ช่วย ‘พระ’ รักษาพระธรรมวินัย อย่าช่วย ‘พระ’ ทำผิด !

ช่วย พระรักษาพระธรรมวินัย อย่าช่วย พระทำผิด !

 

         “ทองย้อย แสงสินชัย” ระบุ อยากมี “พระ” ที่ดี ต้องช่วย “พระ” รักษาพระธรรมวินัย รู้ “ต้องทำ - ห้ามทำ” อย่าเอาแค่ “ถูกใจ - ขัดใจ” หนุนคิดค้นระบบ “บัตรปวารณา”

 

พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา ได้เสนอความคิดเห็นในหัวข้อ “คิดหาวิธีช่วยพระกันบ้าง” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า ถ้าอยากเห็นสังคมไทยมีพระภิกษุสามเณรที่ดี ต้องช่วย “พระ” รักษาพระธรรมวินัยหรือวิถีชีวิตสงฆ์ โดยไม่สนับสนุนให้พระภิกษุสามเณรละเมิดพระธรรมวินัย โดยควรต้องรู้ว่า สิ่งใดที่ “พระ” ต้องทำ และสิ่งใดที่ “พระ” ห้ามทำ พร้อมกับเสนอให้มีการคิดค้นระบบ “บัตรปวารณา” เพื่อสนับสนุนให้ “พระ” ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ได้อย่างสะดวก

 

         ทั้งนี้ เนื้อหาในการนำเสนอความคิดเห็นดังกล่าว มีดังนี้

 

 

 

คิดหาวิธีช่วยพระกันบ้าง

 

ผมเคยเสนอแนวคิดว่า เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับความประพฤติของพระภิกษุสามเณร ขอให้เราถอยมาตั้งหลักกันที่-ลงมือแสวงความรู้เกี่ยวกับประเด็นปัญหานั้น ๆ ก่อน

 

มีปัญหาเกี่ยวกับความประพฤติของพระภิกษุสามเณร ก็หาความรู้ในหลักพระธรรมวินัย

 

ต้องตั้งหลักกันที่-พระธรรมวินัยเป็นตัวตัดสินความเป็นภิกษุสามเณร

 

ไม่ใช่เอาความเห็นความเข้าใจของเราเองเป็นที่ตั้ง

 

พวกเราเวลานี้หลงทางกันตรงนี้-คือ อยากเห็นสังคมมีพระภิกษุสามเณรที่ดี แต่ไม่สนใจหรือไม่รับรู้ว่า หลักพระธรรมวินัยอันเป็นตัวชี้วัดความเป็นพระภิกษุสามเณรทีดีมีอยู่อย่างไร และท่านประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมากน้อยแค่ไหน

 

เห็นพระทำอะไร ถ้าถูกใจเรา เราก็ชื่นชมศรัทธา

 

เห็นพระทำอะไรไม่ถูกใจเรา เราก็ตำหนิติเตียน

 

ทั้งนี้ โดยไม่รับรู้ว่า เรื่องนั้นกรณีนั้นหลักพระธรรมวินัยว่าไว้อย่างไร

 

ถ้าอยากเห็นสังคมไทยมีพระภิกษุสามเณรที่ดี ก็ต้องหาวิธีให้ท่านรักษาพระธรรมวินัยหรือวิถีชีวิตสงฆ์ไว้ให้ได้ก่อนเป็นเบื้องต้น

 

วิธีหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ เราชาวบ้านช่วยกันศึกษาหาความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ไว้ในระดับที่พอมองออกบอกถูกว่า ในวิถีชีวิตสงฆ์ อะไรบ้างที่ “ห้ามทำ” และอะไรบ้างที่ “ต้องทำ”

 

ข้อที่สำคัญมาก ๆ ก็คือ ชาวบ้านอย่าทำหรืออย่าสนับสนุนการกระทำที่ทำให้พระภิกษุสามเณรละเมิดพระธรรมวินัยเสียเอง -

 

เช่นเอาสตางค์ใส่บาตรเวลาพระภิกษุสามเณรออกบิณฑบาตเป็นต้น ซึ่งเวลานี้ชาวบ้านทำกันทั่วไปหมด พระภิกษุสามเณรก็เลยละเมิดวินัยเรื่องรับเงินกันทั่วไปหมด-จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว

 


พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย 

 

อีกทางหนึ่งที่ควรทำก็คือ ช่วยกันคิดหาวิธีการที่จะเกื้อกูลให้พระภิกษุสามเณรท่านรักษาพระธรรมวินัยได้สะดวกขึ้น พร้อม ๆ ไปกับให้ท่านมีโอกาสทำประโยชน์ตนและประโยชน์พระศาสนาควบคู่กันไปได้อย่างเต็มที่

 

ตัวอย่างเช่นที่ผมเคยเสนอว่า-ให้ช่วยกันคิดค้นระบบ “บัตรปวารณา” ให้พระภิกษุสามเณรพกติดตัว

 

