เรื่องสั้น : นครอากาศเปลี่ยนแปลง : นิธิ นิธิวีรกุล

          เรื่องสั้น : นครอากาศเปลี่ยนแปลง : นิธิ นิธิวีรกุล

 

          “ความทรงจำนั้นของคุณ มอบให้ฉันได้ไหม ?”

          ประโยคนั้น ฉันเอ่ยในทุกครั้งที่จังหวะหายใจของคุณเริ่มสงบนิ่ง และเมื่อเสียงกรนดังขึ้นจากร่างที่อ่อนเพลียมาตลอดทั้งวันของการตามหาตัวตนที่สูญหายไปของคุณ ในทุกครั้งก่อนรุ่งสางจะมาเยือนนครที่กำลังหลับใหลอยู่บางส่วนในที่มืดเร้นลับนี้จะลืมตาตื่น ฉันมองใบหน้าของคุณ ชายหนุ่มที่ฉันไม่รู้ชื่อ ส่วนคุณเองจำชื่อตัวเองไม่ได้ สิ่งเดียวที่คุณจำได้ สิ่งเดียวที่กระตุ้นเตือนให้คุณมีชีวิตในแต่ละวัน คือความทรงจำต่อใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง คนรักหรือน้องสาว ? ฉันเคยถาม และคุณส่ายหน้าปฏิเสธด้วยแววตาปวดร้าวของความทรงจำที่ไม่อาจดึงขึ้นมาจากก้นแม่น้ำที่ร่างของคุณได้จมดิ่งลงไป แล้วกลับขึ้นมาก่อนรุ่งสางเมื่อสามสัปดาห์มาแล้ว

          ฉันพบคุณครั้งแรกในวันขึ้นสิบสามค่ำเดือนสิบ รัตนโกสินทร์ศกที่หนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ด วันนั้น ฉันจดลงอนุทินของฉันในห้องนี้ ขณะที่คุณนอนหลับ เพ้อละเมอถึงบางอย่างที่น่ากลัว ฉันรู้ว่าคุณผ่านเรื่องเลวร้ายมา มีรอยกระสุนดินปืนฉีกเสื้อผ้าของคุณขาดเป็นรูโหว่ที่ด้านหลัง แต่ไม่มีรอยแผลใด ๆ ที่แผ่นหลังหรือส่วนอื่น ๆ บนร่างของคุณในตอนที่คุณปีนขึ้นตลิ่งแม่น้ำขึ้นมาบนถนนตก สถานที่ซึ่งฉันเพิ่งผละจากงานที่ทำมาตลอดคืน สถานที่ซึ่งฉันชอบหอบเอาความรู้สึก อาลัยในความทรงจำที่ฉันไม่เคยลืมเลือนไปทิ้งแม่น้ำเพื่อเริ่มต้นเช้าวันใหม่ แล้วกลับมายังจุดเดิมอีกครั้งเมื่อค่ำคืนต่อมาจบลง ฉันเข้าไปประคองคุณ สอบถามไต่ความจากคุณที่ยังสับสน ยังหวาดกลัว ฉันสงสารคุณจับใจ จึงตัดสินใจพาคุณกลับมายังห้องพักของฉัน อีกสถานที่ที่ฉันไม่เคยให้ชายใดกล้ำกรายผ่านเข้ามา แม้จะมีหลายคน หลากชนชั้นสถานะที่พยายามเปิดประตูห้องนี้ด้วยเงิน ด้วยฐานันดร กระทั่งเอาความเป็นชายเข้าข่มขู่ ประตูบานนี้ปิดเสมอ เหมือนจิตใจฉันหลังปีของความเลวร้ายผ่านไป หลังเจ้าคุณพ่อฉันแขวนคอเพราะทนอับอายต่อหนี้สินอันล้นพ้นตัวที่รุมเร้าเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป ทิ้งฉันไว้กับข้าทาสบริวาร และหนี้สินทั้งนั้นในเรือนริมคลองภาษีเจริญ ก่อนทุกอย่างจะปลาสนาการหายไป เหลือฉันเพียงลำพัง

