เรื่องสั้น : ระวังคนข้างหลังไว้ให้ดี : สิงหา กันยา

เรื่องสั้น : ระวังคนข้างหลังไว้ให้ดี : สิงหา กันยา

 

            ฟ้ามืดครึ้มดำทะมึนคล้ายเห็ดยักษ์ผุดกลางท้องฟ้า เพียงชั่วอึดใจ สายฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่บนถนนที่ทอดยาว กลับมีเพียงรถกระบะสีขาวจอดนิ่งอยู่ข้างทาง มีชายหนุ่มที่เพิ่งผ่านวัยเด็กชายมาหมาด ๆ บ่นพึมพำในรถ “ฝนตกแล้ว รถก็ดันมาเสีย แถวนี้ มีช่างหรือเปล่านะ” แล้วเขาจึงตัดสินใจออกจากรถ วิ่งต่อไปตามทาง พยายามหันซ้ายแลขวา ไม่ใช่แค่ไม่เจออู่ซ่อมรถ แม้แต่บ้านสักหลังก็ช่างห่างไกล ฝนตกหนักขึ้น ๆ เขารีบวิ่งหวังมีร่มเงาให้พักหลบฝน แต่ยิ่งวิ่งทางข้างหน้ายิ่งโล่งไร้ที่กำบัง เขายังคงวิ่งต่อไปหวังว่าจะต้องมีที่ให้ได้พักหลบฝน แต่แล้วก่อนทางโค้งเขาก็มองเห็นบ้านหลังหนึ่งที่แง้มประตูเปิดไว้ จึงรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนโดยไม่ทันได้ถามเจ้าของบ้าน

            เขายืนตัวสั่นเพราะความหนาว เสื้อผ้าเปียกโชกจนน้ำไหลนองพื้น ด้วยความเกรงใจจะทำให้บ้านเลอะเทอะ เขาจึงรีบมองหาผู้เป็นเจ้าของบ้าน แต่ก็ไม่พบ จึงรีบเดินออกจากบ้านมายืนอยู่หน้าบ้านแค่พอมีชายคาบังฝนที่ยังไม่มีวี่แววจะหยุด ขณะกำลังยืนมองสายฝนเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาหยุดหน้าประตูบ้าน หนุ่มน้อยรีบหันไปตามเสียง พบชายชราร่างสูง ผอม แก้มตอบ ผมยุ่งเหยิงกำลังยืนส่งยิ้มเห็นฟันหลอพลางยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขา พร้อมเชื้อเชิญให้เข้าบ้าน จัดแจงนำกาแฟร้อนหอมกรุ่นพร้อมขนมปัง มาวางต้อนรับ หนุ่มน้อยรีบคว้ามาซดหวังอาศัยความร้อนจากกาแฟสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ชายชราใบหน้าเปื้อนยิ้มชวนพูดคุยอย่างเป็นกันเอง และบอกให้ทำตัวตามสบาย ไม่ต้องรีบออกไปตอนฝนตก

            “พ่อหนุ่ม อยู่ที่นี่ได้นะ ลุงอยู่คนเดียว จะได้มีเพื่อนคุยแก้เหงาสักหน่อย” เสียงชายชราแหบแห้งและเบามากจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็ยังชวนคุยไปเรื่อย เล่าเรื่องตลกบ้าง เรื่องข่าวทั่วไปบ้าง จนกระทั่งเสียงฝนเบาลง ชายหนุ่มจึงขอออกเดินทางต่อ

            ลุงเจ้าของบ้านเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ยังชวนคุยไปเรื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ความอึมครึมและอึดอัด หนุ่มผู้มาเยือนรีบลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณและขอลาเจ้าของบ้าน

            ชายชราค่อย ๆ เดินมาจับไหล่ชายหนุ่มหน้าคมเข้ม ดันให้เขานั่งลงที่เดิม บีบนวดปลอบโยนให้คลายกังวล แล้วชวนคุยถึงคนในครอบครัวก่อนเดินเข้าครัว หยิบกาแฟและผลไม้มาเพิ่ม หนุ่มน้อยไม่กล้าหยิบอะไรกินอีก ได้แต่เพียงนั่งเฉย ๆ และพยายามย้ำว่า จะขอลาไปสักที เพราะฝนหยุดตกแล้ว แต่ชายชราทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินหายไปในครัวอีกครั้ง

