มมันด้วย ฮ่า ๆ พวกมันกลัวกันจะตายห่า พวกกูจะทำอะไร ยอมให้ทำหมด แต่พวกกูทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้หรอก มีเวลาน้อย ทั้งที่อยากจับทำเมียทุกคน อีพวกนั้น... ขาว สวย แต่งเนื้อแต่งตัวแต่งหน้าทาปากกันงาม ทำงานทำการกันดี ๆ ทั้งนั้น ที่พวกกูมีเวลาน้อย เพราะพวกกูต้องรีบปล้นแล้วรีบไปไงล่ะวะ มึงจะให้พวกกูหลงจิ๋มจนโดนตำรวจจับยัดห่าลงซังเตรึไง แต่ก็โชคดีนะที่ทำมาทุกครั้ง พวกกูไม่เคยถูกจับ ฮ่า ๆ ก็ดึกขนาดนั้น มันไม่ค่อยมีใครมาเดินบนถนนแล้วล่ะวะ นอกจากพวกแท๊กซี่ขับกันไปขับกันมา พวกมันก็ไม่ค่อยสนคนอื่นหรอก ใครจะแหกปากร้องให้ช่วยยังไง ก็ขับผ่านเฉยเลย ไอ้พวกห่าเนี่ย ฮ่า ๆ”

          “ฮ่า ๆ พี่กล้าด่าเขาเนอะ” ชายหนุ่มหัวเราะขำ

          “พวกนั้นมันไร้น้ำใจ ส่วนพวกกูแค่ปล้นเขาแดก ฮ่า ๆ จะให้กูเล่าต่อไหมเนี่ย ประชดกูจังนะ” ชายผอมพูดเสียงแข็ง

          “แต่พี่ทั้งไร้น้ำใจทั้งจัญไรเลยเชียวแหละ” ชายหนุ่มกล่าวพึมพำอย่างขำ ๆ ก่อนจะว่า “เล่าต่อสิครับ”

          “กูอยากเล่าตอนนี้มาก... กูสองคนเห็นว่าเรื่องปล้นมันไม่ใช่เรื่องยาก พวกกูก็เลยคิดการใหญ่ เสี่ยงปล้นเขาทั้งที น่าจะได้ทีละเยอะ ๆ ไปเลย พวกกูก็เลยคิดจะปล้นร้านทอง พวกกูขี่มอ’ไซค์ตะเวนหาเป้าหมายอยู่สองวัน แล้วพวกกูก็เลือกร้านทองในห้างชานเมืองกรุง ร้านอยู่ใกล้ประตูทางออก ไม่มีตำรวจเฝ้าด้วย ข้างหน้ามีลานจอดรถอยู่ไม่ไกล ปล้นเสร็จหนีมาขึ้นมอ’ไซค์ได้สบาย ตกลงใจจะปล้นร้านนี้ล่ะวะ แต่จะทำงานใหญ่ทั้งที จะใช้ปืนของปลอมอันเก่า ก็ดูจะเสี่ยงไป แล้วก็จะเอาไว้ยิงกระจกตู้ทองก่อนจะกวาดทองมาให้หมดตู้ด้วย เป็นการขู่ไปในตัว พวกกูก็เลยไปหาปืนเถื่อนกัน ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่พวกกูจะได้ปืนมา ถามหาซื้ออยู่สองวัน ก็ได้ปืนมาแล้ว ได้ 9 มม. มาคนละกระบอก  ได้กระสุนมาอย่างละสองกล่องด้วย พวกกูเคยซ้อมยิงปืนลมกระบอกที่เคยใช้ปล้นนั่นแหละ ซ้อมยิงกันจนเบื่อแล้ว พอได้ปืนจริงมา ก็เลยไม่ต้องซ้อมยิงหรอก เริ่มใช้จริงเลย พวกกูเก่ง ฮ่า ๆ ๆ”

