เมื่อ (ความเชื่อ) มนุษย์ ทำลายความเป็นมนุษย์ ใน “บังฟ้าเบิกอบาย”

เมื่อ (ความเชื่อ) มนุษย์ ทำลายความเป็นมนุษย์ ใน “บังฟ้าเบิกอบาย”

พงศธร ประกฤติพงศ์

 

 

 

          “มนุษย์” คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันมีประชากรมากที่สุดบนโลก เหตุที่ทำให้มนุษย์สามารถสร้างเผ่าพันธุ์และดำรงชีพอยู่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่จำนวนมากที่สุด เพราะมนุษย์มี “ความเป็นมนุษย์” ซึ่งแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ โดย “ความเป็นมนุษย์” คือเมื่อมนุษย์เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การขาดปัจจัยการดำรงชีพ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ มนุษย์สามารถหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้ ทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีพอยู่ได้ และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบสุขและพัฒนา

          แต่เมื่อเกิดปัญหาที่ไม่สามารถหาคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ หรือปัญหาที่สุดความสามารถของมนุษย์ที่จะแก้ไข มนุษย์จึงสร้างเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ในสังคมให้ดำเนินชีวิตไปในแนวทางเดียวกันคือ “ความเชื่อ” เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับปัญหาที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ปัจจุบัน “ความเชื่อ” กลับครอบงำมนุษย์มากยิ่งขึ้น จนทำให้ “ความเป็นมนุษย์” ที่มีทักษะการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาดเริ่มสูญเสียไป 

          แล้วเหตุใด “ความเชื่อ” จึงมีบทบาทเหนือ “ความเป็นมนุษย์” เพราะ “ความเชื่อ” สามารถให้คำตอบและแก้ปัญหาให้มนุษย์ได้ดี หรือเป็นเพราะ “มนุษย์” นำ “ความเชื่อ” มาครอบงำ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คำตอบของคำถามข้างต้นถูกถ่ายทอดอยู่ในหนังสือรวมบทกวี “บังฟ้าเบิกอบาย”


          หนังสือรวมบทกวี “บังฟ้าเบิกอบาย” ผลงานของ เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร ในนามปากกา “นายทิวา” ได้สะท้อนเรื่องราวและความเป็นไปของ “ความเชื่อ” ที่ครอบงำคนไทยในยุคปัจจุบัน มาถ่ายทอดผ่านฉันทลักษณ์กลอนสุภาพ ซึ่งสามารถนำเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่ และเหตุการณ์ปัจจุบัน ผ่านฉันทลักษณ์แบบดั้งเดิม และเรื่องราวความเชื่อของคนไทยที่มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโบราณ 

          อีกทั้งการสรรภาษาที่ขับเน้นแนวคิดที่ต้องการนำเสนอให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งสร้างความประเทืองปัญญาและเสนอแนวทางการใช้ชีวิตให้กับผู้คน จนได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประเภทกวีนิพนธ์ ประจำปี 2567 รางวัลชมเชย การประกวดหนังสือดีเด่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2568 และรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) รอบคัดเลือก (Shortlist) ประจำปี 2568


          “บังฟ้าเบิกอบาย” แบ่งเป็น 2 ตอน ได้แก่ “ความจริงลวง” คือเรื่องราวและเหตุการณ์จริงของมนุษย์ในมุมมองต่าง ๆ ซึ่งกำลังถูกลวงให้งมงายว่า “ความเชื่อ” คือคำตอบของทุกปัญหา และ “ความลวงจริง” คือการอธิบายเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ “ความเชื่อ” เข้ามาครอบงำมนุษย์ 

          แก่นเรื่องที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ คือการเสนอแนวทางให้หลุดพ้นจาก “อบาย” คือความงมงายในความเชื่อ จนหลงลืม “ความเป็นมนุษย์” สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์ โดยใช้กลวิธีการยกตัวอย่างเรื่องราวและเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นบริบทวิถีชีวิตที่ใกล้ตัวผู้คนในสังคมไทย ทำให้ผู้อ่านมีความรู้สึกร่วมไปกับเหตุการณ์และทำให้เข้าใจแก่นเรื่องที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ

