เผย ‘คนไทย’ กังวล ‘ปัญหา สวล.’ รองจาก ‘ปัญหาค่าครองชีพ’

เผย ‘คนไทย’ กังวล ‘ปัญหา สวล.’ รองจาก ‘ปัญหาค่าครองชีพ’

 

              “มาร์เก็ตบัซซ” ร่วมกับ “วิทยาลัยโลกคดีศึกษา มธ.” เผยผลวิจัย พบ “คนไทย” กังวล “ปัญหาสิ่งแวดล้อม” ถึง 37 % เป็นอันดับสองรองจากปัญหา “ค่าครองชีพ” ที่สูงขึ้น

 

              ผลสำรวจล่าสุดในหัวข้อ “คนไทยสนใจสิ่งแวดล้อมหรือไม่” ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,000 คน ในเดือนมิถุนายน 2565 ได้สะท้อนถึงปัญหาที่สร้างความกังวลใจสูงสุด 5 อันดับแรก พบว่าปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ถูกมองว่าเป็นประเด็นที่สำคัญมากเป็นอันดับสอง อยู่ที่ 37 % รองลงมาจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น อยู่ที่ 44 %

 

              นอกจากนี้ คนไทยยังให้ความสำคัญกับปัญหาอื่น ๆ รองลงมา เช่น การทุจริตคอรัปชั่นของหน่วยงานภาครัฐ , อาชญากรรม , การจราจร และสภาพเศรษฐกิจโดยรวม

 

 

 

              ผลการวิจัย ของ มาร์เก็ตบัซซ ร่วมกับ วิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า คนไทยกว่า 62 % ยอมรับว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบกับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี ที่มีความกังวลในเรื่องดังกล่าวสูงถึง 76 %

 

              นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ยังคาดการณ์ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะยังคงมีอยู่ต่อไป โดยกว่า 41 % ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด เชื่อว่า สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

 

 

 

              มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มาร์เก็ตบัซซ กล่าวว่า ปัจจุบันการเพิ่มของประชากรโดยเฉลี่ยทั่วโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น และการที่ประชากรเพิ่มจำนวนมากขึ้น หมายถึงความต้องการในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการดำรงชีวิตก็เพิ่มขึ้นด้วย ประกอบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมนานาประการทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

              “แม้ว่า การที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ จะมีทัศนคติในเชิงลบต่อทิศทางของปัญหาสิ่งแวดล้อมในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็มีจำนวนคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และตื่นตัวหันมาดูแลใส่ใจอนุรักษ์ธรรมชาติกันมากยิ่งขึ้น เช่น ลดการเกิดมลภาวะ , อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ , ปกป้องคุ้มครองสัตว์ป่า หรือปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้โดยรวม”

 

              ทั้งนี้ จากผลการวิจัย พบว่า ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่คนไทยกังวลมากที่สุด 3 เรื่อง ได้แก่ ภาวะโลกร้อน (45 %) , มลภาวะทางอากาศ (35 %) และการเปลี่ยนแปลงลักษณะอากาศ/อุณหภูมิ (30 %)

 

              อย่างไรก็ตาม คนไทยส่วนใหญ่มีความตื่นตัวในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ  ในชีวิตประจำวัน โดยที่นิยมทำกันคือ งดการสนับสนุนการซื้อขายหรือบริโภคของป่าอย่างผิดกฎหมาย (49 %) , ลดการใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน เช่น ปิดไฟหรือแอร์เมื่อไม่ได้ใช้ ดูโทรทัศน์เป็นกลุ่ม/กับคนอื่น ๆ ในครอบครัว (47 %) , ใช้ถุงผ้า หรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้มากขึ้น (43 %) , แยกขยะ (41 %) หรือเรื่องใกล้ตัวอื่น ๆ ที่ทุกคนสามารถทำตามได้ในทุกวัน

 

              มร.แกรนท์ บาร์โทลี่ ระบุว่า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นของทุกคนในสังคม ดังนั้น การช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ จึงต้องเป็นการร่วมมือกันหลาย ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นส่วนบุคคล หรือองค์กรภาครัฐที่ต้องเข้ามาขับเคลื่อนเป็นตัวหลักและสนับสนุนฝ่ายต่าง ๆ อีกทั้งองค์กรเอกชนซึ่งเป็นพลังส่วนหนึ่งในการผลักดันและจัดให้มีโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

 

              นอกจากนั้น ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้า และบริการที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยลดผลกระทบต่าง ๆ ในการผลิตที่อาจเกิดอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วยลดการปล่อยมลพิษที่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย

 

              ด้าน ผศ.ดร.ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่เห็นว่า ประชาชนทั่วไปใส่ใจถึงความสำคัญของการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ นับเป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตรของเรา และการที่คนไทยมีความตระหนักต่อสิ่งนี้มากขึ้น ช่วยให้เราได้ทำในสิ่งที่เราเล็งเห็นแล้วว่าเป็นความสำคัญในอันดับต้น ๆ ต่อชุมชนของเรา

 

              “ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นหน้าที่ของคนไทยทุก ๆ คน ไม่ใช่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น โดยเราสามารถลงมือรักษาสิ่งแวดล้อมรอบตัวกันได้ตั้งแต่วันนี้ ซึ่งหากทุกคนให้ความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โลกของเราก็จะกลับมาสวยงาม และสามารถแก้วิกฤติสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาสะสมมาอย่างยาวนานได้แบบยั่งยืน” คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุ

 

//........................