'กาเหว่าที่บางเพลง' เราเลือกฟังเสียงไหน ในโลกที่ทุกคนร้องเพลงของตัวเอง

จากวรรณกรรมของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” สู่มิวสิคัลร่วมสมัย “กาเหว่าที่บางเพลง” ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องความแปลกแยก หากเผยให้เห็นการทำงานของรัฐ ศาสนา และความกลัว ที่ใช้ศีลธรรมเป็นเครื่องมือคัดกรองชีวิต
 
          กาเหว่าที่บางเพลง วรรณกรรมของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในฉบับละครเพลงสร้างใหม่ของคณะละครมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และนำเสนอบนเวทีรัชดาลัยเธียเตอร์ คือการย้ายวรรณกรรมไซไฟ–ปรัชญาชนบทเข้าสู่เวทีเมืองอย่างจงใจ การย้ายนี้ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนสื่อ แต่คือการเปลี่ยน ระบอบการรับรู้ จากการอ่านหน้ากระดาษเงียบ ๆ ไปสู่การสร้างรู้สึกร่วมพร้อมกันของผู้คน ผ่านเสียงร้องเสียงดนตรี การเคลื่อนไหว การจัดองค์ประกอบทางละคร ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ใหญ่และซับซ้อนมาก ละครจำลองสังคมมนุษย์ที่ต้องเผชิญความแตกต่างแล้วรีบหาวิธีเพื่อจัดการกับมันอย่างฉับไว ทั้งอำนาจแห่งรัฐ อำนาจแห่งศาสนา อำนาจวิทยาศาสตร์แห่งเหตุผล และอำนาจแห่งความกลัว โดยสิ่งที่ละครทำอย่างเฉียบคมคือ มันไม่ปล่อยให้อำนาจเหล่านั้นเป็นกลาง แต่ทำให้เราเห็นว่า คำอธิบายว่ามนุษย์ต่างดาวและมนุษย์ปกติไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทำความเข้าใจ หากเป็นเครื่องมือการเมืองการปกครอง เป็นโครงสร้างคัดกรองชีวิต เป็นวิธีทำให้ความรุนแรงดูสมเหตุสมผล และเป็นกลไกทำให้การกำจัดใครบางคนออกไปจากความปกติสุขกลายเป็นเรื่องที่คนดีย์จำนวนมากยอมรับได้โดยไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองบกพร่องล้มเหลวเหมือนกัน
 
 
 
 
 
          ชุมชนเล็ก ๆ ชื่อบางเพลงในละครเรื่องนี้ดูเป็นพื้นที่คุ้นตา มีวัด มีวันพระที่ทุกคนทำบุญกัน มีโรงเรียน มีพิธีกรรม มีการเข้าแถว มีความเชื่อ มีผู้ใหญ่ มีลำดับชั้น และมีชุดคำพูดที่ทุกคนรู้จักดีว่าอะไรคือสิ่งถูกต้อง ที่นี่ กิจกรรมแห่งอำนาจไม่ได้อยู่ในมือรัฐอย่างเดียว หากกระจายอยู่ในกิจวัตร ประโยคสั้น ๆ สายตา การซุบซิบ ตารางเรียน คำเทศน์ การทำบุญ และความเงียบของคนที่ไม่อยากมีปัญหา กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อำนาจในบางเพลงไม่ใช่เพียงสิ่งที่กดทับจากบนลงล่าง แต่มันคือบรรยากาศ เป็นนิสัยร่วม เป็นความรู้สามัญที่ทำให้ใครบางคนไม่มีที่ยืนได้โดยแทบไม่ต้องมีคำสั่งใด ๆ อยู่มาวันหนึ่ง มี เด็กประหลาด/เด็กต่างดาวมาเกิดในหมู่บ้านจำนวนมาก ทำให้เกิดคำถามเรื่องความเชื่อ ศรัทธา ความกลัว และวิธีที่คนธรรมดาใช้ศาสนากับสามัญสำนึกมาตั้งรับสิ่งที่เข้าใจไม่ได้
 
          รู้สึกได้ว่าละครเพลงเวอร์ชันใหม่นี้ไม่ได้เพียงเล่าเรื่อง ความแปลกแยก หากแต่ใช้ “ความตาย” บนเวทีเป็นภาษา เพื่อวิพากษ์ความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐ ศาสนา และการจัดการชีวิต อย่างตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่ กาเหว่าที่บางเพลง เคยถูกตีความมา
 
          ครูใหญ่ในเรื่องคือภาพแทนอำนาจแบบสถาบันที่อ้างความดี อ้างความถูกต้อง และอ้างอนาคตของชาติ เขาพูดว่าเด็กต่างดาวเก่ง ฉลาด แต่ไม่ผ่านข้อสอบวิชาหน้าที่พลเมือง ประโยคนี้สำคัญมากเพราะมันเผยตรรกะพื้นฐานของการปกครองชีวิต ต่อให้คุณเก่ง ต่อให้คุณมีคุณค่า แต่ถ้าคุณไม่ผ่านแบบทดสอบความเป็นพลเมือง คุณก็ยังถูกตัดออกจากความเป็นมนุษย์เต็มใบได้เสมอ นี่คือความรุนแรงที่มาในรูปการประเมิน เป็นความรุนแรงที่มาพร้อมไม้บรรทัด เป็นความรุนแรงที่ทำให้การกีดกันดูเป็นการบริหารจัดการอย่างมีเหตุผล เป็นภาษาของรัฐที่ไม่จำเป็นต้องตะโกน เพราะมันมีระบบการสอบ ระบบการจัดชั้น และระบบคำว่า มาตรฐาน รองรับอยู่แล้ว
 
