เรื่องสั้น : กุหลาบหลุดขั้ว : อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ

เรื่องสั้น : กุหลาบหลุดขั้ว : อนุสรณ์ ศรีคำขวัญ

          ดอกไม้ในแจกันเริ่มเฉา ช่อดอกโค้งพับโรยรา เหมือนคนแบกทุกข์หมดอาลัย นั่งกอดเข่าในความมืดของมุมห้องที่อับแสง แม้สีหน้าจะหมองคล้ำ ดวงตาไร้ประกายแต่ปราศจากซึ่งน้ำตานอง

          จากกุหลาบสีแดงเริ่มแซมด้วยสีดำเป็นจ้ำ ๆ สีที่มาเยือนเริ่มเคาะประตูทักทายตั้งแต่ที่ผมพรากความงามของมันออกมาจากโคน แล้วปักลงแจกันแก้วบนโต๊ะในห้องแห่งนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความงามและกลิ่นหอมจะลดหายไป ในทางกลับกันรู้สึกว่ามันทวีความหอมและสีสันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก คงเป็นเพราะห้องแคบ ๆ จึงกักขังกลิ่นหอมไม่ให้ไปไกลปลายจมูก และแสงแดดภายนอกที่ส่องเข้ามากระทบกลีบดอก ภายในห้องเล็กสลัวช่วยให้ความแดงของกุหลาบเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในบางครั้งผมยังเห็นคล้ายว่าดอกกุหลาบช่อนั้นหันมายิ้มให้อย่างมีความสุข มันคงดีใจที่ได้ท่องเที่ยว ดีใจที่ได้พบโลกใหม่ และคงไม่ได้คิดว่าจะไม่ได้กลับไปสู่อ้อมอกแม่อย่างปกติอีก เมื่อพวกมันมารู้ตัวอีกทีก็ถึงคราวเฉาใกล้สิ้นชีพเสียแล้ว

          ด้วยความเห็นแก่ตัว ต้องการความงามนั้นมาเชยชม ลืมไปว่านอกจากวันข้างหน้าดอกไม้จะโรยราไป เหลือไว้แต่ซากดำ และกลิ่นเน่าเหม็นของน้ำในแจกัน ขั้วที่ผมออกแรงกดคมมีดเฉือนลงไปให้มันขาดสะบั้นนั้นจะเจ็บเพียงใด หลายครั้งที่หวนกลับไปดูกลับพบว่าต้นขั้วเหล่านั้นไม่คงสภาพความสดอีกแล้ว เหลือไว้เพียงกิ่งก้านแห้ง ๆ คอยแรงลม และแบคทีเรียมาทำลาย

 

          ไม่รู้อะไรทำให้ผมย้อนคำนึงไปไกลเกินกว่าจะฉุดรั้ง ทั้ง ๆ ที่เพียงก้าวเท้าออกนอกบริเวณจะพบเส้นทางสู่ความรื่นเริง ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเส้นไหน ถึงกุหลาบในแจกันไม่เหลือความงามไว้ให้ชม กลิ่นที่เคยหอมกลับกลายเป็นกลิ่นอับ ผมก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนหรือทำลายมันไปให้พ้นสายตา อยากเก็บซากนั้นเอาไว้เตือนใจ

          หลายครั้งที่ต้องสูญเสียสิ่งที่คาดหวัง รวมทั้งสิ่งที่มั่นใจว่าจะได้ กลับล้มครืนลงมาเหมือนปราสาททรายหลังเล็กโดนคลื่นกระทบเพียงสาดเดียว แม้กองทรายยังคงอยู่เป็นเนินเตี้ย ๆ แต่ความเป็นปราสาทหนีหายไปพร้อมมือทำลายเสียแล้ว เด็กน้อยในครรภ์เลือดเนื้อที่กำลังสร้างความเป็นคนเริ่มส่งสัญญาณให้ผมรู้ว่าเขาหรือเธอกำลังจะจากไปโดยไม่สร้างโอกาสให้ผมได้ชื่นชม แม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้น  