          “เอาข้ามไปวันปล้นร้านทองเลยล่ะกัน” ชายหนุ่มตัดบท

          “แหม... ใจร้อนนะเนี่ย มันก็จะเล่าถึงอยู่แล้วว่ะ ไม่ต้องมาเร่งกู...” ชายผอมพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “...วันนั้น วันที่ปล้นนั่นแหละ กูสองคนแต่งตัวอย่างเท่เลย กูสองคนเหน็บปืนไว้ข้างหลัง ขี่มอ’ไซค์มาจอดที่ลานใกล้ประตูห้างที่ใกล้กับร้านทอง ถอดหมวกกันน็อกแล้วเดินเข้าห้างไปที่ร้านทองที่เลือกไว้ ไม่มีตำรวจเหมือนเดิมอย่างที่คิดไว้เลย กูกะไอ้สันเดินเข้าไปในร้านทอง ไอ้สันเข้าไปยกปืนจ้องกราดไปทุกคนในร้าน ส่วนกูบอกพวกในร้านว่า “นี่คือการปล้น” ฮ่า ๆ กูอยากพูดคำนี้มานานแล้ว ดูหนังหลายเรื่อง เวลาปล้นธนาคาร ปล้นร้านทอง ก็พูดกันแต่คำนี้ พูดแล้วเท่ฉิบหาย พูดจบกูก็ยิงตู้ทองข้างหลังเลย ยิงไปสามนัด กระจกแตกเรียบ อีพวกในร้านหมอบซุกกันเงียบ ไม่มีใครกล้าหือ กูเข้าไปกวาดทองในตู้มาได้เป็นสาม-สี่กำมือ ก็หลายสิบเส้นนะมึง เส้นละไม่ต่ำกว่าสามบาทห้าบาททั้งนั้น ไอ้สันทุบตู้ตรงข้างหน้า กวาดมาได้อีกสอง-สามกำมือ กำลังจะออกจากร้าน กูหันไปเห็นไอ้สันลากผู้หญิงแก่ในร้านมาด้วยคนนึง กูถามจะลากมาทำห่าอะไรวะ ไอ้สันบอก “เอาไว้เป็นตัวประกัน” อ้าว ไอ้ห่า เออ ยังไงก็ได้วะ กูวิ่งออกจากร้านก่อน ไอ้สันลากอีแก่นั่นวิ่งตามมา กูวิ่งออกจากห้างมาจะถึงรถอยู่แล้ว ได้ยินเสียงปืน หันไปเห็นไอ้สันกำลังยิงตำรวจ ห่าเอ้ย ตำรวจโผล่มาจากไหนวะ แต่ไอ้ตำรวจนั่นก็ถูกไอ้สันยิงจนฟุบไปนะเว้ย ยายแก่ที่ไอ้สันลากมาตกใจร้องเสียงดังแล้วล้มฟุบลง ไอ้สันก็เลยปล่อยมือ แล้วมันก็วิ่งตามกูมาที่รถ กูเหลือบไปเห็นไอ้ตำรวจยังดิ้นขลุก ๆ ยังไม่ตาย กำลังจะยกปืน กูคิดว่ามันจะยิงไอ้สัน กูเลยวิ่งสวนกับไอ้สัน กูวิ่งไปที่ไอ้ตำรวจ กูยิงใส่ก่อนเลย ยิงไปสามนัด ไอ้ตำรวจนอนฟุบไปอีก แต่ยังไม่ตาย กูจะเข้าไปยิงซ้ำ มันพลิกตัวกลับมา ยิงใส่กูที่หน้าอก กะที่คอ แล้วกูก็ไม่รู้สึกตัวอีก จนมาอยู่ที่นี่ได้ไงวะ”

          ชายหนุ่มหัวเราะ “ ฮ่า ๆ ตื่นเต้นมาก ว่าแต่ตอนนี้พี่จำได้รึยังว่าตำรวจที่พี่ยิงเขา เขายิงพี่ ใช่ตำรวจคนนี้ไหม แล้วยายแก่ที่ถูกลากออกมาจากร้านทองนั่น ใช่ยายแก่คนนี้ไหม”

          ชายผอมเหลือบแลตามองไปที่ตำรวจและยายแก่ ซึ่งทั้งสองคนก็เหลือบแลตามองชายผอม ทั้งสามคนต่างก็เหลือบแลตามองกันไปมาอีกครั้ง แต่คราวนี้แววตาของทุกคนดูตื่นตระหนกกว่าเดิม พวกเขาทำได้เพียงแค่เหลือบแลตามองกันไปมา ทั้งที่คงอยากจะดิ้นขลุกขลักหรือแผดร้องโหวกเหวก แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ ร่างกายพวกเขานิ่งงันด้วยอำนาจที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาทำได้แค่เหลือบแลตามองกันไปมา

          แล้วชายหนุ่มก็เดินไปมารอบโต๊ะกลมที่ทั้งสามคนนั่งนิ่งเพราะขยับกายไม่ได้ พลางพูดขึ้นอีก “ผมรู้ดีแหละว่า สิ่งที่พวกคุณทั้งสามทำไปนั่น เพราะพวกคุณหิวกระหาย แต่ความหิวกระหายของพวกคุณมันเกินขอบเขตของความหิวกระหายที่มนุษย์ปุถุชนทั่วไปจำเป็นต้องมี ยังไงก็เถอะ เมื่อพวกคุณมาถึงที่นี่แล้ว ผมก็ต้องช่วยให้พวกคุณผ่อนคลายความหิวกระหาย”