          ฉันไม่เคยอับอาย ไม่เคยรู้สึกอดสูต่อการงานที่ทำ แม้ในบางครั้งบางคืน เสียงเจ้าคุณพ่อจะกราดเกรี้ยวมาจากมุมห้องที่มืดมิด ตวาดฉันเป็นผู้หญิงแพศยาไม่ต่างจากแม่ฉันที่ทิ้งฉันไว้กับเจ้าคุณพ่อตามชายชู้กลับไปยังบ้านเกิดที่ปากน้ำโพ เจ้าคุณพ่อผู้ทั้งโง่เขลาและน่าสงสาร เจ้าคุณพ่อผู้ไม่เคยล่วงรู้เลยว่าเจ้าคุณพ่อเองต่างหากคือชายชู้ในนามของการขู่เข็ญบังคับเอาจากเมื่อครั้งไปราชการเมื่อยี่สิบสามปีก่อนโน้นแล้วเกิดต้องใจแม่ผู้เป็นบุตรีของข้าราชการผู้หนึ่งโดยไม่เคยล่วงรู้แม้แต่น้อยว่าแม่นั้นรักอยู่กับหนุ่มชาวเรือแห่งเมืองปากน้ำโพนั้นนานนักก่อนจะรู้จักพ่อ

          ฉันไม่เคยใส่ใจเสียงพ่อ บารมีและอำนาจใด ๆ ที่พ่อเคยมีสิ้นสลายไปหมดแล้ว ไม่ใช่ด้วยเชือกเส้นนั้นกับความขลาดเขลาไม่อาจทนสู้หนี้สินที่พ่อเองเป็นคนก่อ แต่เป็นยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง อากาศที่เปลี่ยนไปในนครเก่าแก่ที่ฉันข้ามฟากมาใช้ชีวิต ละทิ้งทุกอย่างเมื่อสิ้นรัตนโกสินทร์ที่หนึ่งร้อยห้าสิบปีไว้เบื้องหลัง ตราบกระทั่งวันแรมหกค่ำเดือนเจ็ดเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในแผ่นดินนี้ ฉันกลับพลันรู้สึกเป็นครั้งแรกในรุ่งสางวันเดียวกันโดยที่ยังไม่รู้เรื่องราวใด ๆ ในตอนนั้นว่าอากาศรอบตัวได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

          ฉันมองดูคุณที่กำลังหลับใหลอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นไปชำระร่างกายในห้องน้ำรวมนอกห้องพัก เวลาเช่นนี้มีผู้เช่าร่วมไม่กี่คนที่ตื่นเช้า ส่วนมากแล้วเป็นพนักงานในกรมต่าง ๆ ที่ยังคงไม่รู้อนาคตตนเอง และเท่าที่ฉันรู้จากพวกเขาจากการพูดคุยทักทายบ้างเป็นครั้งคราว ฉันรู้พวกเขากังวลต่อกระแสลมที่เปลี่ยนแปลงนี้ไม่ด้อยไปกว่าชนชั้นสูง ซึ่งระบายทุกความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเมื่อพวกเขาอยู่เหนือร่างฉัน ผ่านกลิ่นกำยานที่ลอยระเหยขึ้นไปสู่โคมไฟ ซึ่งกักเก็บทุกความลับไว้ในนั้น ก่อนจะดับแสงลงเมื่อถึงเวลารุ่งสาง เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ในแต่ละวัน แต่ละวัน ฉันจะมีแขกประจำคืนละหนึ่ง บางคนมาเพื่อนอนหลับ บางคนมาเพื่อสิ่งนั้นเพียงอย่างเดียว บางคนมาเพื่อพูดคุย ในจำนวนคนเหล่านี้มีหนึ่งคนที่เป็นทุกสิ่งในอารมณ์ความรู้สึกที่ว่านั้นในตัวคนเดียว เขาเป็นทหารหนุ่ม และเป็นหนึ่งในคณะก่อการ เขาจะมาทุกวันพุธ และในทุกครั้งเขาไม่เคยพูดอะไรกับฉันก่อนหลับนอน เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงยื่นยาสูบให้ฉันหนึ่งมวน และชวนฉันพูดคุย เขาชอบให้ฉันเล่าถึงเรื่องราวในวัยเด็ก เล่าเรื่องต่าง ๆ ในอดีตของฉันมากกว่าเล่าเรื่องตัวเขาเอง มีครั้งหนึ่งเขามอบปิ่นปักผมให้ฉัน เป็นปิ่นปักด้ามยาวเรียวปลายแหลม สามารถใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ เขาบอกฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สามสัปดาห์ที่ฉันพบคุณขึ้นมาจากแม่น้ำคือสามสัปดาห์ที่เขาหายหน้าไป และเพราะเขาจ่ายไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกคืนวันพุธจึงเป็นคืนวันพุธอันยาวนานของการรอคอยให้หมดค่ำคืน ฉันกลับมายังห้อง คุณเปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มสาดเข้ามาในห้อง ฉันเดินไปรวบม่านอีกชั้นซึ่งหนากว่าชั้นแรกให้ห้องครึ้มลง แล้วจึงกลับมานอนเคียงข้างคุณ โอบแขนไปรวบเอวคุณหลวม ๆ แล้วฟังจังหวะหายใจที่สงบราบเรียบ ไม่นานนัก ฉันจึงหลับ