          ภาพ "ความเชื่อ" ที่ปรากฏใน "บังฟ้าเบิกอบาย" สะท้อนความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมของประเทศไทย ที่รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและสื่อต่าง ๆ ซึ่งความเชื่อที่คนไทย "นับถือ" และ "งมงาย" ผู้แต่งได้แต่งบทกวีที่รวบรวมตัวอย่างความเชื่อของคนไทย ดังบทกวีในบท "อย่างนี้ไม่มีดราม่า" ความว่า


                    นอกวัด ในวัด จัดมาครบ                      ชวนเคารพ ชวนไม่เคารพ มีมากหลาย

          สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ขจรขจาย                จัดสร้าง มากมาย ขยายความ

                    พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์           ขยายกรอบ ขยายวง ไม่หวงห้าม

          เกจิ คณาจารย์ นิมนต์ตาม                              เรียงราย งดงาม ให้ขอพร

                    เจ้าแม่ ตะเคียนทอง จองมุมนั้น             เจ้าพ่อ ปู่สวรรค์ ข้างหน้าก่อน

          พญานาค ปู่ย่า เฝ้าสันดอน                             พญาครุฑ บินว่อน กางปีกรอ

                    ไอ้ไข่ เด็กวัด อยู่ทุกวัด                        พร้อม มาตามนัด มาตามขอ

          ขุนแผน แม่พราย ยังไม่พอ                             จิ้งจก เต่า แตน ต่อ เสือ จรลี

                    ทวยเทพ นานาชาติ ก็พร้อมด้วย           พาเหรด มาช่วย นำวิถี

          ศิวะ พรหม อินทร์ สุรัสวดี                               พิฆเนศ แม่ลักษมี แม่อุมา

                    ไท้ส่วยเอี๊ย กวนอิม แปดเซียน ครบ       จตุคาม บรรจบ พร้อมยักษา

          เวสสุวรรณ ราหู พระยม บูชา                           ล้วนยกเว้น วีซ่า มาให้พร

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 123-125)

 

          จากบทกวีข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่คนไทย "นับถือ" และ "งมงาย" อยู่บนพื้นฐานของศาสนาพุทธ ศาสนาประจำชาติของไทยเป็นหลัก และประกอบด้วยความเชื่อดั้งเดิม ความเชื่อท้องถิ่น และตำนานพื้นบ้านต่าง ๆ ซึ่งจัดเป็นศาสนาผี ที่ผู้คนนับถือมาตั้งแต่โบราณ อีกทั้งรับอิทธิพลความเชื่อจากต่างประเทศ ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จากประเทศอินเดีย และศาสนาและลัทธิต่าง ๆ เช่น ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋า จากประเทศจีน 

          ส่วน "สื่อ" ที่พาความเชื่อเข้ามาสู่ชีวิตของคนไทย ประกอบไปด้วย "ความศรัทธา" และ "การอุปโลกน์" ขึ้นของคนไทยต่อความเชื่อต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลวิธีการสร้างความเชื่อมาตั้งแต่โบราณ แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีสร้างโลกไร้พรมแดน ทำให้ "สื่อสังคมออนไลน์" คือตัวกระตุ้นสำคัญที่ยิ่งทำให้คนไทยนับถือและงมงายกับความเชื่ออย่างยิ่งยวด ดังบทกวีในบท "มหามงคลออนไลน์" ความว่า


                    จัดได้ จัดเต็ม ส่งถึงที่                           วัตถุมงคล ชั้นดี มีครบถ้วน

          สรรพคุณ โฆษณา มาเชิญชวน                        มหามงคล เย้ายวน มหามงคล

                                                                      ...

                    ยกขบวน ออนไลน์ เดลิเวอรี                  วัตถุมงคล ชั้นดี มหาศาล

          ปลุกเสก เลขยันต์ อลังการ                              เกจิ คณาจารย์ ทั่วสารทิศ

                                                                      ...

