เรื่องสั้น : ผีถ้วยแก้ว : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย
เรื่องสั้น : ผีถ้วยแก้ว : ไพรัตน์ ยิ้มวิลัย
ฉันกำลังยุ่งกับผีทั้งที่ไม่เชื่อ ความจริงคือทุกคนใช่จะปฏิเสธปรากฏการณ์ลี้ลับอธิบายไม่ได้จนหมดจด การข้องแวะสิ่งเหนือธรรมชาติหนนี้มาจากเหตุการณ์เกิดกับเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่ง
เมื่อก่อนก๊วนของเรามีห้าคน ประกอบด้วยตัวฉันชื่อหนึ่ง เพื่อนที่เหลือได้แก่สอง สาม สี่ แล้วก็ห้า ล้วนเป็นชื่อจอมปลอมอุปโลกน์แทนตัวจริงเสียงจริงเพื่อเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ พวกเราสนิทกันก็เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนี่แหละ ต่างคนต่างมา มิได้รู้จักหรือเรียนมัธยมด้วยกันมาก่อน ในช่วงชีวิตเราบางครั้งผู้คนก็คลิกกันได้ง่าย ๆ เพียงสบสายตา ไม่ต้องอาศัยวีรกรรมอะไรให้วุ่นวาย ฉันกับเพื่อนในก๊วนเป็นตัวอย่าง ถ้ามีใครสักคนถามว่าพวกเราคบกันได้ยังไง ฉันคงให้คำตอบได้เพียงว่าพวกเราเป็นนักศึกษาคณะเดียวกัน นอกจากช่วยกันเรื่องเรียน เรามีกิจกรรมนอกตำราจำพวกปาร์ตี้สังสรรค์ ดูหนังโรง เดินห้าง แวะซื้อของตลาดนัดหน้ามอ สั่งพิซซาหนึ่งแถมหนึ่งมานั่งกินในหอเป็นกิจวัตรปกติ เรื่องพิเศษกว่านั้นคือเมื่อถึงช่วงปิดเทอมก็ตะลอนต่างจังหวัดค้างคืนกัน
ครั้งล่าสุดพวกเราเลือกไปเที่ยวน้ำตก กระโดดน้ำสบายใจ หัวเราะก้องไม่เกรงใจสัตว์ประจำถิ่นเลยสักนิด ฉันว่าพวกเราดีอยู่อย่างตรงที่ไม่ใช่คอเหล้าเขมือบแอลกอฮอล์แก้วต่อแก้ว แต่เรื่องเล่นไพ่นั้นมิอาจปฏิเสธ นั่งจั่วกันดึกดื่น รุ่งเช้าเหลือแรงมากพอลุกมาชมตะวันอวดโฉมเหนือยอดไม้ได้ทุกคน แล้วก็เฮโลสู่ธารน้ำตรงน้ำตกเย็นฉ่ำตามตั้งใจ วันดี ๆ แบบนั้นกลับกลายเป็นวันที่พวกเราไม่ต้องการระลึกถึงแต่ยากลืมเลือนเมื่อมีเรื่องไม่คาดฝันเข้ามากระทบจิตใจพวกเราสี่คนฝังแน่นจนวินาทีนี้
ห้าจมน้ำตาย