          ฉันตื่นเมื่อบ่าย และทุกครั้งเมื่อฉันตื่น อาหารจะวางไว้พร้อมบนโต๊ะ เมื่อคุณไม่อยู่ ห้องจะมีอีกกลิ่นแทรกขึ้นมาเสมอ กลิ่นซึ่งไม่เคยมีก่อนหน้าคุณเมื่อสามสัปดาห์ก่อน ในห้องโคมไฟที่ที่ฉันทำงานจะอวลไปด้วยกลิ่นสารพัด บางกลิ่นทำฉันสะอิดสะเอียน บางกลิ่นก็ทำฉันเคลิบเคลิ้ม แต่กลิ่นในห้องฉันในทุกครั้ง ในทุกวันเมื่อคุณไม่อยู่จะปรากฏกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกกระดังงาเสมอ ฉันชอบกลิ่นนี้ กลิ่นดอกกระดังงานำความอบอุ่นมาให้ฉัน เป็นกลิ่นซึ่งทำให้ฉันนึกถึงเรือนเจ้าคุณพ่อที่มีแม่โอบกอดฉันในศาลาริมน้ำ บอกเล่าเรื่องราวความรักระหว่างแม่กับชายหนุ่มพ่อค้าผู้ใช้สายน้ำเป็นเส้นทางในการลำเลียงความปรารถนาจากชาวปากน้ำโพลงมายังนครเก่าแก่นี้ และด้วยเส้นทางน้ำนี้เช่นกันที่นำแม่จากฉันไปก่อนรุ่งสางวันครบรอบวันเกิดปีที่ยี่สิบของฉัน หลังจากนั้นเจ้าคุณพ่อก็เปลี่ยนแปลง และยิ่งยากหวนคืนเมื่อเจ้าคุณพ่อถูกดุล เพียงปีเดียวที่แม่จากฉันไป เจ้าคุณพ่อก็กลายเป็นใครคนอื่นที่ฉันไม่รู้จักอีกต่อไป