                    ไทย จีน แขก ฝรั่ง ไม่กีดกัน                   มูได้ ทั้งนั้น จัดให้หนัก

          ออนไลน์ เดลิเวอรี มีพร้อมพรัก                         สแกนเลย ที่รัก จัดส่งฟรี

                    ถ้าโทรมา ตอนนี้ ยังมีเพิ่ม                      บวกอีกหนึ่ง พร้อมเติม ให้เร็วรี่

          จัดหนึ่ง แถมหนึ่ง อีกหนึ่งมี                              วัตถุมงคล ของดี อย่ารีรอ

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 107-109)


          น้ำเสียงจาก "บังฟ้าเบิกอบาย" ต่อ "ความเชื่อ" คือน้ำเสียงของ "คนไทย" ที่เชื่อถือและเคารพต่อความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงพลังศรัทธาของคนไทยต่อความเชื่อ ซึ่งจะแสดงออกทางถ้อยคำและพฤติกรรมว่าผู้คนต้องเคารพความเชื่อเพื่อทำให้ชีวิตดำเนินไปในทางที่ดี ดังบทกวีในบท "พ่อข้าเป็นจอมขมังเวทย์" ความว่า


                    สานุศิษย์ มากมาย เปี่ยมศรัทธา              จอมขมังเวทย์ พ่อข้า ไม่เว้นว่าง

          พานบายศรี ค่ายกครู ยกแล้ววาง                       เสมือน กุศลสร้าง เป็นทานบุญ

                    ที่ได้แล้ว มากมาย ขยายความ                ยังไม่ได้ ก็ยังตาม สนับสนุน

          พลังศรัทธา เข้มขลัง เป็นต้นทุน                        เติมจากรุ่น สู่รุ่น ระหว่างเรา

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 122)


          ทว่าน้ำเสียงของ "ผู้เขียน" ต่อความเชื่อที่คนไทยนับถือและงมงาย คือการเสียดสีและตั้งคำถามต่อความเชื่อต่าง ๆ ที่ผู้คนนับถือ ว่าเหตุใดผู้คนจึงถูกครอบงำโดยความเชื่อ และทำให้การดำเนินชีวิตบิดเบี้ยวไปจากครรลองคลองธรรมที่ควรจะเป็น และทำให้มนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปในที่สุด ดังบทกวีในบท "อสุรกลาย" ความว่า


                    ครูบา อาจารย์ ก็ไม่ใช่                             คนก็ยัง กราบไหว้ อยู่ในหล่ม

          ไม่เหลืออะไร ให้เชื่อ ยิ่งโง่งม                            ยิ่งทุกข์ ก็ยิ่งตรม ยิ่งงมงาย

                    เขาหลอก เขาลวง เขาปลุกปั่น                 ปลุกผี ปลอมฝัน เปลี่ยนความหมาย

          อสุรกาย ปรุงแต่ง อสุรกลาย                               นำทาง เราทั้งหลาย สู่หายนะ !.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 55)


          เมื่อผู้เขียนเสนอน้ำเสียงเสียดสีตั้งคำถามกับความเชื่อโดยตลอด จึงจุดประกายความคิดของผู้อ่านว่าคนไทยนับถือและงมงายความเชื่อต่าง ๆ มากมาย ซึ่งแต่ละความเชื่อก็มีหลักการและเหตุผลที่แตกต่างกัน แต่เหตุใดคนไทยจึงถูก "ความเชื่อ" ทั้งหมดครอบงำไว้อย่างไม่สามารถถอนตัวได้

          เหตุที่ทำให้ "ความเชื่อ" ทรงอิทธิพลและมีอำนาจอย่างมากกับชีวิตของคนไทย เนื่องมาจากพื้นฐานชีวิตของคนไทยและสังคมไทยที่มีปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมจนฝังลึก เมื่อมีความเชื่อ เข้ามาสู่ความคิดของคนไทย ก็ยิ่งตอกย้ำปัญหาให้ยังคงอยู่ ไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งผู้เขียนได้ถ่ายทอดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง ผ่านเรื่องราวและมุมมองจากความเชื่อที่เกิดขึ้นกับคนไทย

          ปัญหาความยากจน ผู้เขียนมักถ่ายทอดอยู่ในบทกวีโดยตลอด โดยแสดงให้เห็นถึงความต้องการรายได้ของคนไทย เพื่อให้ตอบรับกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่เงินมีความสำคัญมากที่สุด เมื่อทุกคนต้องการรายได้ "ความเชื่อ" ที่เกิดขึ้นก็ต้องตอบรับความต้องการรายได้ของมนุษย์ ทำให้นอกจากปัญหาความยากจนยังคงอยู่ เพราะความต้องการรายได้สูงขึ้น แต่รายได้ที่ได้รับจริงกลับสวนทาง มีเพียงรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น 