          เสียงร่ำไห้ของฝ่ายที่เด็กน้อยมาขอพักพิงหลั่งน้ำตาตัดพ้อผมทุกวันขึ้นอยู่กับว่าเธอจะคิดอะไรโทษผมได้ ไม่มีอะไรจะพูดมันสับสนไปหมด รับรู้ได้ว่ามีหลายเสียงดังอยู่ในหัวแต่ไม่ได้ยินสิ่งใด เมื่อสบโอกาสผมยังคงเป็นผมคนเดิมในสายตาเพื่อน ๆ เสียงหัวเราะที่ออกมาจากลำคอสวนทางกับเครื่องดื่มที่สาดเทเข้าไปอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีน้ำตาแต่น้ำลายยังฝอยทุกขณะ การปรับทุกข์ไม่เกิดขึ้นถึงต้องการจะทำก็ตาม มันไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เสียใจกับความทุกข์ของต้นขั้ว และดอกใจของผมที่กำลังผลิดอกถูกใครที่ไหนก็ไม่รู้เฉือนออกไป มันเร็วเกินไป เร็วกว่าดอกกุหลาบในแจกันเสียอีก เร็วในหลาย ๆ ด้าน จนกลายเป็นความเลวของมือที่พรากความงามนั้นไปจากผม

          ด้วยความนิ่งเฉย กับอาการที่ไม่เปลี่ยนแปลงมักเป็นต้นตอของปากเสียงเสมอ แต่ความขัดแย้งที่เกิดเพียงอึดใจเพราะผมไม่รู้จะโต้กลับอย่างไร คำด่าทอหรือตัดพ้อ แรงพอควรหากเทียบกับคำสามัญ แรงทั้งความหมายและน้ำเสียง มันกระแทกเข้าโสตประสาทอย่างแรงเจ็บแปลบถึงทรวงแต่กลับเงียบหายไปเมื่อมันผ่านเข้าไปส่วนใน

 

************

 

          เก้าอี้พลาสติกสีเขียว 4 ตัวติดกัน จำนวนหนึ่งแถว หน้าห้องทำคลอดชั้นสองของโรงพยาบาล และคนสองคนนั่งกันคนละฝั่งหัวท้าย อีกคนกระวนกระวายใจลุกขึ้นลุกนั่งอย่างไม่เป็นสุข แต่ดวงตาเต็มปลื้ม ชะเง้อคอพยายามมองคนรักและลูกน้อยที่ได้กำหนดมองดูโลกในสายวันนี้อย่างจดจ่อ กับอีกคนคือผมที่นั่งเงียบผลรู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อย ไม่มีโอกาสได้มองดูโลก มันเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง ความกังวลในความหวัง และความเงียบสงบของความสิ้นหวัง อยู่ใกล้กันเพียงเก้าอี้นั่งสองตัว

          คนที่รอคอยวันจะเป็นแม่ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ต้องหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อก้อนเลือดสีแดงหลุดออกมากองแหมะในชักโครก เธอทำอะไรไม่ถูกยืนสั่นเหมือนลูกนกถูกฝน เพราะเข้าใจดีว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ผมรีบกระโจนเข้าหา สิ่งที่เห็นเพียงชั่ววูบยังฝังรากในเบื้องลึกของจิตใจ เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นน้ำจากชักโครกทำงาน เสียงโครกคราก กระชากก้อนเลือดก้อนนั้นหมุนเป็นน้ำวนดิ่งลงบ่อปฏิกูลเบื้องล่างพื้นดิน

          “กดมันทิ้งทำไม กดมันทิ้งทำไม” เสียงต่อว่าพร้อมกับการสะอื้นร้องไห้ของเธอ

          ผมไม่ตอบโต้โอบร่างที่สั่นเทาด้วยความเสียใจกลับมานอนพักผ่อนบนเตียงอ่อนนุ่ม และโทรศัพท์นัดหมอเพื่อขูดชิ้นส่วนก้อนเลือดที่เริ่มเป็นเนื้อเป็นร่าง ซึ่งยังคงค้างติดผนังที่เขาหรือเธอมาขออาศัยพึ่งพิงเพียงชั่วคราว แรงดึงของเงื้อมมือแห่งความตายนั้นรุนแรง รุนแรงจนหนูน้อยไม่อาจทานทน ชิ้นเนื้อบางส่วนยังคงยึดติดผนังอย่างแนบแน่น เพื่อความปลอดภัยของต้นขั้วที่ถูกปลิด ดอกไม้อันแสนงามไปแล้วจะอยู่อย่างปลอดภัยต่อไปก็คงต้องทำความสะอาดบาดแผลเสียก่อน เผื่ออนาคตวันข้างหน้าเขาหรือเธอคิดถึง หรือหมดกรรมเวรจะกลับมาพักพิงอีกครั้ง ถ้าแหล่งพำนักแห่งนี้ยังคงเป็นที่อาศัยได้ดีพอ