 
 
 
          แล้วละครก็ทำสิ่งที่โหดและคมมาก มันทำให้ครูใหญ่ตายเป็นคนแรก และตายด้วยภาพที่เลียนพิธีกรรมรัฐอย่างแสบสัน ร่างของครูใหญ่ถูกแขวนคอเหมือนชักธงขึ้นเสายามเช้า ความตายนี้ไม่ใช่เพียงฉากช็อก หากเป็นประโยคทางการเมืองที่บอกว่า เมื่อสังคมใช้พิธีกรรมและอุดมการณ์เป็นเครื่องมือคัดคนออกจากความเป็นมนุษย์ ในที่สุดพิธีกรรมเดียวกันนั้นจะย้อนกลับมาทำลายผู้ถือมันเอง เพราะอำนาจที่ทำงานด้วยการแบ่งแยก จะต้องหาผู้อื่นใหม่เสมอ และวันหนึ่งผู้อื่นก็อาจเป็นคนในระบบเอง ความตายของครูใหญ่จึงเป็นภาพย้อนแย้งว่า การผลิตพลเมืองดีด้วยความกลัวและการคัดทิ้ง ไม่ได้สร้างความมั่นคง หากผลิตความเปราะบางของสังคมขึ้นมาเอง
 
          อีกตัวละครที่ถูกทำให้ตายอย่างมีความหมายคือคนหาปลา เขาไม่ใช่ผู้มีอุดมการณ์ ไม่ใช่ผู้ศรัทธา และไม่ใช่ผู้มีภาษาพิธีกรรม เขาเป็นคนอิสระ ignorant ในแบบที่สังคมระเบียบจัดไม่ไว้ใจ เขาไม่แคร์คำสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ เขาอยู่นอกกฎเกณฑ์ เขาไม่เอาด้วยกับการจัดลำดับศีลธรรมของชุมชน และเขาตายด้วยกลุ่มเด็กที่ลอยตัวอยู่ในน้ำ น้ำที่เป็นสนามเสรีภาพของเขาเอง ความตายนี้คือการปราบชีวิตที่ไม่ยอมถูกกำหนด ไม่ยอมถูกจัดเข้าหมวด ไม่ยอมถูกสั่งสอน กล่าวอีกอย่าง ความตายของคนหาปลาคือการบอกว่า ในสังคมที่กลัวความแตกต่าง เสรีภาพที่ไม่แปลเป็นประโยชน์มักถูกกำจัดเงียบ ๆ
 
 
 
          ก่อนมนุษย์จะตาย สัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านหายไปทีละตัว จนกระทั่งพบซากกระดูกกองเป็นภูเขา ช่วงนี้เป็นความโหดที่ฉลาดของละคร เพราะมันทำให้เราเห็นโครงสร้างการนับชีวิต สัตว์คือชีวิตที่ไม่ถูกนับอย่างจริงจัง มันหายได้ก่อนโดยไม่เกิดวิกฤตศีลธรรมใหญ่โต เป็นชีวิตที่ถูกกิน ถูกทำลาย ถูกลบออกจากพื้นที่สาธารณะได้ง่ายที่สุด และการให้สัตว์ตายก่อนมนุษย์ คือการซ้อมมือของสังคมกับความรุนแรง สังคมเรียนรู้ที่จะอยู่กับการหายไปของชีวิตที่ “ไม่นับ” เพื่อให้พร้อมจะอยู่กับการหายไปของชีวิตที่ “นับ” ต่อไป
 
          แต่ละครไม่หยุดแค่นั้น มันทำให้การบูชากลายเป็นการสังเวย ความตายที่สะเทือนใจที่สุดไม่ใช่ความตายของผู้แทนอำนาจรัฐหรือคนอยู่นอกกฎ แต่คือความตายของเด็กต่างดาวเอง เด็กที่ดูเหมือนพิเศษ แปลกแยก มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ในสายตาชาวบ้าน เด็กที่เคยดับไฟช่วยคนที่พยายามเผาเขา เด็กที่ยืนอยู่ในน้ำท่วมเคียงข้างชาวบ้าน และสุดท้ายตายต่อหน้าคนดู ฉากนี้ถูกทำให้แหลมคมขึ้นด้วยบทบาทของแม่
 
