ฮือต้าน !! รณรงค์เข้าชื่อ ‘ไม่เอากาสิโน’
ฮือต้าน !! รณรงค์เข้าชื่อ ‘ไม่เอากาสิโน’
“มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน” ปลุกกระแส เชิญชวน ปชช. เข้าชื่อ “ร่วมเป็น 1 เสียง” แสดงจุดยืน “ไม่เอากาสิโน” ชี้ชัด “เหตุผล 3 ไม่” ไม่ชอบธรรม ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน” ได้เผยแพร่ข้อความและรูปภาพ รณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนร่วมเข้าชื่อเป็น 1 เสียง แสดงจุดยืน “ไม่เอากาสิโน” โดยให้เหตุผล 3 ไม่ คือ “ไม่ชอบธรรม ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจ” โดยมีเนื้อหา ดังนี้
“ร่วมเป็น 1 เสียง แสดงจุดยืนว่า ‘เราไม่เอากาสิโน’
จากการที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) อันมีกาสิโนเป็นส่วนประกอบหลักเข้าสู่รัฐสภา กฎหมายนี้จะเปิดช่องให้เปิดกาสิโนได้อย่างเสรี และก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมทั้งปัญหาอาชญากรรม การฟอกเงิน การทุจริตคอรัปชั่น การประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ฯลฯ
หากคุณคือคนไทยคนหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยกับการมีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย กรุณาร่วมกันส่งเสียงต่อรัฐบาลผ่านการลงชื่อแสดงจุดยืนว่า ‘เราไม่เอากาสิโน’ ได้ที่...
(คลิกที่ LINK)
https://forms.gle/PBBBYki6Lbcb4HZh9
‘ไม่ชอบธรรม ไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้ใจ’ เหตุผล 3 ไม่... ที่คนไทยไม่เอากาสิโน
1.‘ไม่ชอบธรรม’
กาสิโนไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนเรียกร้องต้องการ แต่เป็นความต้องการของผู้คุมอำนาจทางการเมืองและอำนาจทุน และกำลังพยายามจะใช้อำนาจมากลากไปเพื่อให้เปิดกาสิโนได้ตามอำเภอใจ
‘ไม่ฟัง’
ผลการศึกษาทางวิชาการของทุกสถาบันล้วนตรงกันว่า เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วยกับการมีกาสิโน
-ผลสำรวจของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า ในการสำรวจทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 2558 , 2560 , 2562 , 2564 และ 2566 คนไทยเกิน 50 % ไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้มีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย โดยเปอร์เซนต์ของผู้ไม่เห็นด้วย อยู่ระหว่าง 51 % ถึง 65 % มากกว่าผู้เห็นด้วยกับการเปิดให้มีกาสิโนถูกกฎหมายเกือบเท่าตัว
-ผลสำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้าโพลล์) วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2564 พบว่า 46.5 % และ 10.3 ไม่เห็นด้วยเลยและไม่ค่อยเห็นด้วยให้มีกาสิโนถูกกฎหมาย
-แม้กระทั่งผลที่คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 1 สำรวจโดยวิทยาลัยการเมืองและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ก็ยังพบว่า มีผู้ตอบเพียง 36 % ที่เห็นด้วยกับการมีกาสิโนถูกกฎหมาย
แต่ดูเหมือนรัฐบาลไม่เคยฟังเสียงของประชาชน
‘ไม่ซื่อ’
ที่สำคัญ ในการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา การตั้งสถานบันเทิงครบวงจรอันมีกาสิโนเป็นส่วนประกอบสำคัญ ไม่ได้ถูกประกาศในนโยบายหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดเลย โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย และรวมถึงพรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคชาติไทยพัฒนา อันเป็นพรรคแกนนำสำคัญ
การกระทำเยี่ยงนี้จัดได้ว่าเป็นความไม่ซื่อของพรรคร่วมรัฐบาล ที่พอมีโอกาสได้บริหารประเทศ ก็ใช้อำนาจกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพวกพ้องของตน โดยไม่สนใจรับผิดชอบต่อสิ่งที่หาเสียงไว้กับประชาชน
‘ไม่อาย’
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้จัดทำการรับฟังความเห็นประชาชน เกี่ยวกับ ร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ผ่านทางช่องทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่มีการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง และรีบร้อนรวบรัด เปิดรับฟังเพียง 18 วัน และไม่ได้มีข้อคำถามว่า ‘ประชาชนเห็นด้วยกับกฎหมายนี้หรือไม่ ?’ แต่หลังจากนั้น บุคคลในรัฐบาลกลับให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ประชาชนกว่า 80 % เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ นับเป็นเรื่องที่ไม่ละอาย