          ปัญหาความยากจนยังถูกซ้ำเติมด้วย "ความเชื่อ" ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการตั้งใจทำงานหารายได้และใช้จ่ายอย่างประหยัดไม่มีผลเท่าการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ผู้คนต้องการหาช่องทางมีรายได้โดยง่ายดายและผู้คนก็พร้อม "งมงาย" ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำให้เรามีรายได้ ดังบทกวีในบท "พลังครู พลังรวย" ความว่า


                    รวยแน่ แล้วเรา ในคราวนี้                      พลังครู พลังผี พลังให้

          หน้าไหน ก็ไม่สู้ หน้าใครใคร                            ศรัทธา ยิ่งใหญ่ ขอให้รวย

                    เห็นข่าว แว็บแว็บ พี่คนนั้น                     พี่ดารา ของฉัน ไปได้สวย

          ครูให้มา แน่แน่ แค่เอออวย                              นี่มันเรื่อง กล้วยกล้วย กล้วยจริงจริง !.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 31)


และดังบทกวีในบท "ขอได้ ไหว้รับ" ความว่า


                    ว่า 'ไอ้ไข่' ให้โชค ให้สินทรัพย์               ว่า 'ขอได้ ไหว้รับ' ทุกทุกที่

          ว่า 'ใครขอ ใครก็ได้' ล้วนมั่งมี                           ว่า 'ปลดทุกข์ ปลดหนี้' ได้ทุกคน

                    ริ้วขบวน มวลชน แห่บนบาน                   มวลประชา มหาศาล ทุกแห่งหน

          สรรพเสียง ร้องขอ ดังอึงอล                             ถ้าสมหวัง แก้บน ตามสัญญา

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 96)


          ปัญหาความเสื่อมโทรมของศีลธรรม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อศีลธรรมไม่สามารถทำให้คน "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" เพราะสังคมอันเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ศีลธรรมลดบทบาทการควบคุมความประพฤติของผู้คน อีกทั้งผู้คนไม่เห็นผลว่าการยึดถือศีลธรรมแล้วเกิดประโยชน์ใด เมื่อการกระทำชั่วก็สามารถลบล้างได้ และการยึดถือความเชื่อที่ผิดศีลธรรม ก็มิได้เกิดโทษอันใด 

          ท้ายที่สุดผู้คนก็เลือกจะละทิ้งศีลธรรม แล้วไป "งมงาย" ในความเชื่อที่ตนรู้สึกว่าจะประพฤติตนอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวบาปบุญคุณโทษ ดังบทกวีในบท "เขารับเคราะห์แทนเราใช่ไหมคะ ? " ความว่า


                    แม่คะ แม่ขา หนูรู้แล้ว                             คนทำบาป รู้แกว ต่อแถวเข้า

          บาปยิ่งเยอะ เสียงยิ่งดัง ส่งเสียงเอา                   บาปเคราะห์ให้ เทพเจ้า ใช่ไหมคะ

          บาปยิ่งเยอะ เสียงยิ่งดัง ส่งเสียงเอา                   เขารับเคราะห์ แทนเรา ใช่ไหมคะ ?.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 37)


และดังบทกวีในบท “อสุรกลาย” ความว่า


                    ครูบา อาจารย์ ก็ไม่ใช่                             เขา อุปโลกน์ ให้ เขาตั้งแต่ง

          สมมุติให้ เป็นครู จัดแสดง                                 กลายครู พลิกแผลง สำแดงฤทธิ์

                    เสก อสุรกาย กายวางกอง                       แก้ว แหวน เงิน ทอง กายสิทธิ์

          โอม... สาธุชน มาใกล้ชิด                                  จง สำคัญผิด อย่างสำคัญ

                    บัดนั้น กลายครู กระทำการ                      เชิดครู องค์ประธาน บันดาลฝัน

          สานุศิษย์ สาธุชน อวดประชัน                            ร่วม บูชายัญ สังเวยครู

          สินล่าง สินบน สินน้ำใจ                                    ศีล ละทิ้งไป ไม่มาสู่

          สินทรัพย์ ทรัพย์สิน จงพรั่งพรู                           ศีลธรรม ไม่รู้ ไม่รู้ธรรม