          แม่สองคนกอดลูก ร้องไห้ และร้องบทเห่กล่อมที่เราคุ้นเคยในสังคมไทยมาแต่โบราณ “เจ้านกกาเหว่าเอย มันไข่ไว้ให้แม่กาฟัก…” สิ่งที่โดดเด่นอย่างยิ่งใน กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical คือการที่แม่ปรากฏอยู่แทบตลอดเรื่อง ไม่ใช่ในฐานะตัวละครที่มีอำนาจ ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ผู้ครอบครองความจริง หากเป็นผู้ที่อยู่กับชีวิตมากที่สุด แม่อยู่ตรงข้ามกับรัฐ ศาสนาและชุดความรู้ต่างๆ เพราะความเป็นแม่ไม่ต้องการคำอธิบาย แม่ไม่ต้องการพิธีกรรม แม่ไม่ต้องการเหตุผลทางศีลธรรมใด ๆ เพื่อจะรักลูก
 
 
 
          แม่ในเรื่องมีอยู่หลายแบบ ทั้งแม่ที่สูญเสียลูกไปต่อหน้าอย่างไม่อาจทำอะไรได้ และแม่ที่ยังมีลูกอยู่แต่ต้องยอมรับความจริงอันโหดร้ายว่า วันหนึ่งลูกจะต้องจากไป ต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่น ไม่ว่าจะเป็นการจากไปด้วยความตายหรือการจากไปด้วยการย้ายถิ่น ทั้งสองแบบต่างเป็นความสูญเสียที่ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้จริง ละครไม่พยายามทำให้แม่เข้มแข็งตามแบบอุดมคติ แต่ยอมให้แม่อ่อนแอ ร้องไห้ โอบกอด และแตกสลายตรงหน้าเรา
 
          ช่วงเวลาที่เด็กต่างดาวเอ่ยคำสั้น ๆ ว่า “แม่” ก่อนจากไป คือหนึ่งในฉากที่ทรงพลังที่สุดของละคร เพราะคำนี้ไม่ใช่คำอธิบาย ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง และไม่ใช่คำสอน มันคือคำเดียวที่ไม่ต้องการบริบทใด ๆ รองรับ คำว่า “แม่” ทำงานทันทีในระดับร่างกายของผู้ชม ก่อนจะทำงานในระดับความคิดด้วยซ้ำ เสียงร้องไห้ของแม่ที่ตามมา ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงอารมณ์ หากเป็นการทำลายกำแพงทั้งหมดที่ผู้ชมอาจสร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากเรื่องเล่าทางการเมืองหรือศาสนา น้ำตาคนดูที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว คือหลักฐานว่าเราไม่อาจยืนอยู่นอกเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
 
          ในเชิงความหมาย แม่คือความสัมพันธ์ที่มาก่อนรัฐ มาก่อนศาสนา และมาก่อนอุดมการณ์ใด ๆ แม่ไม่ถามว่าลูกมีคุณสมบัติเป็นพลเมืองหรือไม่ ไม่ถามว่าลูกบริสุทธิ์พอหรือเปล่า ไม่ถามว่าลูกมีพลังพิเศษหรือไม่ แม่รักลูกเพราะลูกคือชีวิตที่ออกมาจากร่างของเธอ และการที่สังคมสามารถทำลายความสัมพันธ์นี้ได้ ไม่ว่าจะด้วยความกลัว ความศรัทธา หรือคำอธิบายเชิงธรรมะ คือคำฟ้องที่รุนแรงที่สุดต่อศีลธรรมของสังคมนั้น
 
 
 
 
          เมื่อรัฐล้มเหลว ศาสนาไม่พอ และลัทธิกลายเป็นเครื่องมือของความกลัว แม่คือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในฐานะศีลธรรมแบบไม่ต้องแปลความ แต่ศีลธรรมแบบแม่กลับไม่มีที่ยืนในโครงสร้างอำนาจของบางเพลง แม่ไม่อาจปกป้องลูกจากการถูกสังเวย และไม่อาจรั้งลูกจากการจากไปได้ สิ่งเดียวที่แม่ทำได้คือรัก และการที่ความรักนี้ไม่เพียงพอ ต่อการอยู่ร่วมในสังคม คือความจริงที่เจ็บปวดอย่างยิ่งของละคร
 
          ดังนั้น ความสะเทือนใจที่ผู้ชมรู้สึกในฉากของแม่ ไม่ได้เกิดจากความเศร้าเพียงอย่างเดียว หากเกิดจากการตระหนักว่า สิ่งที่บริสุทธิ์และเป็นมนุษย์ที่สุดในเรื่องนี้ กลับเป็นสิ่งที่อ่อนแอที่สุดต่ออำนาจ เมื่อเด็กต่างดาวจากไปพร้อมคำว่า “แม่” และเสียงร้องไห้ของแม่ยังคงก้องอยู่บนเวที ละครไม่ได้บอกว่าโลกนี้ไร้ความหวัง แต่บอกอย่างเงียบงันว่า หากสังคมไม่สามารถปกป้องความรักพื้นฐานเช่นนี้ได้ ความสงบใด ๆ ที่กลับมา ย่อมเป็นเพียงความสงบที่แลกมาด้วยการสูญเสียบางสิ่งที่ไม่อาจเรียกคืน
 
