20251217seawrite

อย่าให้ศรัทธาไร้ปัญญากำกับ: บทวิพากษ์สังคมไทยใน “บังฟ้าเบิกอบาย”

ธีรวัฒน์ กล่าวเกลี้ยง

          สังคมไทยร่วมสมัยปรากฏภาพสองขั้วที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ด้านหนึ่งคือความเป็นจริงที่สะท้อนผ่านข่าวสารรายวัน ซึ่งเต็มไปด้วยการหลอกลวง ความขัดแย้ง และความเหลื่อมล้ำ อีกด้านหนึ่งคือโลกเสมือนในโซเชียลมีเดียที่ฉาบฉายแต่ภาพชีวิตอันน่าอิจฉา ซึ่งปลุกเร้าความอยากมีอยากได้ไม่สิ้นสุด สภาวะเช่นนี้ได้กัดกร่อนจิตใจของผู้คน ก่อให้เกิดช่องว่างและความรู้สึกเคว้งคว้าง ขาดหลักยึดเหนี่ยวที่มั่นคง และเมื่อความทุกข์จากการดิ้นรนไม่เป็นผล หลายคนจึงหันไปแสวงหาทางออกผ่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่องมงาย ที่ถูกทำให้กลายเป็นสินค้าและทางลัดสู่ความหวัง ปรากฏการณ์นี้เองคือหัวใจของกวีนิพนธ์เรื่องบังฟ้าเบิกอบาย”ซึ่งตั้งคำถามถึงเส้นแบ่งที่เลือนรางระหว่างศรัทธากับความงมงาย และความจริงกับสิ่งลวงตาในยุคสมัยของเรา ผ่านภาษาอันคมคายที่ทำหน้าที่เสมือนเครื่องมือชำแหละมายาคติและความวิปริตของสังคม

          "บังฟ้าเบิกอบาย" คือหนังสือรวมบทกวีผลงานของ "นายทิวา" ซึ่งเป็นนามปากกาของ เอกรัตน์ จิตรมั่นเพียร จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยสำนักพิมพ์ ออน อาร์ต หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จากเวทีเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2567 และรางวัลหนังสือดีเด่น จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปี 2568 นอกจากนี้ ความสำเร็จของ "บังฟ้าเบิกอบาย" ยังเห็นได้จากการที่หนังสือเล่มนี้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย (Shortlist) รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี 2568

          เนื้อหาในเล่มแบ่งออกเป็นสองภาคหลัก คือ "ความจริงลวง" และ "ความลวงจริง" ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพสังคมร่วมสมัยผ่านฉันทลักษณ์กลอนสุภาพ ที่ถูกนำมาคลี่คลายทั้งในด้านจำนวนคำและการจัดจังหวะวรรคตอนที่แปลกใหม่ อันเป็นลีลาเฉพาะตัวของกวี

          สำหรับผู้ประพันธ์ "นายทิวา" เป็นกวีและนักเขียนที่มีผลงานมาแล้วหลากหลายประเภท ทั้งสารคดี เรื่องสั้น และบทกวี เขาเคยได้รับรางวัลจากหลายสถาบัน เช่น รางวัลมติชนอวอร์ด และรางวัลแสงสรรค์วรรณศิลป์ ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นล้วนโดดเด่นด้วยท่วงทำนองและลีลาทางภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งบทบาทสื่อมวลชนที่มีผลงานการเขียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในแวดวงวรรณกรรมไทยอีกคนหนึ่ง

          สำหรับผู้อ่านวรรณคดีไทยจะรู้จักวรรคทองอันคุ้นหูในอย่าง"บังอบายเบิกฟ้า ฝึกฟื้นใจเมือง"ซึ่งปรากฏในโคลงนิราศนรินทร์ คือบทกวีที่พรรณนาถึงความรุ่งเรืองของยุครัตนโกสินทร์หลังการล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา โดยมีความหมายอันเป็นมงคลว่า พระบุญญาบารมีของพระมหากษัตริย์ได้ช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง เปรียบการ “บังอบาย” เป็นการปิดหนทางสู่อบายภูมิ และ “เบิกฟ้า” เป็นการเปิดหนทางสู่สวรรค์ พร้อมทั้งช่วยฟื้นฟูจิตใจชาวเมืองให้พ้นจากความทุกข์โศก

