รู้จัก “ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด” ผู้เขียน “กี่บาด” นวนิยายซีไรต์ 2567

ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด” คุณหมอฟัน-นักเขียน เจ้าของผลงาน “กี่บาด” ซึ่งคว้ารางวัลซีไรต์ 2567 ประเภทนวนิยาย เขียนเล่าประวัติตนเอง ส่งให้สำนักพิมพ์คมบาง เมื่อครั้งตีพิมพ์ผลงานรางวัลเล่มนี้

 

 

        “ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด” เกิดใน “ปีเหม้า” ที่เหน็บหนาวสุด เติบโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนในจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออก จบมัธยมหกจึงสอบเข้าไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในมหานคร เป็นคนธรรมดาไม่โดดเด่น แผนชีวิตคร่าวๆ คือไหลไปตามยถากรรมบนสายพานของตลาดแรงงาน เป็นฟันเพืองตัวเล็กๆรับใช้ทุนนิยมโสภาและโสมม

        จนเมื่อเกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ปี 2554 ตุลาคมและพฤศจิกายนปีนั้น ชีวิตในมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายถูกสั่งให้หยุดกะทันหัน เลยเอ่ยปากขอเพื่อนสนิทให้กระเตงขึ้นไปเที่ยวหัวเมืองเหนือด้วย กินอย่างประหยัด พักห้องเช่ารูหนู ขึ้นกองล่องกองไปตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งประจวบเหมาะเป็นช่วงที่ “เชียงใหม่” จัดเทศกาล “ยี่เป็ง” พอดี

        นับตั้งแต่นั้นจึงเริ่มหลงใหลวัฒนธรรมประเพณีล้านนา ถึงกับเคยอธิษฐานต่อหน้าอนุสาวรีย์พญาเม็งราย ขอให้ลูกจบออกมาได้ไปทำงานที่ไหนก็ได้ในดินแดนล้านนา แต่บุญวาสนาคงยังไม่ถึง พญานาคท่านเลยมารับไปทำงานในจังหวัดลุ่มน้ำโขงแทน

 


 

        ด้วยความสนใจใคร่รู้ในวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมล้านนา เลยเรียนฟังและพูดกำเมืองจากช่องยูทูปเบอร์ต่างๆ ติดตามอินฟลูเอ็นเซอร์เมืองทั้งหลาย ซึมซับเอาภาษา วัฒนธรรม ค่านิยมประเพณี ต่อยอดไปสู่การตกหลุมรักคนเมือง ฟังเพลงศิลปินเมือง ฟังจ้อยฟังซอ ฟังคลิปตุ๊ท่านเทศน์ ศึกษาตัวธรรมล้านนา อ่านวรรณกรรมของนักเขียนล้านนาที่เป็นตำนานและร่วมสมัย

        ปัจจุบัน “ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด” ทำงานกินเงินเดือนในฐานะข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่จังหวัดชายแดนแห่งหนึ่งระหว่างซอกคอของภาคเหนือและอีสาน กินขนมเป็นส่วนใหญ่ ออกกำลังกายและทำงานเขียนเรื่องสั้นบ้างเล็กน้อยแล้วแต่วาระโอกาส ที่ต่างกันออกไป

        “กี่บาด” จึงเป็น “นิยายเรื่องแรก” ที่ได้รับการเผยแพร่ ของนักเขียนตาดำๆ คนนี้

 

ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด - กว่าชื่น บางคมบาง - กล้า สมุทวณิช

 

        “ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด” กล่าวไว้ใน “คำนำ” ของผลงานรางวัลซีไรต์เล่มนี้ว่า 

        “กี่บาด” ถือกำเนิดขึ้นระหว่างมื้อกลางวัน ขณะชมสารคดีวิถีชีวิตคนแม่แจ่ม สารคดีได้ไปสัมภาษณ์แม่อุ้ยท่านหนึ่งขณะนั่งกี่ทอผ้าว่า ผ้าที่แม่อุ้ยกำลังทอนั้นขายได้ราคา “กี่บาท” ตอนนั้นเองที่เกิดปฏิทรรศน์ในคำพ้องเสียง ที่สื่อความหมายไปคนละทิศละทาง ระหว่างจำนวนครั้งของความเจ็บปวด กับมูลค่าที่ถูกเปรียบเทียบประเมิน รวมไปถึงกี่ทอผ้าที่แม่อุ้ยในสารคดีกำลังฝัดฟืมตับๆ ต่อหน้ากล้องนั้นด้วย

        ความน่าสนใจคือ “การเปลี่ยนผ่านของสังคม” และ “ค่านิยม” ที่มีต่อ “ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม” จากเดิมนิยมที่ทอไว้นุ่งและเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่ยอมยกให้ใครง่ายๆนอกจากเป็นมรดกให้ลูกหลาน ไปสู่การทอเพื่อขายเป็นสินค้าหรูหราที่นับวันยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม  