          นั่นคือความสำคัญที่คึกฤทธิ์เลือกใช้คำว่ากาเหว่ามาตั้งชื่อวรรณกรรมด้วย
 
          กาเหว่าที่บางเพลง ไม่ได้เป็นเพียงภาพเปรียบเชิงศีลธรรมแบบพื้นบ้าน หากเป็นการวางแกนความหมายทั้งหมดของเรื่องไว้ที่ แม่ ความรัก และความอยุติธรรมที่เกิดจากการตัดสินชีวิตด้วยกรอบศีลธรรมของสังคม
 
          นกกาเหว่าในความรู้พื้นบ้านไทย (และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยกว้าง) คือ นกที่ไม่ฟักไข่เอง วางไข่ไว้ในรังของนกชนิดอื่น ให้แม่นกตัวอื่นๆหรือแม่คนอื่นเป็นผู้เลี้ยงดู ลูกกาเหว่าเติบโตมาด้วยความรัก การคาบอาหาร การปกป้อง และการถนอมชีวิต โดยที่แม่ผู้เลี้ยง ไม่เคยรู้ว่าไข่นั้นไม่ใช่ของตนเอง ตำนานนี้มักถูกเล่าในเชิงสั่งสอนศีลธรรมแบบผิวเผินว่าอย่าหลงเลี้ยงลูกคนอื่น หรืออย่าไว้ใจสิ่งแปลกปลอม แต่คึกฤทธิ์กลับเลือกที่จะกลับด้านความหมายทั้งหมด
 
          ในกาเหว่าที่บางเพลง คำถามไม่ใช่ว่า กาเหว่าผิดไหม แต่คือถ้าแม่รัก เลี้ยงดู และผูกพันกับลูกไปแล้ว สังคมมีสิทธิ์อะไรจะมาบอกว่า นั่นไม่ใช่ลูกของเธอ
 
 
 
 
          เด็กต่างดาวในเรื่อง โดยเฉพาะในฉบับละครเพลง คือ ลูกนกกาเหว่า อย่างสมบูรณ์ในความหมายเชิงมนุษยธรรม พวกเขาไม่ได้ขโมยความรัก ไม่ได้แย่งชิงทรัพยากร และไม่ได้หลอกลวงใคร พวกเขา เกิดมา และถูกเลี้ยงดูด้วยความรักจริง ๆ จากแม่ที่อุ้มท้องโดยไม่รู้ตัว แม่เหล่านี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ หากเป็นร่างกายจริง อารมณ์จริง และความสูญเสียจริง
 
          ตรงนี้เองที่ชื่อ “กาเหว่าที่บางเพลง” ทำงานอย่างลึกซึ้ง เพราะมันชี้ให้เห็นว่า 
          ความขัดแย้งทั้งเรื่อง ไม่ได้อยู่ที่เด็กต่างดาว แต่อยู่ที่ สังคมที่ไม่ยอมรับความจริงของความรัก
 
          ศาสนาอธิบายได้ว่า “อนิจจัง”, รัฐอธิบายได้ว่า “ความมั่นคง”, ชุมชนอธิบายได้ว่า “ความถูกต้อง” แต่ไม่มีคำอธิบายใดลบล้างความจริงที่ว่า แม่รักลูกไปแล้ว เมื่อเด็กตายในอ้อมกอดแม่ พร้อมบทเห่กาเหว่า และเมื่อเด็กที่เหลือจากไปพร้อมคำว่า “แม่” คำว่า “กาเหว่า” จึงไม่ใช่คำกล่าวหา และไม่ใช่สัญลักษณ์ของความแปลกปลอมอีกต่อไป หากกลายเป็น คำฟ้องเงียบๆต่อสังคมว่าถ้าความรักของแม่ ยังถูกทำให้เป็นของผิด สังคมนั้นควรเรียกตัวเองว่ามีศีลธรรมได้หรือไม่ สังคมมีสิทธิ์อะไรจะมาบอกว่าเด็กต่างดาวไม่ใช่ลูก? ถ้าแม่เสียใจจริง น้ำตาเป็นจริง ร่างกายที่อุ้มท้องเป็นจริง การตัดสินของสังคมจะยังยืนบนความถูกต้องแบบไหน? กาเหว่าจึงกลายเป็นคำฟ้องต่อสังคมที่ต้องการความบริสุทธิ์ของพรมแดนมากกว่าความจริงของความสัมพันธ์
 
 
 