          ทว่ากวีนิพนธ์เรื่อง "บังฟ้าเบิกอบาย" กลับเลือกที่จะหยิบยืมวรรคทองดังกล่าวมาบิดและกลับความหมายให้สวนทางกับต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง การตั้งชื่อว่าบังฟ้าเบิกอบาย”จึงสื่อความหมายในทางตรงกันข้าม คือการปิดกั้นหนทางสู่ความดีงามและความหวัง (บังฟ้า) แล้วเปิดทางให้ความเลวร้ายและหายนะ (เบิกอบาย) เข้ามาแทนที่

          การเล่นคำอย่างมีนัยสำคัญนี้ มิใช่เป็นเพียงแค่การยั่วล้อ แต่ทำหน้าที่เป็นแก่นแกนสำคัญของหนังสือทั้งเล่ม เพื่อใช้เป็นเลนส์ส่องสะท้อนเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน นำเสนอภาพความจริงที่น่าหดหู่และตั้งคำถามต่อวิกฤตศรัทธาของผู้คนในยุคสมัยนี้ได้อย่างทรงพลัง

          สังคมไทยปัจจุบันกำลังเผชิญกับวิกฤตที่ความจริงถูกบิดเบือน จนผู้คนไม่สามารถแยกแยะความจริงออกจากความลวงได้ สภาวะนี้สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ สกุล บุณยทัต (2567) ที่ระบุว่า "เมื่อไม่อาจเชื่อถือในความจริง ความเท็จก็ยิ่งทรงความหมาย" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อความจริงขาดน้ำหนักและไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้ ผู้คนก็พร้อมจะหันไปเชื่อสิ่งลวงตาแทน และบทกวีของนายทิวาก็ได้ตีแผ่สภาวะอันน่าสับสนและสิ้นหวังนี้ออกมาได้อย่างทรงพลัง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

 

                                                            ลงประทับ สิงสู่ สารพัด

                                                            สิ่งของ คน สัตว์ พัสถาน

                                                            เทพ กำเนิดใหม่ กระทำการ

                                                            กำเนิด เต็มบ้าน และเต็มเมือง

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 18)

 

          ตัวบทดังกล่าวมาจากบทกวี “ยุคเทพ” ได้ถ่ายทอดปรากฏการณ์ความเชื่อในสังคมปัจจุบัน ที่ดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถผุดขึ้นได้จากทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของแปลกตา สัตว์ หรือคนเดินดิน ล้วนถูกอุปโลกน์ให้กลายเป็นที่เคารพกราบไหว้ได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางความเชื่อถือของผู้คนที่พร้อมยอมรับโดยไม่ตั้งคำถาม ภาพที่ปรากฏจึงไม่ต่างอะไรกับยุคที่เหล่าเทพกลับมาจุติหรือเข้าประทับทรงในร่างต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นเรื่องปกติ สะท้อนถึงความโหยหาที่พึ่งพิงทางใจของผู้คนในยุคนี้

          ภาพดังกล่าวได้รับการขยายให้ชัดขึ้นในบทกวี “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแม่บ้าน” ความว่า

 

                                                            จู่จู่ ข้าพเจ้า ก็ศักดิ์สิทธิ์

                                                            สามตัวตรง ไม่มีผิด ใช่เลยใช่

                                                            แม่บ้าน คนเดิม ประกาศชัย

                                                            มะพร้าวอ่อน ชุดใหม่ ถวายมา

 

                                                            แม่บ้าน คนเดิม ประกาศชัย

                                                            ป๋าคะป๋า งวดใหม่ จัดให้มา

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 25)

 