ด้วยความบ้าระห่ำทำให้เราชวนกันออกไปเล่นน้ำก่อนพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่สะทกสะท้านต่ออากาศอุณหภูมิต่ำจนเกิดเรื่องเลวร้าย พวกเรารู้ดีว่าการจากไปของห้าไม่ใช่ความผิดของใครโดยเฉพาะ ใจคนอื่นเป็นยังไงฉันบอกไม่ได้แจ่มแจ้ง ส่วนตัวเองเอาแต่สงสัยว่าในวันนั้นฉันทำดีที่สุดแล้วหรือยังเพื่อป้องกันหรือยื้อลมหายใจของห้าเอาไว้ ร่างผอมเพรียวมืดมัวของห้าเปียกปอนเย็นยะเยือกเกินกว่าคนที่เล่นน้ำเป็นชั่วโมง ไม่ผิดกับปลานิลฉุนคาวยัดเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง เสียงน้ำจากเบื้องสูงกระทบโขดหินเบื้องล่างครั่นครืนกลืนอาการคร่ำครวญของพวกเราสนิทจนไม่ทันเห็นแสงตะวันแย้มกราย น้ำตาไหลลงคอขมเค็มเหลือเกิน คืนก่อนหน้าห้ายังพูดกับฉันอยู่เลยว่าถ้าปุบปับไม่ได้เจอกันคงเสียดายน่าดู เป็นไปได้ก็อยากฝากข้อความถึงเพื่อนร่วมก๊วน ฉันเอ็ดมันว่าพูดอะไรไร้สาระ หลังเกิดเรื่อง ความคิดว่าห้ามีลางบอกเหตุหมุนเคว้งอยู่ในสมองฉันแต่มิกล้าเอื้อนเอ่ยให้เพื่อนที่เหลือร่วมรับรู้ มันคงแค่บังเอิญเสียมากกว่า ไม่มีความจำเป็นต้องบอกออกไปให้หวาดกลัว
เสร็จงานศพห้า พวกเราสี่คนแทบไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ไม่มีนัดไปไหนด้วยกันอีก พอปะเจอตัวก็แค่พยักหน้าหมองสนทนา ฉันอึดอัดการแสดงออกของพวกเราเหลือเกิน มันคล้ายกับว่าพวกเราแช่ตัวอยู่ในเงาดำของรัตติกาล ราวกับทุกวินาทีคือช่วงสุริยคราส ชัดเจนว่าแต่ละคนเลือกฝังอยู่กับฉากกรีดใจในน้ำตกนั่นเพียงลำพัง ในเวลาส่วนตัวฉันอาศัยโน้ตบุ๊กเปิดภาพท่องเที่ยวของพวกเรามาทบทวน คลิกซูมดึงใบหน้าของห้าขึ้นมาเต็มจอ ดวงตาดำเหมือนอวกาศคู่นั้นตรึงทุกคนได้อย่างเด็ดขาด ฉันเคยพูดให้เจ้าตัวฟังว่าเห็นปากห้าแล้วนึกถึงผลราสเบอรี่ลูกแรกที่คนจะหยิบขึ้นกัดกิน ฉันถามตัวเองว่าการจมจ่อมคิดถึงห้าเป็นสิ่งเหมาะควรทำในยามนี้จริงหรือ เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ต้องอาศัยเวลาช่วยบรรเทา แถมพวกเรายังอ่อนโลกเกินกว่าจะซึมซับคำสอนตามศาสนาได้ แต่ฉันไม่อยากอยู่กับการสูญเสียเพื่อนจนหยุดกิจกรรมปกติของก๊วน ทว่ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยปลุกใจทุกคนอย่างไรดี จนไปไล่ดูหนังออนไลน์แบบไม่เสียงตังค์ผ่าน ๆ แล้วเจอหนังผีที่มีอุยจาบอร์ดเข้าให้ ข้างในฉันเหมือนมีน้ำอุ่นเอ่อท่วม ลิ้นเลียปาก คิ้วม้วนตัว ถลันไปคว้าสมาร์ตโฟนส่งข้อความเข้าไปในไลน์กลุ่ม หวังว่าพวกมันยังไม่นอน
ฉัน : อยากคุยกับห้าว่ะ
สอง : หมายความว่าไง
สาม : ???