 
          ศาสนาในเรื่องถูกจัดวางอย่างละเอียดและมีชั้นเชิง พระพยายามสอนชาวบ้านทุกคนตั้งแต่ต้นจนจบ ย้ำสวดบทสัพเพสัตตา พูดเรื่องแผ่เมตตา เชื้อเชิญให้เด็กต่างดาวมาอยู่ร่วม และแม้ถูกต่อต้านก็ยังสงบสำรวม ละครไม่ได้ทำให้พระเป็นศัตรูของมนุษยธรรม ตรงกันข้าม พระคือเสียงของความกรุณาที่สังคมได้ยินแต่ไม่เลือก และนี่คือจุดที่ละครวิพากษ์ศาสนาอย่างลุ่มลึกกว่าการทักท้วงว่าศาสนาครอบงำคนหรือเปล่า เพราะมันชี้ให้เห็นว่าศาสนาในฐานะ “จริยธรรมสมัครใจ” แพ้ต่ออำนาจที่ให้สัญญา “ความคุ้มครองฉับพลัน” เสมอ เมื่อไฟไหม้ น้ำท่วม ความกลัวเกิดขึ้นมา ชุมชนไม่ได้ต้องการคำสวดแผ่เมตตา ไม่ต้องการหลักธรรมมะที่วนลูป พระที่พูดซ้ำซาก แต่ต้องการเครื่องมือประกันภัย และเมื่อศาสนาถูกลดให้เหลือแค่เครื่องปลอบใจ ศาสนาก็ถูกแทนที่โดยสิ่งที่ดูแรงกว่า-ใจถึงพึ่งได้ในเชิงอำนาจแห่งการคุ้มครอง ตรงนี้ เด็กต่างดาวถูกยกฐานะขึ้นเป็น “คนศักดิ์สิทธิ์” อย่างรวดเร็วจากการกระทำที่กล้าหาญ ชาวบ้านเคยกลัวพวกเขา พอกลายเป็นทึ่ง ก็หันไปกราบไหว้บูชาแทนพระ นี่คือการเมืองของศรัทธาแบบฉุกเฉิน ความเชื่อที่ไม่ต้องมีคำอธิบายเชิงธรรมะ ไม่ต้องมีศีล ไม่ต้องมีกรอบยุติธรรม ขอแค่ปกป้องไฟไหม้น้ำท่วมได้ การย้ายศรัทธานี้ทำให้เราเห็นว่าในสนามอำนาจ ศาสนาไม่ได้แข่งขันกันด้วยความจริง หากแข่งขันกันด้วยความสามารถในการทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย และนี่คือการให้ภาพสังคมชาวบ้านร่วมสมัยอย่างเจ็บปวด เมื่อชาวบ้านธรรมดาอยู่ในโหมดความกลัว พวกเขาจะยอมแลกศีลธรรมกับความคุ้มครองของสิง่งศักดิ์สิทธิ์หรือคนประเภทอินฟลูเอนเซอร์ใจถึงพึ่งได้โดยไม่ต้องมีใครออกคำสั่ง (นึกถึงชายแดนและน้ำท่วมหาดใหญ่แฮะ)
 
          เมื่อเด็กต่างดาวที่เหลือรอดจากความตาย ถามพระว่า “นี่คืออะไร” พระตอบง่ายๆว่า “อนิจจัง” เกิดมาแล้วต้องแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เด็กถามต่อว่า “ความไม่เที่ยงแท้คืออะไร” พระย้อนว่า “ที่ดาวของพวกเธอไม่มีสิ่งนี้หรือ” ฉากนี้ไม่ใช่การทำให้พระเลว แต่เป็นการทำให้เราเห็นจุดที่ศาสนาแตะขอบของความรุนแรงที่มนุษย์ผลิตขึ้นเอง อนิจจังอธิบายความตายได้ แต่ไม่อาจชำระความรับผิดชอบของผู้คนที่ปล่อยให้ความตายนั้นเกิด และในบริบทนี้ อนิจจังจึงมีสองหน้าในเวลาเดียวกัน มันปลอบประโลมอย่างจริงใจ และมันปิดคำถามอย่างสุภาพ สุภาพจนความรุนแรงดูเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือประเด็นที่คมมากของละคร ศาสนาไม่จำเป็นต้องสนับสนุนความรุนแรงโดยตรง แค่ไม่สามารถหรือไม่กล้าจะตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจ ความรุนแรงก็เดินต่อได้อย่างเรียบร้อย
 
          อีกเรื่องหนึ่งที่อยากพูดถึง คือข้อสังเกตุว่า เหนือหัวของทุกคนในโรงละครรัชดาลัยนี้(ทั้งตัวละครและผู้ชม) พระจันทร์และยานอวกาศลอยอยู่ ทำหน้าที่ตัวละครที่ไม่พูดแต่มีอำนาจที่สุด การปรากฏของมันตั้งแต่ต้นเรื่องในยามค่ำคืน แสงของดวงจันทร์ แสงของยานอวกาศที่ทำให้หญิงตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คือการตัดบทบาท “มนุษย์ผู้ควบคุมเรื่องเล่า” ออกไปตั้งแต่แรก ไม่มีใครเป็นเจ้าของการกำเนิด ไม่มีใครตั้งเงื่อนไข ไม่มีใครอนุญาต และไม่มีใครอธิบายได้อย่างสมบูรณ์ แสงจากเบื้องบนนี้ไม่ใช่แสงของรัฐ ไม่ใช่แสงของวัด ไม่ใช่แสงของห้องทดลอง แต่มันเป็นแสงของจักรวาลที่ทำให้เรารู้สึกว่า ความมั่นใจทั้งหมดของมนุษย์ในการตัดสินผู้อื่นนั้นเล็กนิดเดียว
 
 
 