 

             หนุ่มน้อย เริ่มรู้สึกหนังตาหนักขึ้น ๆ คล้ายอาการง่วงนอน ขณะกำลังเคลิ้ม สายตาที่ใกล้จะริบหรี่ มองเห็นลุงเจ้าของบ้านเดินกลับมาแล้วค่อย ๆ เงื้อมีดขึ้น แสงไฟกระทบใบมีดสะท้อนเข้าตาจนพร่ามองไม่เห็น แต่ก็พยายามรวบรวมกำลังลุกหนีจังหวะเดียวกับผู้จ้องมองที่พุ่งเข้ามาหวังปักมีดลงบนต้นคอผู้มาเยือน อาจด้วยพลังเฮือกสุดท้ายในการเอาตัวรอด ทำให้มีดโดนเพียงโคนแขน เขารวบรวมพลังอีกครั้งยื้อแย่งมีดในมือลุงคนเดิม แต่กำลังเขายิ่งถดถอยลง ลุงถือโอกาสนั้นสะบัดมือหลุดออกมาแล้วจ้วงแทงท้องอีกฝ่ายมิดด้าม ไม่มีเสียงร้อง มีเพียงเลือดที่ไหลนอง

            ลุงเจ้าของบ้านสะดุ้งตกใจคล้ายหลุดจากภวังค์ ลุกขึ้นปิดประตู แล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองไกลออกไปไม่ถึงกิโลเมตร หลังคาสีฟ้า ที่มีเสาธงชาติเด่นตระหง่านสูงคู่กัน พลางร้องไห้สะอื้นหนักพึมพำเรียก ตำรวจ ๆ กูไม่ได้ฆ่ามัน กูไม่รู้ มันจะหนีกู... แล้วลุงก็ค่อย ๆ ปิดหน้าต่างช้า ๆ โดยไม่ทันได้มองว่ามีสายตาอีกคู่ลอบมองเหตุการณ์ภายในบ้านอยู่ไกล ๆ

            เด็กหนุ่มวัย 16 ค่อย ๆ ยืดตัวออกจากพุ่มไม้ เช็ดคราบน้ำตาด้วยมือสั่นเทาทั้งจากความหนาวที่ยอมตากฝนและความหวาดกลัวเหตุการณ์ตรงหน้า เขาผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ เพราะยังรู้สึกว่าหัวใจยังเต้นแรง ถ้าเขาไม่สะดุดรากต้นไม้ล้มลงก่อน คนที่จะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอาจเป็นเขา นึกย้อนไปตอนฝนตกหนักเมื่อสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา เขารีบวิ่งหาที่หลบฝน พอเห็นลาง ๆ ว่ามีบ้านหลังหนึ่งอยู่ไม่ไกล จึงรีบวิ่งเร็วขึ้น แต่อารามรีบร้อนจึงไม่ทันก้มมองพื้น รากไม้โผล่พ้นดินออกมาสะดุดล้มหน้าคะมำ พอตั้งสติได้เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังนั้น ขณะกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปขอหลบฝนด้วย กลับมีชายชราตัวผอม สวมเสื้อเชิ้ตขาด ๆ กางเกงหลวม ๆ ผมเผ้าเหมือนไม่เคยสัมผัสหวี เปิดประตูออกมาดึงชายคนนั้นเข้าบ้าน เขาจึงหยุดยืนมองอย่างไม่วางใจ แต่ระหว่างกำลังสังเกตการกระทำของชายชรา เขาก็ต้องตกใจกับเหตุการณ์ในบ้าน คิดอะไรไม่ออกจึงรีบหาที่หลบซ่อนตัวเกรงว่าเจ้าของบ้านนั้นจะมองเห็น

 