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 51-52)


          ปัญหาการเสพสื่อออนไลน์ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงและรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ และผู้คนก็สามารถเผยแพร่ข่าวสารต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ความรวดเร็วกลับกลายเป็นอันตรายที่ทำให้ผู้คนขาดการไตร่ตรองกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามา ไม่ทราบว่าเรื่องใดจริง หรือเรื่องใดเท็จ และผู้คนขาดการไตร่ตรองกับการเผยแพร่ข่าวสารต่าง ๆ ที่ปล่อยออกไป ไม่ทราบว่าเรื่องใดจริง หรือเรื่องใดเท็จ แล้วผู้คนก็ "งมงาย" เชื่อถือทุกข่าวที่ตนคิดว่าจริง แม้จะเป็นข่าวปลอมก็ตาม ดังบทกวีในบท "หลอกผีกระสือ !!!" ความว่า


                    เป็นข่าว เป็นข่าว และเป็นข่าว                 ผีกระสือ อื้อฉาว เช้ายันค่ำ

          ถามมา ตอบไป ไม่อมพะนำ                              ผีกระสือ ตอกย้ำ ตอบคำเธอ

                    จอมเวทย์ ขมังเวทย์ ยืนและยัน               ผีกระสือ แหละนั่น ที่นำเสนอ

          นักวิชาการ ค้านว่า เหมือนเรื่องเพ้อ                   ชาวบ้านว่า เคยเจอ แต่ไม่ประจำ

                    สื่อลง พื้นที่ เพื่อขายข่าว                        ขยับขยาย เรื่องราว เช้ายันค่ำ

          เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สอบปากคำ                           สรุปสำนวน ผู้กระทำ อาจโจรปลอม

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 47-48)


          เมื่อ "ปัญหา" ของคนไทย ทำให้ "ความเชื่อ" ทรงพลังอำนาจเหนือความคิดของคนไทยและครอบงำคนไทยแล้ว การดำเนินชีวิตและการแก้ปัญหาของคนไทยจึงออกมาในรูปแบบการงมงาย ว่าความเชื่อต่าง ๆ สามารถแก้ปัญหาให้กับตนเองได้ จึงต่างจำนนต่อ "ความเชื่อ" จนละทิ้ง "ความเป็นมนุษย์" ไปในที่สุด ซึ่งผลอันเกิดขึ้นมีตั้งแต่ระดับที่ผู้คนเลือกพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แทนการพึ่งพาตนเอง ดังบทกวีในบท "ราหูอมเรา" ความว่า


                    ขอให้ พระราหู อำนวยพร                      ขอให้ดี ไว้ก่อน ไม่เกะกะ

          ขอให้ร้าย หายไป ไม่เคล้าคละ                         ขอให้ พระราหู บันดาลดล

                    พระราหู จะเอาอะไร ได้ทั้งนั้น                เครื่องเซ่น เลือกสรร ไม่สับสน

                    จะเอาอะไร ได้ทั้งนั้น พร้อมเปรอปรน      เป็นที่พึ่ง ของผู้คน ในวันนี้

          พระราหู เป็นที่พึ่ง ของชาวชน                          รับเครื่องเซ่น จากทุกคน ในวันนี้ !.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 42-43)


          จนถึงระดับที่ผู้คนเลือกหลีกหนีปัญหา แทนการต่อสู้กับปัญหา เมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ดังบทกวีในบท “ราหูอมเรา” ความว่า


                    ข่าวล้อมกรอบ เล็กเล็ก ข่าวเล็กเล็ก         ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็ก หมดทางหนี

          พ่อฆ่าเมีย ฆ่าลูก หมดที่มี                                 ฆ่าพ่อแม่ สิ้นชีวี ฆ่าตัวเอง

                    ห้าศพ จบชีวิต ที่หวังวาด                        เมื่อล้มเหลว ผิดพลาด โลกข่มเหง

          ไร้ที่พึ่ง ไร้ทางออก คนวังเวง                             ชีวิต คว้างเคว้ง ไม่เหลืออะไร