          ตัวบทนี้แสดงให้ความขำขื่นของ “ข้าพเจ้า” เมื่อต้องกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ตั้งใจ จุดเริ่มต้นมาจากเรื่องเล็กน้อยอย่างการใบ้เลขหวยที่บังเอิญแม่นยำ แต่กลับจุดประกายศรัทธาให้แก่แม่บ้าน ขณะเดียวกัน “ข้าพเจ้า” ที่เต็มไปด้วยความกังขาในใจ กลับไม่สามารถหยุดยั้งความงมงายนั้นได้ และจำต้องปล่อยให้เลยตามเลย ยอมให้ผู้คนนำของมาเซ่นไหว้บูชาตน ราวกับเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งจริง ๆ

          ลักษณะดังกล่าวยังสอดคล้องกับภาวะของ “หนู” ในบทกวี “ศาสดาอวตาร” ความว่า

 

                                                            หนูเป็น ศาสดา ใช่ไหมแม่

                                                            หนูคือ ความจริงแท้ ใช่ไหมพ่อ

                                                            หนูอวตาร สานบุญ โปรดสัตว์รอ

                                                            หนูควร ทำต่อ ใช่ไหมครับ

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 61)

 

          ผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารจะจำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ได้ กรณีเด็กชายวัยเก้าขวบที่มีผู้อ้างว่าสามารถเชื่อมจิตได้จนมีผู้คนแห่แหนไปกราบไหว้ และเกิดเป็นข้อถกเถียงในสังคมว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยบริสุทธิ์หรือมีผู้ใหญ่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เหตุการณ์จริงดังกล่าวกลายเป็นภาพซ้อนทับกับเนื้อหาในบทกวีได้อย่างน่าสนใจ เห็นได้จากตัวละคร “หนู” เองก็ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่แน่ใจในการกระทำของตน บทกวีจึงทิ้งคำถามสำคัญให้ขบคิดว่า การกระทำของศาสดาอวตารน้อยผู้นี้ เป็นไปเพื่อช่วยเหลือผู้คนให้พ้นทุกข์ หรือเป็นเพียงการหากินกับศรัทธาอันงมงายกันแน่

          ประเด็นความจริงความลวงยังพิจารณาได้จากบทกวีต่อไปนี้

 

                                                            จอมเวทย์ ขมังเวทย์ ยืนและยัน

                                                            ผีกระสือ แหละนั่น ที่นำเสนอ

                                                            นักวิชาการ ค้านว่า เหมือนเรื่องเพ้อ

                                                            ชาวบ้านว่า เคยเจอ แต่ไม่ประจำ

                                                            สื่อลง พื้นที่ เพื่อขายข่าว

                                                            ขยับขยาย เรื่องราว เช้ายันค่ำ

                                                            เจ้าหน้าที่ ตำรวจ สอบปากคำ

                                                            สรุปสำนวน ผู้กระทำ อาจโจรปลอม

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 48)

 

          ตัวบทข้างต้นมาจากบทกวี “หลอกผีกระสือ” ได้หยิบยกประเด็นความจริงและความลวงมาให้พิจารณา ผ่านเหตุการณ์ข่าวผีกระสือที่กระตุ้นให้ผู้คนในสังคมแสดงท่าทีแตกต่างกันไป มีทั้งผู้ที่เชื่อ ผู้ที่ต้องการพิสูจน์ และผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างสื่อมวลชนที่ตีข่าวเพื่อสร้างรายได้ เมื่อกระแสความสนใจจางลง ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าผีกระสือมีอยู่จริงหรือไม่ ปรากฏการณ์นี้จึงตีความได้ว่าอาจไม่ใช่ "ผีกระสือหลอกคน" แต่เป็น "คนหลอกกันเอง" ก็เป็นไปได้

 

                                                            จริง ไม่จริง ไม่รู้ จริง ไม่จริง

                                                            ปัญหา ยุ่งขิง ปมปัญหา

                                                            ปัญญา มืดมน จนปัญญา

                                                            วิชชา อวิชชา ล้วนพร่าเลือน

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 161)