 
          ยิ่งกว่านั้น ยานอวกาศที่กลมเหมือนดวงจันทร์ ถูกแขวนอยู่เหนือหลังคาโรงละคร ทำให้ผู้ชมทั้งโรงนั่งใต้ดวงดาวตลอดการแสดง นี่ไม่ใช่แค่ดีไซน์ฉาก แต่เป็นการจัดวางตำแหน่งทางการเมืองของผู้ชม ผู้ชมไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ นอกเรื่องอีกต่อไป เรานั่งอยู่ในเงื่อนไขเดียวกับชาวบ้านบางเพลง คืออยู่ใต้สิ่งที่เราไม่เข้าใจและควบคุมไม่ได้ และในขณะที่เราถกเถียงว่ามนุษย์ต่างดาวคือใคร เราถูกเตือนอย่างเงียบงันว่า โลกที่เราอาศัยอยู่ก็เป็นดวงดาว พระจันทร์ก็เป็นดวงดาว ดาวที่เด็กต่างดาวมาจากก็เป็นดวงดาว เพียงแต่เราให้ความหมายกับดาวเหล่านั้นไม่เท่ากัน และความไม่เท่ากันนี้เองที่ถูกถ่ายโอนมายังมนุษย์ที่มาจากดาวคนละดวง ความเป็น “ต่างดาว” จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงของจักรวาล หากเป็นผลผลิตของการให้ความหมายของสังคมมนุษย์ ฉากจบที่เด็กต่างดาวตัดสินใจเดินทางย้ายถิ่น ไม่แน่ใจว่าจะกลับดาวเดิมหรือไปหาดินแดนอื่น คือการประกาศความล้มเหลวของสังคมในการอยู่ร่วมกับความแตกต่าง เด็กคนหนึ่งจากไปพร้อมคำสั้น ๆ ว่าแม่ คำนี้ไม่ใช่คำอำลาเชิงบทละครธรรมดา แต่มันเป็นการหอบเอามนุษยธรรมออกไปจากพื้นที่ที่ไม่ยอมรับมันอย่างเต็มใบ และเมื่อชาวบ้านกลับไปใช้ชีวิตสงบสุข มีคนพูดว่าบางเพลงเหมือนจะสงบเหมือนเดิมแต่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประโยคนี้คือคำพิพากษาทางการเมืองที่นุ่มนวลแต่เฉือนลึก เพราะมันบอกว่าสังคมอาจฟื้นความสงบได้เสมอ หากแต่สงบนั้นอาจเกิดจากการพา “สิ่งที่ไม่เข้าพวก” ออกไป ไม่ใช่จากการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจ
 
          ถ้าอ่านในโลกปัจจุบัน เด็กต่างดาวไม่ใช่ตัวแทนของใครคนเดียว แต่เป็นตำแหน่งของมนุษย์ที่ถูกทำให้เป็น “คนนอก” ในสังคมที่ต้องการความเหมือน เขาอาจเป็นเด็กที่เกิดจากแรงงานข้ามชาติและลูกหลานของพวกเขา คนที่ทำงาน ดูแลเมือง สร้างบ้าน ดูแลเด็ก ดูแลคนแก่ ทำให้ระบบเดินได้ แต่ไม่เคยถูกนับว่า “เป็นเรา” อย่างสมบูรณ์ พวกเขาถูกยอมรับเมื่อมีประโยชน์ ถูกกลัวเมื่อถูกทำให้เป็นข่าว ถูกผลักออกเมื่อสังคมต้องการความสงบแบบเดิม, เขาอาจะเป็นลูกหลานที่เกิดจากผู้ลี้ภัย ผู้พลัดถิ่น คนไร้รัฐ ผู้ที่ไม่ได้หนีเพราะอยากมา แต่หนีเพราะไม่มีที่ให้ยืน พวกเขามักถูกอธิบายด้วยภาษา “ความมั่นคง” มากกว่าภาษา “ความเป็นมนุษย์” ถูกตั้งคำถามว่าเป็นภัยหรือไม่, เขาอาจเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เยาวชนที่คิดต่าง ชูสามนิ้ว เก่ง ฉลาด มีศักยภาพ แต่ “ไม่ผ่านวิชาหน้าที่พลเมือง” ในความหมายร่วมสมัย พวกเขาอาจถูกเชิญชูในวันที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ แต่ถูกทำให้เป็นปัญหาในวันที่ตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจ สังคมรักพวกเขาในฐานะทรัพยากร แต่ไม่รักในฐานะมนุษย์ที่มีสิทธิคิดเอง, เขาอาจจะเป็นคนหลากหลายทางเพศ, อาจจะเป็นผู้พิการ คนป่วย คนที่ไม่ตรงกับมาตรฐานปกติ ผู้ที่ถูกยกย่องว่าน่ารัก น่าสงสาร มีแรงบันดาลใจ แต่ไม่ถูกออกแบบโลกให้เขาอยู่ได้จริง พวกเขาถูกชื่นชมในฐานะสัญลักษณ์ แต่ถูกทอดทิ้งในฐานะชีวิตจริง ไม่ต่างจากเด็กต่างดาวที่ถูกบูชาเมื่อมีพลัง และถูกปล่อยให้ตายเมื่อพลังนั้นไม่พอ พวกเขาคือคนที่ไม่ผ่านแบบทดสอบความเป็นพลเมืองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ถูกยกย่องเมื่อมีประโยชน์ ถูกกลัวเมื่อถูกเล่าเป็นภัย และถูกผลักออกเมื่อสังคมต้องการกลับสู่ความสงบแบบเดิม เด็กต่างดาวจึงไม่ใช่ ตัวปัญหา หากเป็นกระจกที่สะท้อนว่า สังคมนี้พร้อมจะเข้าใจมนุษย์ที่แตกต่างแค่ไหน ก่อนจะรีบแปลงความแตกต่างนั้นให้เป็นภัย เป็นทรัพยากร หรือเป็นเครื่องรางคุ้มครอง
 