            สาวน้อยแก้มใสมองออกไปนอกหน้าต่างที่ลางเลือนเพราะฝนกำลังตกหนัก แต่เธอยังคงจ้องมองไม่วางตาเฝ้ารอพี่ชายอย่างจดจ่อ เขาสัญญาอย่างมั่นเหมาะว่าจะออกไปซื้อขนมที่ชอบกลับมาให้ทันก่อนค่ำ เธอไม่รู้ว่าค่ำของพี่ชายนั้นกี่โมง แต่เธอเข้าใจแค่ว่า มันมืดแล้ว มืดและฝนตกหนัก อากาศก็เริ่มเย็นขึ้น เธอค่อย ๆ ซุกตัวใต้ผ้าห่มอุ่นรอจนกว่าฝนจะหยุด แล้วจะออกผจญภัยตามหาพี่ชายขี้โกงที่ไม่ทำตามสัญญา

            เธอลืมตื่นตาขึ้นอย่างงุนงง รีบลุกขึ้นมองออกไปนอกบ้าน ฝนหยุดตกแล้ว และแสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านเข้ามา เช้าแล้วแต่พี่ชายยังไม่กลับ ทั้งที่รับปากพ่อกับแม่อย่างหนักแน่นว่าจะดูแลเธอ ไม่หนีไปเที่ยวที่ไหน แต่กลับหายไปทั้งคืน ทำให้เธอเริ่มกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพี่

            สาวน้อยหน้าใสรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรวบรวมความกล้าเปิดประตูเดินมุ่งหน้าไปตามถนนใหญ่ แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งร้อน ยิ่งเดินก็ยิ่งเงียบ บนถนนเวิ้งว้างไม่มีรถผ่านมาสักคัน เธอหยุดยืนมองไปรอบ ๆ ดูมืดมนหนทาง ไม่รู้ว่าเธอเดินมาไกลถึงที่ไหนแล้ว และพี่ชายตัวดีไปอยู่ตรงไหน ขณะเธอกำลังมองหา พลันสายตาก็เห็นบ้านหลังหนึ่ง จึงรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือแต่ภาพที่เห็นทำให้ต้องนิ่งอึ้ง คนนอนคว่ำหน้า เลือดไหลนอง นอนนิ่งอยู่ ผู้ชายผิวขาว สูง สวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้นสีขาว ใจคิดไปถึง...พี่ชาย จู่ ๆ ขนแขนลุกชัน รู้สึกได้ถึงความเย็นที่ต้นคอ บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ จึงค่อย ๆ ถอยห่าง พยายามรวบรวมกำลังวิ่งต่อไปข้างหน้า มองไกล ๆ เธอมองเห็น สถานีตำรวจ

            สาวน้อยวัย 13 วิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ชนเข้ากับตำรวจที่กำลังเดินสวนทาง เธอรีบพูดบอกเรื่องราวที่พบเห็นคนนอนแน่นิ่งจนกองเลือดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งทั้งที่ยังหอบหายใจ พลางดึงมือตำรวจหน้าเข้มเครางามไปที่บ้านหลังนั้น ทั้งสองมาหยุดที่หน้าบ้านหลังเดิม แต่พบเพียงความว่างเปล่า ตำรวจหนุ่มค่อย ๆ เดินสำรวจรอบบ้าน ก้าวเข้าไปตรวจตราภายในบ้าน กลับไม่เจอสิ่งผิดปกติ จึงตะโกนต่อว่าสาวน้อยว่าโกหก ทำแต่เรื่องไร้สาระ เด็กเลี้ยงแกะ คบเด็กสร้างบ้าน ไม่น่าเสียเวลามาที่นี่ ขณะนายตำรวจหน้าดุกำลังจะก้าวออกจากบ้าน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาด้านหลังจึงรีบหันไป แต่... ช้าเกินกว่าจะเอื้อมหยิบปืนข้างตัว มีดปักฉับลงกลางหลัง เขาล้มลงนอนกระตุกสองสามทีก่อนแน่นิ่งไป

            สาวน้อยรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต หลับหูหลับตาวิ่งโดยไม่ฟังเสียงใด ๆ แล้วเธอก็สะดุดขอนไม้ล้มลง ปวดแปลบที่ข้อเท้าแทบขยับไม่ได้ ขณะกำลังพยายามขยับตัวลุกขึ้น เหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง เธอหันควับอย่างลืมกลัว พ...พี... เธอเปล่งเสียงไม่ทันครบคำ ชายตรงหน้าก็เข้าประชิดตัวแล้วปิดปากเธอไว้ไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา

            “อย่าส่งเสียงนะ” ชายตรงหน้าส่งสายตาห่วงใยพลางส่งเสียงเบา ๆ แทบกระซิบ เด็กสาวพยักหน้ารับทั้งน้ำตา มือที่ปิดปากไว้จึงค่อย ๆ ปล่อยออก เขาก้มลงมองข้อเท้าเธอ แล้วค่อย ๆ บีบอย่างเบามือ แต่ทำให้เธอต้องกัดฟันข่มความเจ็บ

            “พี่...” สาวน้อยส่งเสียงเรียกเบา ๆ

            “เจ็บมากไหม เดินไหวไหม” พี่ชายยังคงจับข้อเท้าเธอไว้ เธอพยักหน้าแล้วค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น แต่พี่ชายกลับดึงมือให้นั่งลงตามเดิม เมื่อมีเสียงร้องจากบ้านหลังนั้น ทั้งสองจับมือกันแน่นด้วยความหวาดกลัวแต่สายตายังจับจ้องไปที่บ้านต้นเสียงอย่างจดจ่อ แล้ว...ประตูเปิดออก ชายชราเจ้าของบ้านค่อย ๆ เดินออกไปทั้งที่ในมือยังถือมีดเปื้อนเลือด สองพี่น้องหันมองหน้ากัน พี่ชายส่งสายตาบอกความบางอย่าง พลางส่งสัญญาณมือให้ผู้เป็นน้องคอยอยู่ตรงนี้ แล้วพี่ชายก็ค่อย ๆ เดินมุ่งหน้าไปที่บ้านนั้น

            หนุ่มน้อยก้าวผ่านประตูที่ถูกเปิดค้างไว้ เดินสำรวจทีละห้อง ๆ แต่ก็ไม่เจอใครที่จะเป็นต้นเสียงร้องที่เขาและน้องได้ยิน ห้องแรก เจอแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์สักตัว ห้องที่สอง ถูกเปิดออก กลิ่นคาวเลือดคุ้งพุ่งออกมาปะทะจมูกของผู้มาเยือน มองเห็นเลือดเปื้อนพื้นเป็นรอยลาก เขาเดินตามรอยนั้นไปจนได้เจอภาพน่าสะพรึงตรงหน้า ชายหญิงนั่งหันหลังชนกันโดยที่มือถูกมัดไพล่หลังไว้ด้วยกันมีคราบเลือดแห้งกรังติดเชือก ทั้งคู่สลบไม่ได้สติ

            “พ่อ...แม่” หนุ่มวัย 16 รีบเขย่าตัวให้ทั้งสองคนได้สติตื่นขึ้น ชายสูงวัยตื่นก่อน พยายามเพ่งมองคนเรียก ตาที่พร่ามัวค่อย ๆ ปรับให้ชัดขึ้น เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของผู้เป็นสายเลือด เขารีบแกะเชือกที่มัดแน่นอย่างรีบร้อน แต่มันไม่ง่ายดั่งใจคิด

            “หนีไปเถอะลูก เดี๋ยวเขากลับมา ลูกจะอันตราย” เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่ผู้เป็นลูกส่ายหน้าปฏิเสธ และยังพยายามแกะเชือก แต่แล้ว...สายตาก็เหลือบเห็นมีดคัตเตอร์เล่มเล็กอยู่บนโต๊ะ จึงรีบคว้ามาเฉือนให้เชือกขาดทีละเส้น ๆ จนเชือกขาดหลุดพันธนาการ เขาเข้าพยุงพ่อและแม่ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล สามคนค่อย ๆ เดินออกจากบ้าน ขณะกำลังจะพ้นจากอาณาเขตบ้าน ได้ยินเสียงตะโกนห้ามดังกึกก้องจนทำให้ต้องชะงักหยุดนิ่ง