          “เรามีลูกกันอีกนะ” คำกล่าวของเธอลอยออกมาจากปากอย่างแผ่วเบาหลังจากที่นอนนิ่งเรียกสติมาได้ดีพอ มันเป็นคนละคำกับครั้งแรกที่เธอเคยบอก “เรามีลูกกันนะ” ความหมายมันช่างไม่ห่างกันเลย แม้ผมจะเคยบอกว่า “เราอย่ามีลูกกันเลย ถ้าเหงาจริง ๆ ก็ไปรับเด็กกำพร้ามาเลี้ยงกันดีกว่า เด็กที่เกิดมาในโลกของความโสมมแห่งนี้แล้ว อีกหลายพันคนที่ต้องการคนดูแลเลี้ยงดู เอาใจใส่และนำพาพวกเขาไปพบแสงสว่าง ส่วนเด็กที่ยังไม่เกิด เราจะพรากเขามาจากสรวงสวรรค์อันงามวิไล มาสู่ความสกปรกของโลกอนาคตนั้นหรือ เธอลองคิดดูสิขนาดเราสองคนเป็นเด็กและโตมาขนาดนี้ปัญหามากมายที่เข้ามา มือมารกี่พันคู่ที่คอยชักจูงไปในทางไม่ดี เรามาช่วยกันทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นจะดีกว่าสร้างใหม่ไหมล่ะ”

          เป็นธรรมดาที่ผมจะได้รับการปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผล เธออ้างว่าเราทั้งคู่อาจจะไม่ให้ความรักแก่เด็กที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขดีพอ และเผลอ ๆ อาจมีลูกอิจฉาหลงเข้ามาเหมือนเพื่อนบ้านหลาย ๆ คนก็เป็นได้ และที่สำคัญ ทำให้ผมจำยอมเธอ และเริ่มมีลูกด้วยกันคือ สันดานดิบของแต่ละคนมีการตกทอดเป็นมรดกทางพันธุกรรม ต่อให้เราเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนดีเพียงใด ก็ไม่อาจลบล้างนิสัยดั้งเดิมนั้นได้ เมื่อถึงคราวขึ้นมาจริง ๆ เราก็จะโทษว่า ‘ไม่น่าเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงเลย’

          “แล้วถ้าลูกของเรามีสันดานเลวทรามอย่างมโหฬารล่ะ” ผมแกล้งแย้ง แต่เธอกลับตอบอย่างสัญชาตญาณความเป็นแม่ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เป็น

          “ก็มันลูกเรา”

 

          เตียงนอนถูกเข็นออกมาแล้ว ไม่มีเด็ก !

 

          เขาคนนั้นวิ่งหราออกไปรับ ทั้งคนบนเตียงและเขายิ้มร่าให้กัน แม้รอยยิ้มของเธอบนเตียงจะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนแรงเต็มที แต่ก็เป็นรอยยิ้มของความเป็นสุข รอยยิ้มของการยกภูเขาออกจากตัว หลังจากที่แบกและดูแลเป็นอย่างดีมา 9 เดือนเต็ม เสียงของหมอบอกว่า “เด็กแข็งแรงดี เป็นผู้ชาย เดี๋ยวพยาบาลจะเข็นเตียงเด็กตามออกมา แล้วพาไปห้องพักฟื้น”

          ผมลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เดินลงบันไดไปข้างล่าง เป้าหมายคือห้องน้ำ เข้าไปให้นาน นานพอที่สมาชิกใหม่ของประเทศไทย หรือของโลก หรือของมวลมนุษยชาติ จะผ่านจุดที่ผมเห็นได้ถนัดตา

          แม้ว่าการปฏิสนธิในครั้งนี้จะเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ค่อยเต็มใจเท่าที่ควร แต่เมื่อมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา สิ่งที่มีอยู่ในหัวคือความรัก เฝ้าคอยวันที่จะให้เขาหรือเธอมองดูโลก ตั้งเป้าหมายหลายร้อยพันอย่างที่ตัวเองไม่เคยได้รับสมัยเป็นเด็ก หาแนวทางแก้ไขไม่ให้ลูกน้อยคบค้าสมาคมกับผีห่าซาตานบนโลกมนุษย์ แต่เอาเข้าจริงพวกมันกลับแย่งผมไปเร็วกว่าที่ผมกลัวเสียอีก

          อีกไม่นานเธอคงออกมา ออกมากับรอยยิ้มที่เหน็ดเหนื่อย เพียงแค่ไม่ใช่รอยยิ้มอย่างที่ผู้หญิงคนก่อนหน้านี้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ต้องการกำลังใจ

 

........................................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์