 

          ตัวบทนี้มาจากบทกวี “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” ได้นำเสนอแก่นความคิดที่ลึกซึ้งผ่านชื่อเรื่อง ซึ่งสะท้อนหลักธรรมสำคัญในพุทธศาสนาคืออิทัปปัจจยตาหรือกฎแห่งเหตุปัจจัย แม้เนื้อหาจะกล่าวถึงคู่ตรงข้ามต่าง ๆ ทั้งความจริงกับความลวง ปัญหากับปัญญา หรือวิชชากับอวิชชา แต่บทสรุปของบทกวีชี้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเชื่อมโยงกันด้วยเหตุและผล การจะแก้ไขปัญหาได้จึงต้องใช้ปัญญาเพื่อสืบค้นไปถึงต้นตอ เมื่อเข้าใจเหตุแล้ว ผลลัพธ์ที่เปรียบดังอวิชชาและความลวงก็จะมลายไป เปิดทางให้ความรู้และความจริงอันแจ่มแจ้งปรากฏขึ้นนั่นเอง

 

                                                                 สินล่าง สินบน สินน้ำใจ

                                                           ศีล ละทิ้งไป ไม่มาสู่

                                                           สินทรัพย์ ทรัพย์สิน จงพรั่งพรู

                                                            ศีลธรรม ไม่รู้ ไม่รู้ธรรม

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 52)

 

          ตัวบทนี้มาจากบทกวี “อสุรกลาย” ได้เสียดสีพฤติกรรมการกราบไหว้บูชาที่เปลี่ยนไปของผู้คนในปัจจุบัน คำว่า"อสุรกลาย"หมายถึง การกลายร่างเป็นอสูร ซึ่งสะท้อนถึงจิตใจของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ผิด ตัวบทชี้ให้เห็นว่า ผู้คนจำนวนมากปฏิบัติต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งคู่ค้าทางธุรกิจ โดยใช้เครื่องเซ่นไหว้เป็น"สินบน"เพื่อแลกกับความช่วยเหลือหรือดลบันดาลให้ตนเองพ้นจากปัญหา โดยหลงลืมไปว่าหลักการครองตนตามศีลธรรม ซึ่งเป็นการสร้างเกราะป้องกันภัยที่แท้จริง กลับถูกละเลยและมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

                                                           

                                                            เราจะเห็น ความจริง ได้อย่างไร

                                                            ได้ โดยการเปิดใจ ร่วมค้นหา

                                                            เปิดความจริง ซ่อนเร้น เร้นศรัทธา

                                                            เปิดให้ สิ้นมายา ด้วยความจริง !

                                                                                          (นายทิวา, 2567, หน้า 169)

 

          ตัวบทนี้มาจากบทกวี “เราจะเห็นความจริงได้อย่างไร” ทำหน้าที่เสมือนบทสรุปและเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้กับหนังสือทั้งเล่ม โดยชี้ให้เห็นว่าทางออกจากสภาวะ “บังอบายเบิกฟ้า” นั้นเริ่มต้นจากการตั้งคำถามต่อศรัทธาของตนเอง บทกวีเสนอว่า ศรัทธาที่ปราศจากการไตร่ตรองหรือ “ศรัทธาอันมืดบอด” ย่อมนำไปสู่ความหลงทาง แต่หากผู้ศรัทธาใช้สติปัญญาควบคู่ไปกับความเชื่อ ยอมเปิดใจพิจารณาอย่างรอบด้าน ก็จะสามารถมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่หลังม่านมายาคติได้ ซึ่งนั่นคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ทางออกของปัญหาทั้งมวล