            ชายชราเจ้าของบ้านยืนกำมีดในมือแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว ตาแดงกล่ำจ้องมองเขม็ง หนุ่มน้อยกางแขนปกป้องผู้มีพระคุณ เตรียมพร้อมมีดคัตเตอร์ในมือดันใบมีดให้ยาวขึ้น ชายชราเงื้อมีดสูงพร้อมกระโจนเข้ามา ชายหนุ่มดันพ่อกับแม่หลบอีกทาง พร้อมสะบัดมือที่มีมีดกรีดลงแขนผู้ประสงค์ร้าย ชายคลั่งกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดแดงไหลหยดลงพื้น หนุ่มน้อยคว้าแขนพ่อแม่วิ่ง แต่ด้วยความอ่อนล้าของทั้งสองผู้เป็นลูกจึงต้องกึ่งจูงกึ่งลาก หนีชายชราคลั่งความเจ็บวิ่งไล่หลัง

            ผ่านพุ่มไม้ทำให้เขานึกขึ้นได้ จึงร้องเรียกน้องสาวที่ซ่อนตัวอยู่ทันที สาวน้อยโผเข้ากอดพ่อแม่และพี่ชายและพากันวิ่งต่อไป “รถพ่อจอดอยู่ตรงนั้น” พ่อชี้มือไปใต้ต้นไม้ใหญ่ริมถนนใหญ่ ทุกคนเร่งฝีเท้าให้ถึงจุดหมายอย่างเร็ว เชารีบสตาร์ทรถบึ่งออกไปทันเวลาพอดี

            ภาพชายชราบ้าคลั่งชูมีดแกว่งไปมาพร้อมตะโกนโหวกเหวกอยู่เบื้องหลังค่อย ๆ ตัวเล็กลง ๆ จนกลายเป็นจุดเล็ก ๆ หนุ่มน้อยยิ้มสดใสได้อีกครั้ง รีบขับรถมุ่งไปรพ.ที่ใกล้ที่สุด พ่อแม่ถึงมือหมอแล้ว พี่น้องยืนกอดกันอย่างโล่งใจ...

            ผู้เป็นพ่อและแม่ต้องนอนให้น้ำเกลืออยู่นานกว่าจะฟื้นฟูร่างกายจนแข็งแรง ผ่านมาร่วมเดือนแพทย์จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ ระหว่างทางรถแล่นผ่านทางเข้าบ้านของชายชราคนนั้น แม้บ้านหลังนั้นจะถูกไฟไหม้เหลือเพียงตอตะโกไปแล้ว แต่ความหวาดหวั่นยังทำให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ภาพเหตุการณ์ระทึกครั้งนั้นฉายแจ่มชัดในดวงตาของทุกคนบนรถ แม้ชายชราเจ้าของบ้านจะถูกไฟไหม้ไปพร้อมกับบ้านหลังที่ซุกซ่อนร่างไร้วิญญาณไว้อีกสามร่างแล้ว ตามที่ได้เห็นภาพข่าวในทีวี

            ชายชราผู้เคยมีความสุขกับรอยยิ้มของลูกชายตัวน้อย กลับกลายเป็นคนคลั่งที่คอยผู้มาเยือนเข้ามาสู่เรือนและรอเวลาพรากชีวิตของคนเหล่านั้นด้วยมีดคู่ใจ เพียงหวังว่า จะเอาชีวิตมาทดแทนชีวิตของลูกน้อยที่ถูกพรากจากอกด้วยโรคร้ายที่ไม่เคยปรานีใคร

            สองพี่น้องประคองผู้มีพระคุณเดินเข้าบ้านด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขอีกครั้ง ขณะกำลังหมุนลูกบิดประตู คลิก...ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ประตูไม่ได้ล็อก ! หนุ่มน้อยค่อย ๆ เปิดประตูอย่างระมัดระวัง ในห้องรับแขก มีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ เสียงประตู ทำให้แขกผู้มาเยือนค่อย ๆ หันมา...

            ชายชราตัวผอม สวมเสื้อเชิ้ตขาด ๆ กางเกงหลวม ๆ ผมเผ้าเหมือนไม่เคยสัมผัสหวี ค่อย ๆ หันมายิ้มเห็นฟันหลอ !

 

..............................................................

 

Link ที่เกี่ยวข้อง  

 

             “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

              วรรณกรรมออนไลน์