สี่ : คิดถึงมันอะดิ เออคิดเหมือนกัน
ฉัน : ไม่ใช่อย่างนั้น แบบว่าอยากคุยกับมันเป็นเรื่องเป็นราว
สาม : อะไรของแก
ฉันสูดหายใจแรง โย้ตัวบนเก้าอี้ มันร้องเอียดออด ความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในเรื่องผีสางซ่อนอยู่ในกลุ่มก๊วนของฉัน ไอเดียผุดพรายกลางสมองยามนี้อาจไม่เข้าหูสมาชิกในกลุ่มเลยก็เป็นได้ แต่ฉันจะปล่อยให้ทุกคนเก็บความรู้สึกอัดแน่นอยู่ในตัวเหมือนหม้อต้มน้ำไร้ช่องเปิดไม่ได้เช่นกัน
ฉัน : พวกแกว่าวิญญาณของห้ายังอยู่กับเราไหม
เพื่อนที่เหลืออ่านข้อความของฉันพร้อมเพรียง คงกำลังทำความเข้าใจ สุดท้ายมีคนตอบสนอง
สาม : แกมองข้างหลังแล้วยัง
สี่ : พูดบ้า ๆ
สอง : ไม่เอาสิ อย่าเอาเพื่อนมาล้อเล่น
ฉัน : ฉันพูดจริงนะ ห้ามันปุบปับไปอย่างนั้น ไม่ได้ร่ำลาพวกเราเลย
สาม : แกคิดว่ามันยังมีห่วงงั้นสิ
ฉัน : ก็ทำนองนั้น บางทีห้าอยากคุยกับเราเป็นครั้งสุดท้าย
ตัวอักขระเล็ก ๆ ขึ้นว่าอ่านแล้วหนึ่ง สอง สาม ทุกคนยังอยู่กับฉัน แต่ไม่มีใครตอบกลับมา ฉันลุกจากเก้าอี้ จิกปลายเท้าไปยังหน้าต่าง เบื้องนอกมืดตื๋อแม้มีไฟถนนส่องแสงประกายแฉกออกมา เห็นแล้วใจกระหวัดไปถึงดวงตาของภูติพรายทั้งที่ไม่เคยเห็นตัวจริงสักครั้ง ปากเม้มแน่นเป็นนาทีก่อนคลายตัว ฉันสะบัดนิ้วบนหน้าจอสมาร์ตโฟน
ฉัน : พวกแกไม่อยากคุยกับมันเหรอวะ ไม่อยากบอกลาห้ากันหรือไง ฉันอยากนะ
สอง : ก็อยากอยู่หรอก แต่ทำไงได้เล่า
ฉัน : มันมีช่องทางสื่อสารกับวิญญาณอยู่นี่นา ผีถ้วยแก้วไง
สาม : เชี่ย
สี่ : เพี้ยนไรเนี่ย ผีถ้วยแก้วมันเรื่องจริงตรงไหน ในกลุ่มเรา แกเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติน้อยสุดด้วยซ้ำ
ฉัน : สถานการณ์มันเปลี่ยนไป อีกอย่างเรื่องแบบนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้ทั้งนั้นแหละว่าจริงไม่จริง สู้ลองดูกันสักตั้งให้รู้เรื่องไปเลยดีไหม
ไลน์เงียบไปนานเลย ฉันเกาหัว นิ้วตีปาก ทิ้งมือถือบนเตียง เดินกอดอกไปมา สลับกับหยุดเตะปลายเท้าบนพื้นเงามัน หน้าอกกระเพื่อมแรง กลิ่นน้ำค้างแล่นผ่านโพรงจมูกจนแสบ สายตายังจ้องมองไฟแฉกแทรกผ่านใบไม้ไหวเอนเป็นระยะ ทุกคนพอรู้ว่าผีถ้วยแก้วเล่นยังไง แค่เขียนตัวหนังสือกับตัวเลขลงแผ่นกระดาษ มีคำว่า ‘ใช่’ ‘ไม่ใช่’ ทำช่องบ้านให้พัก เอาควันธูปใส่แก้วแล้วเชิญวิญญาณมาคุย แตะนิ้วบนก้นแก้ว รอวิญญาณย้ายแก้วโต้ตอบ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามันทำจริงได้ไหม