                    ข่าวบรรยาย ท้ายสุด ประกอบข่าว            ปิดท้าย เรื่องราว แถลงไข

          ก่อนมาถึง วันนี้ เดินทางไกล                             เขาไปขอ ‘ไอ้ไข่’ ก่อนหน้านี้ !.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 99)


          ขณะนี้ "ความเชื่อ" ทำให้คนไทยงมงาย และ "ปัญหา" ทำให้คนไทยจำนน ทั้งหมดทำให้คนไทย "เสียความเป็นมนุษย์" ซึ่งความเป็นมนุษย์ที่คนไทยสูญเสียไป คือ "การไม่เห็นคุณค่าในตนเอง" กลับไปเห็นคุณค่ากับความเชื่อต่าง ๆ ว่าสามารถแก้ปัญหาให้ผู้คนได้ แต่ไม่เห็นถึงความสามารถของตนเองที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้จริง โดยในบท "ความทุกข์ของทวยเทพ" ผู้แต่งเล่าเรื่องผ่านมุมมองของเทพเจ้าที่ไม่ได้ช่วยอะไรมนุษย์เลย มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เชื่อว่าเทพเจ้าช่วยเหลือมนุษย์ ดังบทกวีในบท "ความทุกข์ของทวยเทพ" ความว่า


                    เปิดสภา ทวยเทพ ประชุมด่วน                ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งขบวน สะเปะสะปะ

          เราก็อยู่ เฉยเฉย แถมเงอะงะ                             เขาทำได้ ของเขานะ ตัวเขาทำ

                    ทุกข์มนุษย์ ช่วยไม่ได้ เทพก็ทุกข์           ไฉนเมื่อ มนุษย์สุข ยั่วเทพขำ

          ยกความดี โยนให้เทพ เป็นประจำ                      มนุษย์ชอบ ชี้นำ ตอกย้ำตัว

                    เทพไม่ได้ กระทำการ กลับพลอยได้        ทวยเทพ เกินทำใจ เรื่องชวนหัว

          ทุกข์ของเทพ คือมนุษย์ หูตามัว                        มนุษย์โลก น่ากลัว เกินแก้มนุษย์

          ทุกข์ของเทพ คือมนุษย์ ช่างน่ากลัว                   มนุษย์โลก เมามัว หลอกลวงมนุษย์ !.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 137)


          ปัจจัยที่ทำ ให้คนไทยสูญเสีย “ความเป็นมนุษย์” เบื้องต้นเกิดจากผู้คนที่ “งมงาย” ความเชื่อต่าง ๆ ด้วยตนเอง จึงละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนเอง เลิกล้มความมั่นใจในตนเองและความพยายาม แล้วหันหน้า เข้าหาความเชื่อ ดังบทกวีในบท “มูเดินสายใน” ความว่า


                    ที่ไหนใคร ว่าดี ที่ไหนขลัง                    เดินสาย รับพลัง ไม่หยุดหย่อน

          พักการ พักงาน เร่สัญจร                                 จัดเวลา ตะลอน ตระเวนมู

                    ลำบาก ยากเข็ญ มานานปี                    ได้เวลา ปลดหนี้ ชี้ทางสู้

          มหาเศรษฐี หน้าใหม่ ต้องใช่กู                         รวยเสียให้ โลกรู้ รวยรวยรวย

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 75-76)


          อีกปัจจัยที่เป็นภัยอย่างยิ่งต่อมวลมนุษย์ คือเมื่อ “มนุษย์” ด้วยกันเอง ทำลายความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น ผ่านการอวดอ้างความเชื่อ และประโคมสื่อออนไลน์ ให้ผู้คนเชื่อถือและงมงาย เพื่อประโยชน์ของตน อันได้มาจากปัญหาและความทุกข์ของผู้อื่น ผู้เขียนมักถ่ายทอดอยู่ในบทกวีโดยตลอด ว่าการได้มาซึ่งความต้องการที่ปรารถนาต่อความเชื่อ มิได้สัมฤทธิ์ผลจากการประพฤติตนอย่างมีคุณธรรม แต่เกิดจากจำนวนเงินที่ทำบุญ ยิ่งมากก็ยิ่งสมหวัง ดังบทกวีในบท “เซลล์บุญ” ความว่า