          แม้ภาพรวมของกวีนิพนธ์ใน "บังฟ้าเบิกอบาย"จะฉาบฉายด้วยบรรยากาศอันมืดมน สิ้นหวัง และเต็มไปด้วยความน่าหดหู่ใจ จนอาจทำให้ผู้อ่านรู้สึกจมดิ่งไปกับความเน่าเฟะของสังคม แต่เป้าหมายที่แท้จริงของผู้ประพันธ์กลับไม่ได้มุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความเศร้าสลด หากแต่ทำหน้าที่เสมือนมีดผ่าตัดของศัลยแพทย์ผู้เที่ยงตรง ที่ต้องลงมือชำแหละบาดแผลของสังคมอย่างถึงแก่น เพื่อให้ผู้อ่านได้เผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสังเวชอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการประนีประนอม ความรุนแรงทางภาษาและความมืดหม่นของเนื้อหาจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลุกเร้าให้เราหยุดนิ่งและพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างจริงจัง

          กระบวนการชำแหละที่เกิดขึ้นตลอดทั้งเล่ม มีจุดประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านได้เรียนรู้แลทบทวนสภาวะชั่ว-ดี ที่ครั้งหนึ่งเคยชัดเจน แต่บัดนี้กลับพร่าเลือนจนแยกไม่ออกในสังคมร่วมสมัย จนเกิดการตื่นรู้ด้วยสติปัญญากวีนิพนธ์เล่มนี้ท้าทายระบบความเชื่อเดิม ๆ และตั้งคำถามอย่างรุนแรงต่อ "ศรัทธาที่ไร้ปัญญา" ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความงมงาย การหลอกลวง และเป็นต้นตอของปัญหามากมายที่ถูกตีแผ่ในแต่ละบทกวี ดังนั้น ความรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดจากการอ่านจึงเป็นเสมือนยาขม ที่มุ่งหวังจะเยียวยาอาการเมินเฉยและปลุกให้สังคมตื่นขึ้นจากความหลับใหล

          ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อผู้อ่านได้ผ่านกระบวนการเผชิญหน้ากับความจริงอันเจ็บปวดและได้ตื่นขึ้นด้วยสติปัญญาของตนเองแล้วนั้น ก็จะนำไปสู่การเบิกฟ้าให้ชีวิตได้อย่างแท้จริง การตื่นรู้นี้เองที่จะกลายเป็นเกราะป้องกันทางความคิด ช่วยให้เราสามารถ“บังอบาย”หรือปิดกั้นหนทางสู่ความมืดมิด ความชั่วร้าย และความงมงายที่ถูกหยิบยื่นให้ ขณะเดียวกันก็เป็นการ“เบิกฟ้า”เพื่อเปิดทางสว่างและความหวังให้แก่ชีวิตและสังคมโดยรวม เป็นการเปลี่ยนจากสภาวะที่ถูกครอบงำด้วยความเท็จ ไปสู่สภาวะของการเป็นผู้เลือกทางเดินชีวิตด้วยปัญญาของตนเองอย่างแท้จริง

          โดยสรุป "บังฟ้าเบิกอบาย" จึงเป็นผลงานวรรณกรรมที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญในการเป็นกระจกสะท้อนความจริงอันดำมืดของสังคมอย่างไม่เกรงกลัว ผู้เขียนจงใจใช้ภาษาที่เสียดสี คมคาย และรุนแรง เพื่อเป็นเครื่องมือกระแทกกระทั้นความรู้สึกนึกคิด กระตุ้นให้ผู้อ่านตื่นจากความหลงใหลในมายาคติและภาพลวงตาทั้งปวง และหันกลับมาใช้สติปัญญาเป็นแสงนำทางในการดำเนินชีวิต ถือเป็นวรรณกรรมที่ท้าทายแต่ก็แฝงไว้ด้วยความปรารถนาดี เพื่อนำพาสังคมไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิม

 

รายการอ้างอิง

นายทิวา (นามปากกา). (2567). บังฟ้าเบิกอบาย. ออน อาร์ต.

สกุล บุณยทัต. (2567, 3 พฤษภาคม). บังฟ้าเบิกอบาย “เมื่อไม่อาจเชื่อถือในความจริง...ความเท็จก็ยิ่งทรงพลัง”.

               สยามรัฐ.