เวลาจะใช้เงินก็ให้ท่านใช้บัตรปวารณารูดแทน

 

“บัตรปวารณา” รูดได้เฉพาะรายการที่กำหนดไว้ เช่น ค่าพาหนะ ค่าภัตตาหารเป็นต้น รูดนอกรายการที่กำหนดไม่ได้

 

ขืนรูดนอกรายการ ไฟแดงแจ้งโทษจะขึ้นโชว์ ผู้ถือบัตรจะถูกสอบสวนทวนโทษทันที

 

“บัตรปวารณา” รูดเป็นตัวเงินไม่ได้ เพราะไม่มีเงินอยู่ในนั้น มีแต่ “กำลังซื้อ” ซึ่งแปลงเป็นตัวเงินไม่ได้

 

ขืนรูด ขืนพยายามแปลง ไฟแดงแจ้งโทษจะขึ้นโชว์ ผู้ถือบัตรจะถูกสอบสวนทวนโทษทันทีอีกเหมือนกัน

 

วิธีนี้จะช่วยสนับสนุนกรอบขอบเขตให้เห็นชัดขึ้นว่า จ่ายค่าอะไรเป็นความจำเป็นของพระ จ่ายค่าอะไรไม่ใช่วิถีชีวิตของสงฆ์

 

เป็นการสนับสนุนให้พระดำรงอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์ได้อย่างสะดวก

 

กำหนดระบบบัญชีเงินของสงฆ์ขึ้นมา

 

ใครอยากถวายเงินให้พระ ก็ถวายผ่านบัญชีเงินของสงฆ์

 

เงินจากบัญชีสงฆ์ โอนเป็น “กำลังซื้อ” ไปเข้า “บัตรปวารณา”

 

พระก็ไม่ต้องรับเงิน ไม่ต้องจับเงิน แต่สามารถจ่ายค่าสิ่งที่จำเป็นในวิถีชีวิตสงฆ์ได้อย่างสะดวก

 

อะไรที่ไม่ใช่วิถีชีวิตสงฆ์ ก็เป็นการบังคับไปในตัวว่าจ่ายไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ เป็นการเตือนสติไปในตัวว่าท่านกำลังอยู่ในวิถีชีวิตสงฆ์นะ

 

ผมเชื่อว่าไฮเทคในปัจจุบันนี้สามารถคิดทำระบบที่ว่านี้ขึ้นมาใช้ได้

 

ใครที่บอกว่ารักพระศาสนา ห่วงพระศาสนา กระเหี้ยนกระหือรือที่จะกำจัดอลัชชีให้หมดไปจากพระศาสนา ลองหันมาช่วยกันคิดวิธีนี้ดูบ้างสิครับ

 

ลองหันมาใช้วิธี-ช่วยกันคิดหาวิธีการให้พระปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้อย่างคล่องตัว พระจะได้ไม่ต้องอ้างว่าโลกเปลี่ยนไป สภาพสังคมเปลี่ยนไป พระปฏิบัติพระธรรมวินัยไม่ได้ ไม่สะดวก

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องปรับความเข้าใจให้ถูกต้องว่า “วิถีชีวิตสงฆ์” คืออะไร

 

นั่นคือ พระภิกษุสามเณรเองก็ต้องพยายาม “ออกจากเรือนไปสู่ความเป็นผู้ไม่มีเรือน” (อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา) จริง ๆ

 

ทั้งนี้ โดยยึดหลักจากกระสวนประโยคในบาลีที่ว่า “*ยเถว มยํ ... เอวเมวิเม”

 

แปลสั้น ๆ ว่า “พระทำอย่างนี้ก็เหมือนชาวบ้าน” อันเป็นคำที่ชาวบ้านสมัยพุทธกาลวิพากษ์วิจารณ์พระที่ประพฤตินอกกรอบ (*ดูประโยคภาษาบาลีจากต้นฉบับ คือ คัมภีร์มหาวิภังค์ ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๒ ข้อ ๑๐๕ ข้อ ๔๕๑ ข้อ ๔๕๖ เป็นต้น)

 

ผมเชื่อว่า ไฮเทคในปัจจุบันนี้สามารถคิดทำระบบที่เกื้อกูลให้พระปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างคล่องตัวขึ้นมาใช้ได้จริง ๆ

 

ถ้าผู้บริหารการพระศาสนาไม่มีความคิดที่จะทำ

 

(ซึ่งก็ไม่มีจริง ๆ เพราะท่านเฉยทุกเรื่อง)

 

เราชาวบ้านก็ต้องช่วยกันคิดทำ

 

ใครที่รักและห่วงพระศาสนา ช่วยกันคิดหาวิธีช่วยพระหน่อยนะครับ

 

ถ้าด่าพระได้

 

ก็ต้องคิดหาวิธีช่วยพระได้ด้วย

 

พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย

ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา

๒๘ มกราคม ๒๕๖๘

๑๘:๒๓”

 

//..............

              CR : ทองย้อย แสงสินชัย

//...............