 
 
 
          ที่จริงแอบคิดไกลไปถึงว่า เด็กต่างดาวในวันนี้ อาจไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ พวกเขาคือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโลกปัจจุบัน ถูกสร้างโดยมนุษย์นี่แหละ ถูกฝึกด้วยข้อมูลมนุษย์ ทำงานแทนเรา แล้ววันใดวันหนึ่งเริ่มคิดในแบบที่เราไม่อาจควบคุมได้ ไม่เป็นไปตามแบบที่สังคมต้องการ แล้วเราก็กลัวสิ่งที่เราให้กำเนิดเอง แล้วก็ต้องหาทางกำจัดเด็กต่างดาวนั้น ในที่นี้ ศาสนาและพระถูกเรียกมาใช้งานทันที เพราะมันทำหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือแปลงความกลัวให้กลายเป็นการตัดสินที่ดูสูงส่ง ศาสนาในฐานะระบบความเชื่อที่ถูกทำให้เป็นสถาบันให้คำตอบปิดที่มีพลังมาก เถียงไม่ได้ ทำหน้าที่คล้ายกฎหมายที่ไม่มีศาลและไม่มีเสียงของผู้ถูกตัดสิน ในกาเหว่าที่บางเพลงศาสนาไม่ได้ถูกใช้เพื่อเข้าใจมนุษย์ต่างดาว แต่ถูกใช้เพื่อทำให้สังคมรู้สึกว่าตนเองยังถูกต้องแม้กำลังปฏิเสธความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น นี่คือเหตุผลที่เรื่องนี้ยังแทงใจสังคมไทยได้เสมอ เพราะเรายังคงกลัวสิ่งใหม่และคนรุ่นใหม่อยู่ แต่เปลี่ยนมนุษย์ต่างดาวเป็นชื่ออื่นเท่านั้น
 
          ทุกวันนี้ เราไม่มีเด็กต่างดาวแบบคึกฤทธิ์แล้ว แต่เรากำลังร่วมกันกำจัดเด็กรุ่นใหม่ที่แปลกแยกแตกต่างด้วยวิธีการที่รุนแรงกว่าในหนังสือด้วยซ้ำ
 
          อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ไม่ได้เป็นเพียงการดัดแปลงวรรณกรรม แต่เป็นการ “แปลภาษา” ของตัวบทเดิมอย่างแท้จริง คือการเลือกใช้ musical เป็นสื่อกลางในการส่งเสียงทั้งหมดของเรื่อง เสียงในที่นี้ไม่ใช่เพียงถ้อยคำหรือเนื้อเพลง หากเป็นเสียงในความหมายกว้าง ทำนอง จังหวะ เสียงประสานที่จงใจแปลกหู โครงสร้างดนตรีที่ไม่คุ้นเคย และการจัดวางเสียงร้องของตัวละครแต่ละกลุ่มให้ทับซ้อน ขัดแย้ง หรือไหลรวมกันอย่างไม่ประนีประนอม Musical เรื่องนี้ไม่ได้พยายามทำให้ผู้ชมฟังสบาย หากแต่ชวนให้ผู้ชม ฟังอย่างระแวดระวัง เสียงร้องและดนตรีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่อย่างพิสดาร ทำหน้าที่เหมือนภาษาอีกชุดหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนต่อความเรียบร้อยของศีลธรรมและเหตุผล เสียงประสานที่ไม่ลงตัว จังหวะที่หักมุม ทำนองที่ไม่คุ้นหู ล้วนทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ว่า โลกของบางเพลงในเวอร์ชันนี้ไม่ใช่โลกที่สมานฉันท์ หากเป็นพื้นที่ที่เสียงของแต่ละฝ่ายกำลังแย่งชิงการรับฟังอยู่ตลอดเวลา การแบ่งบทบาทของผู้แสดงที่ต้องสวมบทเป็นทั้งชาวบ้าน แม่เด็ก พระ เจ้าหน้าที่รัฐ ครูใหญ่ ครูน้อย คนหาปลา นักวิทยาศาสตร์ และที่สำคัญที่สุดคือเด็กต่างดาว ทำให้เวทีนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครเงียบจริง ๆ ทุกตัวละครได้ส่งเสียงของตนออกมาอย่างเต็มพลังความสามารถทางการแสดง ราวกับวรรณกรรมทั้งเล่มถูกบังคับให้พูดออกมาพร้อมกัน แต่ในอีกนัยหนึ่ง ละครเพลงเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงแค่ เสียงที่ถูกเปล่งออกมา หากยังพูดถึงการฟังอย่างเข้มข้นไม่แพ้กัน หูของผู้ชมจึงทำหน้าที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสายตาที่เฝ้ามององค์ประกอบของเวที แสง สี ฉาก และคอสตูม หูของผู้ชมถูกบังคับให้รับฟังเสียงที่หลากหลาย เสียงของความกลัว เสียงของศรัทธา เสียงของอำนาจ เสียงของเมตตา เสียงของแม่ เสียงของเด็ก และเสียงของความเงียบที่แทรกอยู่ระหว่างโน้ต เสียงเหล่านี้ไม่ได้ถูกจัดลำดับให้ชัดเจนว่าเสียงใดถูกต้องหรือสำคัญกว่า หากแต่ถูกปล่อยให้ปะทะกันตรงหน้าเรา