                    แม่ชี ชี้แนะ ชี้นำ                              เงินทอง คือธรรม สนับสนุน

          บาปหาย ร้ายหมด ละไมละมุน                    ต้นทุน คืนทุน กำไร

                    หย่อนตู้ ทำบุญ จนหมด                   เกลี้ยงเกลา เงินสด แถลงไข

          แม่ชี แจกยิ้ม เย็นใจ                                   บอกโค้ด สแกนได้ ใช้เลย

                    ฉันเดิน เข้าวัด ทำบุญ                      ทุนทำ หมดทุน เปิดเผย

          เดินออก จากวัด ก้มเงย                              กินอะไร ดีเอ่ย หมดทุน !.

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 116-117)


          หนทางที่ "บังฟ้าเบิกอบาย" นำเสนอเพื่อให้มนุษย์ไม่ถูก "ความเชื่อ" ครอบงำ จนทำให้สูญเสีย "ความเป็นมนุษย์" ผ่านบทกวีทั้ง 5 บท ในตอน "ความลวงจริง" และบทพิเศษ "บังอบายเบิกฟ้า" โดยประกอบไปด้วย การไตร่ตรองและมีวิจารณญาณกับเรื่องราวต่าง ๆ จากบท "ความจริงที่ไม่เห็น" การอย่าหลงเชื่อสิ่งใดโดยง่าย ยึดหลักความเป็นจริงและมั่นใจในตนเอง จากบท "หลอกตัวเอง" และบท "เหยื่อ" การไม่บิดเบือนความเชื่อต่าง ๆ จากบท "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" ความคิดที่ปราศจากอคติ จากบท "เราจะเห็นความจริงได้อย่างไร" และการประพฤติตนตามหลักคุณธรรม ทำดี ไม่ทำชั่ว จากบทพิเศษ "บังอบายเบิกฟ้า" 


          โดยสรุปการทำให้ "ความเชื่อ" และ "ความเป็นมนุษย์" สามารถอยู่ในความคิดของผู้คนร่วมกันได้อย่างสมดุล คือการยึดถือ "ความเชื่อ" บนพื้นฐานความจริงและมีวิจารณญาณ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมตามความเชื่อ ซึ่งทุกความเชื่อมีพื้นฐานร่วมกันคือ ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ และยึดถือ "ความเป็นมนุษย์" ที่ตัวเราเองมีอำนาจการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง และมั่นใจในความสามารถของตนเอง เพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีพเพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์สังคมตลอดไป

          กลวิธีการแต่งและการใช้ภาษาที่ปรากฏใน "บังฟ้าเบิกอบาย" เป็นไปเพื่อถ่ายทอดและขับเน้นปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและเข้าถึงปัญหาที่ความเชื่อเข้ามาครอบงำมนุษย์ จนทำให้เสียความเป็นมนุษย์ไป ซึ่งประกอบด้วยกลวิธีต่าง ๆ เช่นการใช้คำทับศัพท์และคำศัพท์ที่เกี่ยวกับความเชื่อ และการใช้องค์ประกอบแบบเรื่องสั้น

          การใช้คำทับศัพท์และคำศัพท์ที่เกี่ยวกับความเชื่อ โดยการใช้คำทับศัพท์ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางภาษาและสังคมในยุคปัจจุบัน ที่รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นการใช้คำว่า ออนไลน์ เดลิเวอรี และสแกน ซึ่งสะท้อนถึงวิถีชีวิตการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ดังบทกวีในบท “มหามงคลออนไลน์” ความว่า


                    ไทย จีน แขก ฝรั่ง ไม่กีดกัน               มูได้ ทั้งนั้น จัดให้หนัก

          ออนไลน์ เดลิเวอรี มีพร้อมพรัก                     สแกนเลย ที่รัก จัดส่งฟรี

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 109)


          ส่วนการใช้คำศัพท์ที่เกี่ยวกับความเชื่อ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ครอบงำคนไทยเป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อเก่าแก่ต่าง ๆ กลับมีอิทธิพลและสามารถเข้ามาครอบงำคนไทยในยุคปัจจุบันได้ เช่นการกล่าวถึงคำศัพท์เกี่ยวกับความเชื่อทางโหราศาสตร์ ดังบทกวีในบท “ราหูอมเรา” ความว่า