2.‘ไม่เชื่อมั่น’
‘ไม่โปร่งใส’
กฎหมายที่รัฐบาลกำลังเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ยกอำนาจการตัดสินทุกเรื่องเกี่ยวกับกาสิโนให้แก่ คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือเรียกว่า ‘ซุปเปอร์บอร์ด’ อันมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และรองนายกรัฐมนตรี 1 คนกับรัฐมนตรีบางกระทรวง 6 คนและข้าราชการประจำ 3 คน กับผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐมนตรีอีกไม่เกิน 6 คน โดยไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคส่วนอื่น ทั้งภาคท้องถิ่น และภาคประชาสังคม
ที่สำคัญคือ กฎหมายนี้ได้ตัดมาตราว่าด้วย ‘การรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ที่สถานบันเทิงครบวงจรจะไปตั้ง และพื้นที่ใกล้เคียง’ ออกไปจากร่างเดิม แสดงให้เห็นเจตนาที่ไม่ต้องการให้มีการตรวจสอบ ไม่มีความโปร่งใส และไร้ซึ่งธรรมาภิบาล
‘ไม่จริงใจ’
รายงานการศึกษาเพื่อเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ฯ ของสภาผู้แทนราษฎร เสนอว่าประเทศไทยควรยึดต้นแบบ ‘สิงคโปร์โมเดล’ เป็นสำคัญ โดยต้องมีกลไกป้องกันปัญหาและลดผลกระทบทางสังคมจากการมีกาสิโน แต่ในร่างกฎหมายที่รัฐบาลเสนอกลับไม่มีหน่วยงานป้องกันปัญหาและลดผลกระทบ รวมทั้งตัดหมวดว่าด้วย ‘กองทุนลดผลกระทบทางสังคม’ ออกไป แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจต่อการจะดูแลสังคมของรัฐบาล
‘ไม่ไหวแน่’
ปัญหาใหญ่ของประเทศที่มีกาสิโนถูกกฎหมายทั่วโลก คือ ความข้องเกี่ยวกับขบวนการอาชญากรรมและการถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการทุจริตคอรัปชั่น และความย่อหย่อนของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้น หากไม่มีการปฏิรูปตำรวจ และไม่มีการปราบคอรัปชั่นอย่างจริงจัง จะไม่มีทางจัดการปัญหาอาชญากรรม และการฟอกเงินในกาสิโนได้
3.‘ไม่ไว้ใจ’
‘ไม่รู้จะรีบไปไหน ?’
ปฏิบัติการของฝ่ายการเมืองต่อภารกิจนี้ มีความรีบร้อน และรวบรัด พยายามจะผลักดันกฎหมายให้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ โดยเร็ว ไม่มีกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนอย่างจริงจังและจริงใจ ไม่มีการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ รวมถึงไม่มีการศึกษาผลกระทบทางสังคมอย่างถูกต้องชอบธรรม
‘ไม่รู้ว่าเอื้อใคร ?’
ในบัญชีแนบท้ายกฎหมายของรัฐบาลฉบับนี้ ได้ลดสเปคกิจการต่าง ๆ อันเป็นส่วนประกอบของสถานบันเทิงครบวงจรร่วมกับกาสิโน เช่น โรงแรมไม่ต้อง 5 ดาว ห้างสรรพสินค้าไม่ต้องครบวงจร ศูนย์ประชุมฯ ไม่ต้องมี มีสระว่ายน้ำ สวนสนุก และร้านขายสินค้าOTOP เท่านั้นก็พอ
เหล่านี้น่าจะเป็นการเอื้อให้ผู้ลงทุนสามารถลดต้นทุนในส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกาสิโนได้
‘ไม่รู้เป็นตู้เอทีเอ็มของนายใหญ่...?’
ในกฎหมายฉบับนี้จะมีการตั้ง ‘สำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร’ ขึ้นมา ที่น่าสนใจคือ สำนักงานนี้จะมีรายได้มาจากหลายทาง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และอื่น ๆ ซึ่งเป็นหลักพันล้านในแต่ละปี โดยมีบทบัญญัติว่า ‘เงินและทรัพย์สินของสำนักงาน เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว เหลือเท่าใดให้สำนักงานนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน’
การเปิดช่องไว้เช่นนี้ อาจทำให้สำนักงานที่ตั้งใหม่นี้กลายเป็นช่องทางให้เกิดการนำเงินที่รัฐควรได้จากกิจการสถานบันเทิงครบวงจร มาใช้จ่ายเพื่อตอบสนองนโยบายของฝ่ายการเมืองได้ คล้าย ๆ กับกรณีของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในสมัยหนึ่ง ที่รายได้จากการจำหน่าย “หวยบนดิน” ที่ไม่ได้นำส่งเข้าแผ่นดิน กลายเป็นตู้เอทีเอ็มให้นายใหญ่กดนำมาใช้ดำเนินงานทางการเมืองได้อย่างสบายมือ”
//...............
//................