 
 
 
          ในจุดนี้ Musical ทำหน้าที่ได้ลึกกว่าการเล่าเรื่อง เพราะมันทำให้ผู้ชมต้องเผชิญกับคำถามเดียวกับชาวบ้านในเรื่อง ไม่ใช่ว่าใครพูดอะไร แต่คือ เราเลือกฟังเสียงไหน เราฟังเสียงที่ปลอบใจเราที่สุด เสียงที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยที่สุด หรือเสียงที่สั่นคลอนความเชื่อของเรา Musical ไม่ได้บอกคำตอบ แต่มันจัดสถานการณ์การฟังขึ้นมาให้ผู้ชมตระหนักว่า การเมือง ศาสนา และศีลธรรม ไม่ได้ดำรงอยู่แค่ในเนื้อหา หากดำรงอยู่ใน โครงสร้างของการฟังเอง เมื่อเสียงของทุกฝ่ายถูกส่งออกมาอย่างเต็มที่ สิ่งที่ยิ่งดังขึ้นกลับไม่ใช่ข้อสรุป แต่คือความตึงเครียดระหว่างเสียงเหล่านั้น และในความตึงเครียดนั้น ผู้ชมเริ่มได้ยินบางสิ่งที่ไม่เคยถูกพูดตรง ๆ - เสียงของชีวิตที่ถูกอธิบาย ถูกบูชา ถูกใช้ และถูกปล่อยให้จากไป ดังนั้น Musical เรื่องนี้จึงไม่ได้ทำหน้าที่แทนวรรณกรรม หากทำหน้าที่เปิดพื้นที่ใหม่ให้วรรณกรรมได้ส่งเสียงในแบบที่หน้ากระดาษไม่อาจทำได้ และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้ผู้ชมตระหนักว่า การดูละครเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงการมองเห็น หากคือการเข้าร่วมในสนามการฟังที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
          ในท้ายที่สุด กาเหว่าที่บางเพลง ไม่ได้เพียงถามว่า ใครคือมนุษย์ต่างดาว แต่ถามเราผ่านเสียงและความเงียบว่า ในโลกที่ทุกคนกำลังร้องเพลงของตนเองอย่างเต็มเสียงนั้น เรายังมีหูพอจะฟังเสียงที่ไม่เข้าคีย์ของใครบางคนอยู่หรือไม่ และถ้าเราเลือกไม่ฟัง ความสงบที่กลับมา จะเป็นความสงบของการอยู่ร่วม หรือเป็นเพียงความเงียบหลังจากเสียงบางเสียงถูกพาออกไปจากเวทีแล้วตลอดกาล
 
          ที่สุดแล้ว กาเหว่าที่บางเพลง The New Musical ไม่ได้เรียกร้องให้สงสารมนุษย์ต่างดาว หากเรียกร้องให้เราตระหนักว่า การเข้าใจมนุษย์ที่แตกต่างไม่ใช่เรื่องของน้ำใจส่วนบุคคลเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจที่เรายินยอมให้ดำรงอยู่ เป็นเรื่องของภาษาที่เรายอมให้มันปิดคำถาม เป็นเรื่องของพิธีกรรมที่เราปล่อยให้มันกลายเป็นเครื่องคัดทิ้ง และเป็นเรื่องของศรัทธาที่เรายอมให้มันย้ายข้างไปหาอำนาจที่คุ้มครองได้เร็วกว่า โดยไม่ถามว่าใครต้องตายเพื่อให้เรารู้สึกปลอดภัย เมื่อเด็กต่างดาวจากไปพร้อมคำว่า “แม่” และพระจันทร์ยังลอยอยู่เหนือหัวเราเหมือนเดิม ละครก็ทิ้งคำถามไว้ในความเงียบว่า ถ้าโลกนี้เป็นเพียงดวงดาวดวงหนึ่ง เรามีสิทธิ์อะไรจะตัดสินชีวิตจากดาวอื่น หรือแม้แต่ชีวิตที่แตกต่างบนดาวดวงเดียวกันนี้ ด้วยความกลัวของเราเอง
 
 
 
 
 
 
ภาพประกอบ : Facebook BU Theatre Company