                    เมื่อ พระศุกร์ เข้า พระเสาร์ แทรก       พระราหู ว่ายแหวก ทำไหวหวั่น

          ดาวราหู ดาวเคราะห์ เคลื่อนครบครัน             ย้ายราศี เปลี่ยนผัน ราหูจร

                    ย้าย จักรราศี ออกและเข้า                  โหรคำนวณ คาดเดา อุทาหรณ์

          เปลี่ยนสิบสอง ราศี เปลี่ยนบทตอน                สุขรับ ทุกข์ถอน ปัดเป่าทุกข์

                                                                                          (เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร, 2567, 39-40)


          การใช้องค์ประกอบแบบเรื่องสั้น คือการดำเนินเรื่องผ่านตัวละครที่เกิดปมปัญหาต่าง ๆ แล้วนำไปสู่การคลายปมปัญหา ซึ่งทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครที่ต้องเผชิญปมปัญหาที่เกิดจากความเชื่อ ดังบทกวีในบท “ขอไหว้ ได้รับ” ที่เปิดเรื่องด้วยการกล่าวถึงข่าวในยุคปัจจุบัน ที่กล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของ “ไอ้ไข่” และมีผู้คนมากมายเข้าไปบูชา แล้วจึงเผยปมปัญหาของตัวละครคือครอบครัวหนึ่งที่ฆ่าตัวตายแล้วคลายปมว่าเมื่อวานครอบครัวนี้เพิ่งไปบูชา “ไอ้ไข่” ทำให้ผู้อ่านมีอารมณ์ร่วมว่าความเชื่อที่คนงมงายกลับทำให้มนุษย์ตัดสินใจหลีกหนีปัญหาแทนการต่อสู้กับปัญหา

          ข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาที่ผู้เขียนนำเสนอ คือมุมมองการแก้ปัญหาของผู้คนที่ต้อง “ปกป้อง” ตนเอง ต้องมีภูมิคุ้มกันและวิจารณญาณเพื่อทำให้ตนเองสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยความเป็นมนุษย์ของตนเอง 

          แต่อีกหนึ่งมุมมองการแก้ปัญหา คือปัญหาที่เพื่อนมนุษย์นำความเชื่อมาเป็น “โอกาส” เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น จากปัญหาข้างต้น เราควรต้องแก้ปัญหาที่ “ตัวเอง” อย่างเดียว หรือแก้ปัญหาที่ “ผู้ที่เอาเปรียบผู้อื่นผ่านความเชื่อ” ร่วมด้วย

          หนังสือรวมบทกวี “บังฟ้าเบิกอบาย” ร้อยกรองโดย “นายทิวา” ได้สะท้อนความเชื่อของคนไทยในปัจจุบัน ทำให้ผู้อ่านเห็นถึงบทบาทของ “ความเชื่อ” ที่เข้ามาครอบงำ “ความเป็นมนุษย์” จากปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคนไทย และภาพของคนไทยที่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป 

          นัยที่แทรกอยู่ในบทสรุปของหนังสือรวมบทกวี “บังฟ้าเบิกอบาย” คือการสร้างแรงกระตุ้นให้มนุษย์หันกลับมาให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าของตนเอง และให้ “ความเชื่อ” เป็น “เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ” ให้ประพฤติปฏิบัติตนไปในทางที่ดีมิใช่ “เครื่องครอบงำจิตใจ” ให้พาไปสู่หนทางอันเป็นโทษต่อตนเองและสังคม เพื่อให้ “ความเป็นมนุษย์” และ “ความเชื่อ” ร่วมกันสร้างมนุษย์ที่มีคุณภาพและสังคมที่สงบสุข เข้าสู่ยุค “บังอบายเบิกฟ้า” อย่างสมบูรณ์

 

หมายเหตุ : บทวิจารณ์เรื่อง “เมื่อ (ความเชื่อ) มนุษย์ ทำลายความเป็นมนุษย์ ในบังฟ้าเบิกอบาย”
โดย นายพงศธร ประกฤติพงศ์
รางวัลชมเชย การประกวดบทวิจารณ์ กวีนิพนธ์ซีไรต์รอบคัดเลือก (shortlist) ประจำปีพุทธศักราช 2568