        ในตอนแรกผู้เขียนจะนำเอาแนวความคิดนี้ไปพัฒนาเป็นเรื่องสั้น แต่เมื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ภาพชีวิตของช่างทอก็ค่อยๆผุดขึ้นมาทีละคน แต่ละคนมีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกเล่า ผ่านเส้นฝ้ายที่ทอขึ้นมาเป็นผ้าซิ่นตีนจกแต่ละผืน ผ่านบาดแผลต่างๆ ทั้งกลั้นใจทนได้และสาหัสสากรรจ์ และผ่านความรักทั้งหลายที่เก็บซ่อนและเปิดเผย ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เรื่องราวของ “กี่บาด” ไม่สามารถตัดทอนส่วนหนึ่งส่วนใดให้สามารถบรรจุลงในเรื่องสั้นแค่ไม่กี่หน้าได้

        ส่วนที่น่าสนใจระหว่างเขียนนิยายเรื่องนี้ คือบทบาทของผู้หญิงในสมัยก่อน ที่ผูกพันและผูกติดกับการทอผ้าจนยากจะแยกออก คุณค่าของผู้หญิงสมัยนั้นอาจถูกประเมินตั้งแต่รู้ว่าทอผ้าเป็นหรือไม่เป็น ประเภทซิ่นที่นุ่งแต่ก็ถูกเปรียบเทียบและแบ่งแยกโดยที่ไม่พิจารณาคุณค่าอื่น ตัวละครในนิยายเรื่องนี้ จึงเป็นพยายามแสดงให้เห็นชีวิตผู้หญิงในบริบทต่างๆ ที่กำลังถูกกดทับ จากค่านิยม วัฒนธรรม สงคราม ศาสนา ผู้ชาย หรือแม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเอง

 

        เนื่องจากเหตุการณ์ในนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นในแม่แจ่ม ความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับผู้เขียนคือเรื่องของภาษา ผู้เขียนพยายามหาสมดุลระหว่างการใช้ภาษาถิ่นเพื่อให้สมจริง กับการเล่าเรื่องให้ผู้คนในวัฒนธรรมอื่นเข้าใจและติดตามเรื่องราวโดยไม่ถูกทิ้งไว้ระหว่างประโยค จึงเล่าเรื่องหลักโดยใช้ภาษาไทยกลางและเปลี่ยนเฉพาะคำนามบางคำให้เป็นภาษาถิ่น โดยไม่ลืมที่จะใส่คำสร้อยต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของภาษาเหนือลงไปด้วย เพื่อเพิ่มสำเนียงและคงรสสัมผัสเฉพาะตัวของภาษาเอาไว้ ส่วนในบทสนธนา ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะให้เข้าปากตัวละครมากที่สุด แต่อาจจะต้องเปลี่ยนบางคำเป็นไทยกลาง เพื่อให้ไม่ยากเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่รู้ความหมาย ทั้งนี้ทั้งนั้นได้ใส่เชิงอรรถเพื่ออธิบายคำที่มีความหมายเฉพาะเบื้องต้น หากทำให้ผู้อ่านรู้สึกถึงความยากลำบาก ก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้

        “ผ้าซิ่นตีนจก” เป็นหัตกรรมที่มีคุณค่า ผ่านภูมิปัญญา ผ่านห้วงเวลา ที่ทั้งข้นแค้นและบริบูรณ์ ทอขึ้นจากฝ้ายปุยขาวที่ถือกำเนิดจากผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ สายฝนที่ลอยข้ามดอยมาตกใส่ประพรม การดูแลเอาใจใส่ของผู้ปลูก กรรมวิธีหลากหลายที่เปลี่ยนปุยฝ้ายให้เป็นด้ายเส้น สีย้อมต่างๆที่หาได้จากธรรมชาติรอบกาย ลายผ้าโบราณที่สั่งสอนสืบต่อกันมาจากแม่สู่ลูกสาว รุ่นแล้วรุ่นเล่า จกสลับลวดลายเป็นช้างเป็นม้า หรือแม้แต่ลวดลายชีวิตแสนธรรมดา ของใครสักคนที่นั่งกี่ทอผ้า ด้วยจุดมุ่งหมาย ด้วยอารมณ์ความรู้สึก ด้วยชีวิตเลือดเนื้อ ที่ต่างกันไปในแต่ละคน แต่ละลาย แต่ละผืน

        หวังใจอย่างยิ่งว่า เมื่อผู้อ่านได้มีโอกาสไปเที่ยวแม่แจ่มครั้งหน้า จะหยิบซิ่นตีนจกติดไม้ติดมือกลับมา ใส่ไปกาดไปงานปอยให้ตีนซิ่นต้องแสงระยับจับตา ให้รู้สึกถึงความสวยงามและคุณค่าที่ประเมิณเป็นมูลค่าไม่ได้ ทั้งผืนผ้าซิ่น และตัวผู้นุ่งเอง

 

CR : สำนักพิมพ์คมบาง