          ชายหนุ่มเดินหายลับเข้าไปในความมืดมัวสลัวที่อยู่ล้อมรอบห้อง สักครู่เดียวก็กลับออกมาพร้อมกับมีบางสิ่งในมือ สามชิ้นที่สะท้อนประกายวาววับ เขานำสามชิ้นวาววับนั้นมาวางลงตรงหน้าของแต่ละคน มันคือมีดคมกริบด้ามโตสามเล่ม

          “ได้เวลางานเลี้ยงต้อนรับพวกคุณแล้วนะ” ชายหนุ่มว่าพลางยิ้มรื่นเริง “มีใครอยากจะพูดอะไรมั้ย”

          ทันทีที่สิ้นคำของชายหนุ่ม ตำรวจก็พูดออกมา “งานเลี้ยงอะไร ไหนล่ะอาหาร หรือเครื่องดื่ม”

          “ทำไมมีแต่มีดล่ะจ้ะ จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ เมื่อไหร่จะเอามา” ยายแก่ถามขึ้นบ้าง เสียงอ่อนหวาน

          “มึงเล่นอะไรของมึงวะ” ชายผอมกระชากเสียงอย่างเดือด

          ชายหนุ่มหัวเราะร่วน ก้าวมาหยิบมีดตรงหน้าชายผอม แล้วเอื้อมตัวมาสับมีดเข้าไปตรงแก้มเหี่ยว ๆ ของยายแก่ ก่อนจะแล่เนื้อตรงนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว วางมีดที่เดิม โยนเนื้อเลือดชุ่มไปตรงหน้าชายผอม แล้วก้าวไปที่ตำรวจ หยิบมีดตรงหน้ายายแก่มาสับโช๊ะเข้าที่ดั้งจมูกตำรวจ จนจมูกทั้งแผงหลุดออกมาเลือดสาดตามมาด้วย วางมีดที่เดิม โยนเนื้อจมูกทั้งแผงไปตรงหน้ายายแก่ แล้วก้าวไปที่ชายผอม จับคางให้เงยขึ้น หยิบมีดตรงหน้าตำรวจมาเฉือนเนื้อหนังชายผอมตั้งแต่คางไปจนถึงข้างแก้มข้างขวา ปลิ้นเนื้อหนังตรงนั้นจนหลุดออกมาทั้งแถบ โยนไปตรงหน้าตำรวจ

          ตลอดเวลานั้นทั้งสามคนผู้ถูกเถือเนื้อหนังไม่อาจขยับกายหนีได้ ไม่อาจกรีดร้องออกมาทั้งที่เสียงกรีดร้องนั้นดังก้องอยู่ในความนึกคิด

          “ผมทำให้ดูแล้ว ที่นี้ก็ถึงคราวพวกคุณช่วยกันกินกันให้สนุกเถอะ นี่เป็นงานเลี้ยงครั้งแรก แต่สำหรับคุณทั้งสาม มันก็จะมีขึ้นอีกเรื่อย ๆ แหละ ไม่ต้องห่วง ผมรู้ว่าพวกคุณหิวกระหายอยู่เสมอ”

          ชายหนุ่มกล่าวจบ ถอยห่างออกมาสี่ห้าก้าว และกล่าวอีก “อ้อ ลืมบอกไป ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ นอกจากพวกคุณจะได้รับการเลี้ยงต้อนรับโดยไม่มีวันหยุดแล้ว เราก็มีกิจกรรมสุดระทึกหลากหลายที่สลับผลัดเปลี่ยนเวียนไปไม่ให้น่าเบื่อให้พวกคุณได้สัมผัสอย่างถึงใจด้วยนะ”

          ชายหนุ่มยืนเช็ดมือเปื้อนเลือดด้วยผ้ามอมแมมเลอะเทอะสีแดงคล้ำที่เขาล้วงออกมาจากกระเป๋า พลางมองไปที่โต๊ะกลม ทั้งสามร่างที่โต๊ะกลมนั้นเริ่มขยับแขนทั้งสองข้างได้แล้ว แต่ละคนมีมีดในมือ กำลังเริ่มหัดเฉือนเนื้อของคนใกล้ทางขวามือ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธงานเลี้ยงนี้ได้ นี่เป็นวาระที่พวกเขาต้องปลดเปลื้องความหิวที่มากล้นเกินไปของพวกเขา

 

                        ................................................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์