          ฉันเริ่มต้นรับประทานอาหารในบรรยากาศอันเงียบงันยามบ่าย ห้องยังสลัว ฉันชอบที่เป็นเช่นนี้ ฉันไม่ชอบแสงสว่างมากนัก ครั้งหนึ่งนายทหารหนุ่มเคยบอกว่าผิวกายฉันซีดเกินไป คุณควรออกไปเจอแสงแดดบ้าง มิใช่แต่หมกตัวอยู่ในห้อง ทั้งห้องนี้ และห้องอื่น ๆ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรบเร้าอยากมาที่ห้องพักของฉัน กระนั้น ฉันกลับรู้สึกว่าในทุกขณะที่ฉันอยู่ในห้องนี้มีสายตาของเขาจับจ้องมองอยู่ แต่เป็นสายตาที่แตกต่างไปจากเงามืดมุมห้องที่ทำให้ฉันนึกถึงพ่อเป็นครั้งคราว สายตาของเขาที่ฉันมองไม่เห็น หากแต่รู้สึกทำให้ฉันรัญจวน หลายครั้งที่ฉันเปลือยกายเปล่า เดินเหินในห้องนี้เพราะรู้สึกถึงสายตาของนายทหารหนุ่มที่กำลังมองมาจากสถานที่ที่หนึ่งด้วยความคิดถึงของตัวฉันเองมากกว่าของเขา เพราะฉันไม่เคยถามว่าเขารู้สึกเช่นใด ฉันไม่กล้า และไม่สมควร และคงเพราะฉันไม่ได้พบเขามาสามสัปดาห์แล้ว ห้วงขณะที่ฉันรับประทานอาหารอย่างเงียบงันนั้น ฉันบังเกิดปรารถนาเป็นครั้งแรกที่จะออกไปพบแสงแดดเสียบ้าง และวันนี้ก็ให้บังเอิญตรงกับวันพุธ

          กลิ่นของนครเก่าแก่ในยามสว่างนั้นแตกต่างจากยามค่ำคืนยิ่งนัก ทุกอย่างเจิดจ้าจนฉันแสบตา ฉันไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีสถานที่ใดที่ฉันนึกอยากไปในยามกลางวัน อันที่จริงในนครแห่งนี้ไม่เคยมีสถานที่ใดที่ฉันนึกอยากไป ไม่ว่าในยามกลางวันหรือยามกลางคืน ฉันเดินได้ไม่นานนัก ย่ำเย็นก็โรยตัวลงมาปกคลุมนครเก่าแก่ ฉันมองหาป้ายรถรางเพื่อจับรถกลับไปยังถนนตก ไปยังสถานที่ที่ฉันจำต้องไปในทุก ๆ ค่ำคืน วันนี้นายทหารหนุ่มคนนั้นจะมาไหม ? ฉันปรารถนาให้เขามา สามคืน สามสัปดาห์มาแล้วที่ฉันได้แต่รอคอย

          ในห้องผลัดเสื้อผ้าของฉันและหญิงนางอื่น ๆ จะประกอบด้วยชุดจากทั้งฝรั่ง แขก เจ๊ก มอญ ญวน คละกันไปตามแต่ความต้องการของแขก ฉันเลือกชุดกี่เพ้า ซึ่งเป็นชุดที่นายทหารหนุ่มชอบ เป็นชุดเสื้อผ้าที่เขาเคยบอกฉันครั้งหนึ่งว่าทำให้นึกถึงแม่ แม่ของนายทหารหนุ่มเป็นลูกเจ๊กรุ่นที่สามจากเมื่อครั้งอพยพเข้ามาในแผ่นดินที่สี่ ฉันมองตัวเองในกระจก หูแว่วเสียงเรียกจากหญิงนางอื่น ๆ เมื่อหันไป หนึ่งในพวกนางก็เอ่ยว่าวันนี้เห็นทีฉันไม่ต้องรอเปลี่ยว เพราะนายทหารหนุ่มมาถามหาฉันแล้ว ฉันทั้งร้อนผ่าวและรู้สึกพิกลระคนกันไป เขาน่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่าทุกคืนวันพุธเป็นวันที่ฉันเป็นของเขาเพียงผู้เดียว ฉันกล่าวขอบใจหญิงนางนั้น แล้วออกจากห้อง ไปรอในห้องของฉัน ห้องซึ่งโคมไฟสีแดงกลางห้องเก็บเอาทุกความลับไว้ในนั้นกระทั่งแสงโคมดับเมื่อใกล้รุ่งสาง

          เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เขายังคงมีมารยาท แม้ไม่จำเป็น ในเมื่อครั้งหลัง ๆ ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเคาะประตูเลยก่อนจะเข้ามา ฉันมองดูร่างของเขา ชุดเสื้อผ้ายังเป็นชุดเดียวกับเมื่อครั้งสุดท้ายที่จดจำได้ แต่ใบหน้านั้น ไม่ใช่นายทหารหนุ่มที่ฉันเคยรู้จักอีกต่อไป แต่เป็นใบหน้าของคุณ ชายผู้ซึ่งฉันช่วยขึ้นจากแม่น้ำ ให้ที่พัก และอาหารพอให้คุณปะติดปะต่อชีวิตของคุณจากความทรงจำที่ขาดหายไปได้ แล้วนี่คือสิ่งใดกัน ไฉนคุณถึงสวมชุดของนายทหารหนุ่ม ผู้ที่ฉันเฝ้ารอมาตลอดทุกๆ วันในสามสัปดาห์ ไม่ใช่แค่ในวันพุธ

          “ทำไมคุณ...” ใบหน้าของคุณประหลาดใจ คงไม่ต่างจากใบหน้าของฉัน

          ฉันรวบรวมสติแล้วตอบคุณกลับไปว่าเป็นฉันเองมากกว่าที่ต้องถามว่าทำไมคุณถึงสวมใส่ชุดทหาร เจ้าของคนสวมชุดนี้หายไปไหน ?

          คุณมองฉันนิ่ง แล้วหันไปปิดประตูห้อง เดินช้า ๆ ในจังหวะเสียงฝีเท้าที่ฉันได้ยินยามคุณย่ำออกไปจากห้องของฉัน เมื่อมองดูคุณในชุดนายทหาร ใต้แสงโคมในห้องนี้ คุณกลับเหมือนนายทหารคนนั้นที่ฉันปรารถนาในทุกคืนวันพุธ และด้วยแรงปรารถนานั้น ฉันร้อนรน ฉันไม่อาจนิ่งรอในความนิ่งเงียบแค่เพียงวินาทีจึงถามคุณซ้ำ คุณหันมามองฉัน แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ บนใบหน้า แต่คำตอบนั้นราวฟ้าผ่าใส่ร่างฉันทั้งที่ไร้เมฆฝน ฉันไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ยังไม่อยากเชื่อ ยังมีหลายสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันพยายามทบทวน ผลักไสคำตอบที่เพิ่งได้ยิน แล้วเอ่ยถามเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวทั้งหมด คุณจดจำอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือ ? แล้วหญิงสาวคนนั้นที่คุณว่าจะออกตามหา ? คุณนั่งลงบนเก้าอี้ในโต๊ะทรงกลมกลางห้อง สีหน้าของคุณไม่เจ็บปวดเหมือนในวันสองวันแรกที่คุณพยายามทบทวนความทรงจำอีกแล้ว ใบหน้าของคุณมีแต่ความสงบนิ่ง แล้วคุณจึงเริ่มเล่า การออกไปเดินในเมืองทุก ๆ วันช่วยฟื้นความทรงจำให้กลับคืน คุณจดจำบ้านเก่าที่เคยอยู่ได้ คุณจึงกลับไปหา และพบว่าบ้านนั้นเปลี่ยนผู้อยู่อาศัยไปแล้ว และคุณจึงได้รู้ว่าสิบปีทีเดียวที่คุณจมอยู่ในแม่น้ำ ฉันฟังแล้วขัดขึ้นทันที สิบปี ? เป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะจมอยู่ในแม่น้ำได้ถึงสิบปี สิบนาที ฉันก็เห็นสิ้นใจมานักต่อนักแล้ว คุณตอบด้วยสีหน้าอันยุ่งยากเช่นคนที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าคุณไม่รู้ คุณหาคำตอบในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านไปนั้นไม่ได้ ความทรงจำสิบปีที่ยาวนานหายวับไปกับสายน้ำ

          ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ความคิดฉันคือคุณนั้นวิปลาสไปเสียแล้ว คุณสูญเสียสติเช่นคนปกติไปแล้ว และฉันรู้สึกได้จากภายในวิญญาณของฉันว่าความโกรธเกรี้ยวและชิงชังค่อย ๆ ก่อตัว แต่ยังมีหลายเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ ความทรงจำคุณ สิ่งที่คุณสูญเสียไป และความน่ากลัวที่โยนร่างคุณลงแม่น้ำเมื่อสามสัปดาห์ก่อนเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายทหารหนุ่มที่คุณได้พลั้งมือสังหารเขา คุณจึงเล่า เล่าช้า ๆ ให้ฉันได้ซึมซับเรื่องราวทีละน้อย ทีละน้อยตามแต่ละนาทีที่เคลื่อนผ่านโมงยามของบรรยากาศรอบกาย เรื่องราวความรักของคุณกับหญิงสาวบ้านใกล้ริมคลองเดียวกันกับที่ฉันเติบโตมา หญิงสาวคนนั้นซึ่งคุณเฝ้ารอให้เจอะเจอกันที่วัดริมน้ำทุก ๆ วันพระ เพื่อจะได้วิ่งเล่น เพื่อจะได้พูดคุยในเรื่องราวต่าง ๆ จนกระทั่งเมื่อหญิงสาวคนนั้นหายไป คุณเที่ยวตามหา จากท่าน้ำสู่อีกท่าน้ำ กระทั่งตามไปพบเรือนของหญิงสาวคนนั้น แล้วคุณทวนถามด้วยชื่อนั้นที่คุณได้รู้จากปากของหญิงสาว ทว่าใบหน้าของหญิงสาวในชื่อนั้นที่คนเรือบอกกับคุณกลับไม่ใช่ใบหน้าที่คุณตามหา คุณจึงจมสู่ความผิดหวัง คุณไม่รู้กระทั่งเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไร ทุก ๆ วันพระเวียนมาถึง คุณยังคงเฝ้ามองหาใบหน้าของหญิงสาวคนนั้น

          “จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้รู้ว่าลูกชายของนายทหารบกผู้หนึ่งได้ทำระยำสิ่งใดไว้กับกว่าชื่น ผมจึงไปถามหาความจริงจากเขา และนั่นคือความทรงจำสุดท้ายที่ผมจดจำได้”

          “ลูกชายของนายทหารบกผู้นั้นคือนายทหารผู้ที่คุณพลั้งมือสังหารเขา?”

          คุณส่ายหน้าตอบฉันว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เลย เมื่อทุกอย่างกลับคืนมาจากสายน้ำ คุณกลับไปตามหาลูกชายนายทหารอีกครั้ง แต่สิ่งที่พบมีเพียงซากปรักหักพังของเรือนที่ทรุดโทรม กลิ่นของสุสานในเรือนของบรรดาเจ้าขุนมูลนายริมน้ำแต่ละหลัง รวมทั้งเรือนริมน้ำที่เคยมีกว่าชื่นอยู่ด้วย ทว่าคุณไม่พบใคร แล้วคุณจึงจดจำได้ว่าลูกชายของนายทหารผู้นั้นมีเพื่อนด้วยในวันสุดท้ายที่คุณจดจำได้ วันที่คุณบอกว่าผ่านมาแล้วสิบปี เพื่อนและลูกชายของนายทหารบัดนี้ได้กลายเป็นนายทหารเสียแล้ว คุณจึงตามหาอีกครั้ง และวันนี้เองที่ได้พบกับเพื่อนของลูกชายนายทหารผู้นั้น เพื่อนผู้เป็นเจ้าของเสื้อผ้าที่คุณได้สวมใส่ และเขา ทหารหนุ่มผู้มีเกียรติปฏิเสธที่จะบอกคุณถึงที่อยู่ปัจจุบันของเพื่อนเขา บอกเพียงแต่คุณต้องลบลืมบางความทรงจำไปเสีย โดยเฉพาะความทรงจำที่เจ็บปวด คุณไม่ฟังเขา คุณรอมานานเกินไป คุณจมมานานเกินไป คุณจึงเริ่มข่มขู่เขา แล้วการต่อสู้จึงเกิดขึ้น เมื่อก่อนแสงยามเย็นจะลับลา สุดปลายถนนตกนั่นเองที่คุณทิ้งร่างนายทหารหนุ่มลงแม่น้ำ จุดเดียวกับที่ฉันพบคุณ