นักวิทยาศาสตร์บอกว่าจิตใต้สำนึกของเราเองนั่นแหละส่งคำสั่งไปยังปลายนิ้วให้ออกแรงผลักเคลื่อนย้ายแก้วโดยไม่รู้ตัว บางทีคนร่วมเล่นเองด้วยซ้ำจงใจใส่แรงย้ายแก้วตบตาให้ตื่นกลัว อุยจาบอร์ดของฝรั่งก็คงทำนองเดียวกัน ฉันไม่แคร์ว่าแก้วจะวิ่งด้วยปัจจัยใด ขอแค่ทุกคนเห็นด้วยแล้วพร้อมใจมาเชิญวิญญาณของห้าเพื่อพูดคุยบอกลาก็พอ
มือถือร้อง ฉันสืบเท้าไปหา
สอง : เราเอาด้วย หนึ่งนัดวันเลย
สี่ : ลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหายอะไรเนอะ
สาม : โอเช
ฉันพยักหน้าเมื่อเพื่อนเห็นดีด้วย
จำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนอยู่ประถมปลาย เคยแอบเล่นผีถ้วยแก้วในโรงเรียน ตอนนั้นบ่ายแก่แล้ว อากาศเย็น ฟ้ามัวซ่อนดวงอาทิตย์ไว้ตรงไหนสักแห่ง ฉันกับเพื่อนย่องไปห้องว่างข้าง ๆ ที่ครูยังไม่จัดการเป็นเรื่องเป็นราว มีโต๊ะนักเรียนซ้อนกันเกะกะร่วมกับของรอทิ้งชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฝุ่นเขรอะตรงขาโต๊ะนอนหงายกะเท่เร่ เศษกระดาษตกบนพื้นห้อง ฉันกับเพื่อนลองเล่นแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวตามประสาเด็กน้อย แก้วเดินตอบคำถามพวกเรา ไม่รู้บังเอิญไหม พอเชิญวิญญาณออก ประตูบานใหญ่ปิดกั้นไม่ให้ใครเข้ามาก็แง้มเปิดออกพอดี เล่นเอาพวกเราวิ่งหัวร่อกันกระเจิง ประสบการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ทำให้ฉันหลงเชื่อว่าวิญญาณมีจริง
การคุยกับวิญญาณห้ารอบนี้ ฉันหว่านล้อมชวนก๊วนรวมตัวกันในมหาวิทยาลัยช่วงเวลาเดียวกับที่ห้าเสียชีวิต อ้างเหตุผลว่าคงสื่อสารกับวิญญาณห้าได้สะดวกที่สุด ทำเลลับตาคนในสถานศึกษาหาง่ายจะตายไป มั่นใจได้ว่าไม่มีใครมากวนแน่ เมื่อปราศจากคนรบกวน แต่ละคนต่างลูบแขนชำเลืองเข้าไปในความมืดอันเยียบเย็น ความเย็นอันแผกผิดไปจากไอเครื่องปรับอากาศ แต่หนาวซ่านอยู่ในไขกระดูก
“นี่ เอาจริงแน่นะ”
สองลูบผมเส้นยาวพาดบนเนินอกเบา ๆ ตาส่ายมองสำรวจรอบข้างแบบไม่เจาะจง หน้าไร้สีเลือดเห็นได้ชัด
“แกเห็นด้วยคนแรกเลยนะ มาถึงขั้นนี้แล้วจะปอดอะไรเล่า”
“ใครจะบ้าดีเดือดเหมือนแกล่ะไอ้สาม”
“เอาน่า ไม่มีอะไรหรอก พวกเราแค่อยากคุยบอกลาห้าก็แค่นั้น ฉันรู้นะว่าทุกคนรู้สึกยังไง ต่างก็ค้างคาอยากพูดกับห้าเหมือนกันแหละ นางก็คงอยากคุยกับพวกเราเหมือนกัน งั้นก็ตั้งใจเรียกวิญญาณห้ากันดี ๆ เถอะ”
ฉันนึกถึงวลีคุยกับห้าในคืนสุดท้ายก่อนเกิดเหตุ
กระดาษสีขาวแผ่นใหญ่เขียนตัวหนังสือไว้เรียบร้อย แก้วใสแจ๋ว ธูปใหม่หนึ่งห่อ ไม้ขีดกลักหนึ่ง พอวางทุกอย่างลงกลางโต๊ะทุกคนเครียดขึงทันที ไฟอาคารตรงโต๊ะของเราอ่อนล้า ปลายฝั่งหนึ่งมีเส้นใยสีขาวขุ่นของเจ้าตัวขายาวกำลังโหย่งย่ำเป็นจังหวะ ซากแมลงโดนพันเก็บไว้รอเจ้าของเส้นใยดูดกิน นอกห้องแสงกะพริบติดดับปราศจากท่วงทำนองแน่นอน ระเบียงชานได้ยินนกเผลอตีปีกพึ่บพับหนาหนัก เสียงแหลมของจิ้งหรีดดังแทรกเข้ามา ห้องร้างคนทั้งอับ ทั้งฉุน สาบจางเหมือนซากหนูตายตรงมุมห้องที่โต๊ะเก่าโดนดันเบียดกันติดผนังปูนสีเทาตุ่น
ฉันดำเนินการตามอย่างอ่านจากเว็บไซต์ ไม่ห่วงเลยว่าจะผิดวิถีอย่างคนอื่นทำหรือเปล่า ควันสีเขม่าอบอวลม้วนตัวอยู่ในแก้วใบน้อยคว่ำปากอยู่กลางวง
“ห้าเพื่อนรัก ถ้าแกอยู่ตรงนี้ก็เข้ามานะ ถ้ามาแล้วก็บอกกันด้วย”
“มันต้องมีคาถาเชิญไม่ใช่หรือวะ”
ฉันครางเข้ม สองยกนิ้วชี้จ่อปากบอกให้สามเงียบ สี่กระแอม ก็จริงอยู่ว่าตามวิธีเป็นทางการต้องมีคำเรียกเชิญเป็นเรื่องเป็นราว ฉันไม่ใส่ใจกระไรนัก คืนนี้พิธีการนั้นไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง ทุกคนโย้ตัวเข้าหากัน ก้มมองปฏิกิริยาของแก้ว ปลายนิ้วชี้สี่ข้างแตะบนนั้น ฉันรู้สึกถึงของเหลวผุดตรงรอยต่อระหว่างผิวหนังกับเนื้อแก้ว
ตุ๊กแกร้องตอบมาจากด้านหลังจนสองสะดุ้ง สามกับสี่ถอนใจก่อนหัวเราะแห้ง ๆ ฉันเพ่งสมาธิกับผีถ้วยแก้วที่กำลังดำเนินอยู่ อึดใจเดียว หนังตาฉันกะพริบถี่
แก้วใบน้อยกำลังเดินไปบนแผ่นกระดาษ
“ใครแกล้งเปล่า ไม่เอานะ”
“เราเปล่าดัน”
มองตาสลับกันไปมา ฉันทำคอเหนียวน้ำลายให้โล่ง ขยับท่านั่งจนสบายตัว เอ่ยปากถามว่าใช่ห้าหรือเปล่า แก้วตอบว่าใช่ ฉันหนาวจับใจ สองขยับตัวเบียดสี่ สามเผยอปาก
ฉันควรคุยกับเพื่อนอย่างไรดี
ปัญหานั้นคลี่คลายรวดเร็วเรียบง่าย เพื่อนสามคนในก๊วนเลือกเป็นตัวแทนสื่อสารกับห้าแทบจะทันทีหลังเห็นแก้วขยับได้อย่างพิศวง ฉันอ่านทุกคน สภาพแสงไม่สมบูรณ์เท่าไรนักกลับมีประกายวิบวับในหกตาของเพื่อนโดยเฉพาะสามที่ยามนี้เลือกเก็บอาการให้สงบไม่แสดงท่าทียียวนกวนประสาทเช่นที่ทำเป็นประจำ ชายเสื้อเชิ้ตด้านหนึ่งพับเปิดเห็นท้องขาวตัดกับกางเกงสีเข้ม มีรอยยิ้มตรงมุมปากของเขาด้วยซ้ำ เห็นแบบนี้ก็เบาใจไปบ้าง จากความคิดไร้สาระดูท่าจะได้เรื่องเสียแล้ว
“ห้าเป็นไงมั่ง อยู่ทางนั้นยังหนาวอยู่ไหม”
สองเงอะงะปากกระตุกระหว่างเอ่ยวาจา นึกไม่ถึงว่าเธอเลือกถามความรู้สึกของเพื่อนที่อยู่คนละภพ นางคงคิดว่าห้าเหน็บหนาวเพราะจบชีวิตในน้ำนั่นแหละ