          แสงโคมริบหรี่เมื่อเรื่องราวของคุณจบลง ก่อนจะมืดสนิท เรานั่งนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่งด้วยรู้ว่าจากนี้เราจะต้องกลับคืนสู่ห้องของฉันด้วยกัน และเราต่างรู้อีกด้วยว่าไม่มีนาทีใด หรือวันไหนอีกแล้วที่เราจะหลับลงเคียงข้างกันด้วยบาดแผลที่เราต่างเยียวยาซึ่งกันและกัน ฉันจึงขอให้คุณพาไปยังจุดที่คุณทิ้งร่างนายทหาร ตลอดการเดินทางในระยะสั้น คุณไม่เอ่ยถามฉันสักคำถึงเรื่องของเขา คุณไม่อยากรู้ในเรื่องของนายทหารหนุ่มที่คุณได้พลั้งมือสังหารไปว่าสำคัญเช่นไรกับฉัน คุณกลับไปจมสู่แม่น้ำอีกครั้ง เพราะแม้เมื่อความทรงจำกลับคืน คุณยังคงไม่พบหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวที่ชื่อกว่าชื่น หญิงสาวที่ชื่อและใบหน้าเป็นคนละคนกับเรือนริมน้ำที่ครั้งหนึ่งคุณเคยไปแอบมองจากเรือจ้าง

          บรรยากาศของถนนตกริมสุดของนครเก่าแก่ที่ยังหลับใหลอยู่บางส่วนเหมือนในทุก ๆ วันเมื่อรุ่งสาง กลิ่นแม่น้ำ กลิ่นความทรงจำลอยมาตามสายลมอ่อน ๆ คุณและฉันเดินกลับมายังจุดที่ฉันได้พบคุณเมื่อสามสัปดาห์ก่อน เรายืนเคียงกันและกันในความเงียบ ฟากฝั่งโน้นเคยเป็นความทรงจำเก่าแก่ของฉัน เช่นเดียวกับคุณ แล้วฉันจึงเอ่ย

          “ความทรงจำนั้นของคุณ มอบให้ฉันได้ไหม ?”

          คุณหันมา แล้วฉันจึงใช้ปิ่นปักผมที่เขาเคยให้เป็นของขวัญในการพบกันครั้งที่สองของเราเสียบเข้ากึ่งกลางทรวงอกของคุณ แล้วจึงกระซิบบอกคุณ

          “รู้แล้วใช่ไหม ฉันไม่ใช่กว่าชื่นคนที่คุณตามหา เราไม่เคยรู้จักกันกระทั่งสามสัปดาห์ก่อน และคุณฆ่าชายคนเดียวที่ฉันรัก”

          ฉันผลักร่างคุณที่อ่อนยวบลงแม่น้ำ เสียงน้ำแตกกระจายในความเงียบ ฉันมองดูร่างคุณที่ค่อย ๆ จมลง โยนปิ่นปักผมของนายทหารหนุ่มตามลงไป สูดกลิ่นของบรรยากาศนครเก่าแก่ที่ชื่อว่ากรุงเทพฯ แล้วเพิ่งตระหนักเป็นครั้งแรกว่าในบรรดากลิ่นต่าง ๆ ที่โชยอยู่ในอากาศ กลิ่นหนึ่งซึ่งแทรกอยู่ในทุก ๆ ที่ ในทุก ๆ แห่งที่ฉันใช้ชีวิต มีกลิ่นของความตายอยู่ด้วยเสมอ

 

...............................................................

 

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์