ฉันตั้งมั่นเพ่งพลังผ่านมือไปยังก้นแก้ว ไออุ่นจากนิ้วเพื่อนกระทบข้อแรกของนิ้วชี้ บางนิ้วตรงนั้นสั่นไหวแล้วหยุดนิ่งพร้อมเสียงลมหายใจ แก้วกระตุกแล้วไถลไปตามตัวอักษรที่ฉันบรรจงเขียนมันด้วยหมึกถาวรสีน้ำเงินเข้ม
ยาวนานทีเดียวกว่าห้าอธิบายสภาพตัวเองเสร็จ ไหล่ฉันเกร็งจนปวดหนึบ ไม่นึกมาก่อนว่าจะเจออุปสรรคนี้ในการคุยกับวิญญาณห้า ก็พวกเราเล่นถามเรื่องยากต่อการสื่อสารเสียขนาดนั้น เอาเถอะ ทุกคนดูสบายใจทีเดียวเมื่อรู้ว่าห้าไม่ได้สั่นสะท้านด้วยอุณหภูมิต่ำกระไรนักแล้ว เธอยังบอกด้วยว่าที่จริงแทบไม่รู้สึกอะไรพวกนั้นเลย
“มีอะไรอยากบอกพวกเราไหม”
ฉันรวบรัดเข้าประเด็นตามตั้งใจแต่แรก เพื่อนร่วมก๊วนครางสนับสนุน ทุกคนอยากได้ยินห้าสั่งเสีย กระทั่งชีวิตนอกตัวอาคารยามนี้ยังสงัดแอบฟังถ้อยวลีของดวงวิญญาณหญิงผู้ลาลับ ละอองควันในแก้วอ้อยอิ่งประหนึ่งใคร่ครวญความในใจ
แก้วเลื่อนเร็วดุจนักวิ่งไปที่คำว่า ‘ไม่’ นิ่งค้างวินาทีหนึ่งก่อนเลื่อนไปหาแถวสระ หยุดตรงสระเอ ย้ายต่อเนื่องไปสู่ ศอศาลา รอเรือ สระอา ไม้โท แล้ววิ่งกลับเข้าบ้าน
“ไม่เศร้าเหรอ ห้าบอกว่าไม่เศร้าใช่ไหม หมายความว่าไง”
ฉันมองสี่ ปากเขาซีด หน้าผากขมวดมุ่น นิ้วสะกิดริมปาก
“ห้าจะบอกให้พวกเราไม่ต้องเศร้าหรือเปล่า เรารู้สึกแบบนั้นอยู่เลยนะ เอาจริงก็ตลอดเวลาด้วยซ้ำ พวกเธอรู้สึกแบบเดียวกันใช่ไหม เป็นเหมือนเราไหมอะ เวลาไปไหนก็เห็นแต่ของที่ห้าชอบ ร้านที่เข้าบ่อย ๆ ของกินประจำ เรายืนนิ่งตัวเบาแทบก้าวขาไม่ออกเลยเวลาเจอสิ่งที่ห้าเคยสนใจ”
สำเนียงของสองพลิ้วไหวไม่มั่นคงเท่าไร สามกับสี่เลิกคิ้ว ฉันก็คิดเหมือนสองนั่นแหละ
แก้วขยับอีกแล้ว แขนฉันยืด หด หักทำมุม สายตาจับจ้องตัวอักษรประสมเป็นวลีสนทนากับเรา
“เดินหน้า ห้าจะให้พวกเราเดินหน้าต่อไปใช่ไหม ไม่ให้กังวลถึงเธองั้นสินะ”
ห้ายังคุยกับเราต่อ รอ หันอากาศ กอ
“พวกเราก็รักแกว่ะ ห้า เหงาชิบเป๋งพอแกไม่อยู่ ไม่มีคนให้แหย่แล้วเข้าใจเลยว่าฉันรักแกแค่ไหน เสียใจโว้ยที่ช่วยแกไม่ได้ ฉันไม่มีทางลืมแกแน่”
ขนาดสามยังกลั้นธารน้ำไม่อยู่ มันปริ่มในบ่อตาของเขา
“แกสบายใจได้นะ ไม่ต้องห่วงอะไร พวกเราอยู่กันได้ รักแกด้วยอีกคน”
“คิดถึงห้ามากนะ ขอบคุณที่กลับมา เรารักเธอ”
สองคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม เธอเพียงแค่ยอมให้ก้อนสะอื้นซึมออกจากลำคอ มือว่างอีกข้างปิดปาก ตัวสั่นเทิ้มโน้มพิงไหล่สี่ เขาโอบเธอไว้มั่นคง ทุกคนคายสิ่งคั่งค้างในใจออกมา ก้อนน้ำหนักไร้ตัวตนตรงหน้าอกของฉันอันตรธานไปพร้อมกับเพื่อนร่วมก๊วน
“เธอเป็นเพื่อนที่ดีจริง ๆ”
ผีถ้วยแก้วครั้งนี้ได้ผลอย่างที่ฉันคาดหวัง ทุกคนปลดเปลื้องเรื่องราวหม่นหมองในความรู้สึกออกมาหมดตัว หยาดน้ำไหลแล้วแห้งสลายไปในเนื้อแก้ม ราหูคืนดวงอาทิตย์กลางใจออกมาส่องสว่างอีกครั้ง ก๊วนเราคงกลับไปเป็นเหมือนก่อนหน้าได้เสียที ฉันจัดการบอกกล่าวเชิญห้าออกจากแก้ว ปล่อยให้วิญญาณของเธอล่องลอยไปกับไอควันตามทางเธอประสงค์ เสียงหัวเราะสดใสเกิดขึ้นในวงเป็นครั้งแรกหลังเหตุการณ์ตรงน้ำตก มันยังไม่ก้องกังวานเสียทีเดียวแต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ฉันไม่ได้ศึกษาจิตวิทยาอะไรลึกซึ้ง ทำได้เพียงอนุมานเอาเองว่าก้าวแรกเพื่อพาเราเดินหน้าต่อก็ต้องเริ่มจากการยอมรับแล้วยกโทษให้ตัวเองเหมือนที่เห็นจากการบำบัดกลุ่มในหนังหลายเรื่อง ก๊วนเราผ่านจุดนั้นแล้วเมื่อได้ระบายความรู้สึกผิดในใจให้กับห้าผู้ไร้ตัวตน
ผีถ้วยแก้วเป็นแค่เครื่องมือปลดมาตรการป้องตัวเองของคนในก๊วน ผู้ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติคงบอกว่าพวกเราอยู่ในช่วงเวลามืดหม่นจนสั่งให้แก้วเลื่อนไหลไปเอง ข้อความจากห้าก็แค่ความหมายในจิตใต้สำนึกที่พวกเราอยากเอ่ยให้ทุกคนรู้
ฉันบิดหัวไหล่ที่ปวดหนึบอยู่นานให้ผ่อนคลาย ยกนิ้วชี้ตัวเองขึ้นดู
สำหรับนักวิชาการก็ต้องให้เหตุผลไปเยี่ยงนั้นแหละ ส่วนคนหลงใหลวิญญาณน่าจะส่ายหน้าเห็นต่างย้ำว่าวิญญาณเพื่อนรักที่จากไปกลับมาคุยเป็นครั้งสุดท้ายจริงด้วยยังคงติดค้างผูกพันกับโลกใบนี้ พิสูจน์ไม่ได้ทั้งสองคำอธิบายนั่นแหละ แต่ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งคือแรงผลักดันให้แก้วใบน้อยขยับไปมาบนแผ่นกระดาษประดับตัวอักขระด้วยเจตนาจากภายนอก ฉันเสียใจกับการจากไปกะทันหันของห้า เพื่อนคนอื่นก็ด้วยเช่นกัน ฉันทนเฝ้าดูพวกเราที่เหลือหมดอาลัยสิ้นแรงแบบนั้นไม่ไหว การพูดออกมาเป็นหนทางเดียวให้เพื่อนทุกคนกลับมาเป็นเช่นเดิม แค่ฉันหาวิธีที่ใช้ได้ก็พอ
เบื้องหน้าเป็นร่างเพื่อนกำลังมุ่งเดินอาบแสงทองสดใหม่จากฟากฟ้าฝั่งตะวันออก ปราศจากค่ำคืนในจิตใจของทุกคนอีกแล้ว
ฉันจ้องนิ้วชี้ตัวเองอีกครั้ง
............................................................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”