ชี้ชัด ! ผลกระทบ 9 ข้อ เข้าร่วม ‘CPTPP’ จี้ ชะลอเข้าร่วม - รอผลศึกษา

ชี้ชัด ! ผลกระทบ 9 ข้อ เข้าร่วม ‘CPTPP’ จี้ ชะลอเข้าร่วม - รอผลศึกษา

 

“สภาองค์กรของผู้บริโภค” ชี้ชัด ผลกระทบ 9 ข้อ หากไทยเข้าร่วม “CPTPP” ย้ำ ควรชะลอการเจรจาเข้าร่วม เพื่อรอผลศึกษาวิจัยเปรียบเทียบ “ผลได้ ผลเสีย” ก่อน

 

ตามที่คณะรัฐมนตรี ต้องการให้ไทยยื่นหนังสือของเข้าร่วมเจรจาความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) โดยมีรายงานข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันอังคารที่ 14 ธันวาคมนี้นั้น

 

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา สอบ. ได้ร่วมประชุมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทั่งมีข้อสรุปร่วมกัน และขอให้ กนศ. จัดประชุมเพื่อติดตามการปฏิบัติตามข้อแนะนำ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบ จากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวมถึงยังมีความร่วมมือกันในการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบว่า การเข้าร่วมจะมีผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน ทั้งการค้าและการลงทุน ที่เปรียบเทียบกับผลกระทบต่อประเทศ ซึ่งควรเป็นแนวทางในการตัดสินทางนโยบายที่สำคัญ

 

ก่อนหน้านี้ สอบ. ได้ทำหนังสือข้อเสนอ เพื่อชะลอการส่งหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม CPTPP ต่อคณะรัฐมนตรี กนศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมองว่า การเข้าร่วมความตกลง CPTPP ยังมีความเห็นต่างในเรื่องผลได้ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนไทยทั้งประเทศ อีกทั้งอาจทำลายความพยายามของรัฐบาลในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หากมีการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ด้วยความไม่รอบคอบและไม่ได้มองถึงประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคส่วนใหญ่ ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่กลับนำผลประโยชน์ทางธุรกิจ ของกลุ่มคนส่วนน้อยของประเทศ มาพิจารณาเพื่อเข้าร่วมแทน

 

ทั้งนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคอีกหลายด้าน หลายประเด็น หากประเทศไทยเข้าร่วมความตกลง CPTPP ดังนี้

 

1.ประเทศไทยจะมีค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศสูงขึ้น และอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศจะชะงักงันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมาตรการ Patent Linkage

 

2.ประเทศไทยจะถูกจำกัดการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อการเข้าถึงยาที่จำเป็นและพิทักษ์และคุ้มครองสุขภาพของประชาชน เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องตามข้อบทว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุน

 

3.รัฐบาลไทยจะไม่สามารถสนับสนุนองค์การเภสัชกรรม ให้ปฏิบัติพันธกิจส่งเสริมการเข้าถึงยา และความมั่นคงทางยาของประเทศได้อีกต่อไป

 

4.ประเทศไทยถูกบังคับให้นำเข้าเครื่องมือแพทย์ใช้แล้ว ที่ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำหรือผลิตใหม่ ในขณะที่ประเทศยังไม่มีศักยภาพ ในการควบคุมกำกับเครื่องมือแพทย์เหล่านี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจได้รับการวินิจฉัย และการรักษาโรคผิดพลาดหรือไม่ได้มาตรฐานได้

 

5.ผู้บริโภคจะได้รับความเสี่ยงจากภัยของเครื่องสำอางที่ด้อยคุณภาพ

 

6.ผู้บริโภคจะได้รับความเสี่ยงจากการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนในการจำหน่าย ปัญหาถูกหลอกถูกโกงจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความตกลง CPTPP กำหนดให้ต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาสูบ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงอบายมุขเหล่านี้มากขึ้น

 

7.ฐานทรัพยากรด้านสมุนไพรของไทย ซึ่งสามารถจะพัฒนาต่อยอดเป็นยาและเวชภัณฑ์ อาจถูกยึดครองด้วยบรรษัทต่างชาติจากการบังคับเข้าอนุสัญญา UPOV1991

 

8.เกษตรกรที่ซื้อพันธุ์พืชใหม่มาปลูก จะต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ในราคาสูงขึ้น 2 - 6 เท่า

 

9.ผู้บริโภคอาจได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่มีหรือปนเปื้อนสารตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) และการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูและเครื่องในหมู

 

น.ส.สารี ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จนถึงขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการ กนศ. ยังไม่ดำเนินการตามข้อสั่งการนายกฯ ที่รับทราบข้อห่วงกังวลดังกล่าว และบัญชาให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาและประสานกับ สอบ. อ้างอิงถึงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือถึง สอบ. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564

 

ไม่เพียงเท่านั้น กนศ. ยังมีมติไม่ทำการศึกษาเพิ่มเติมกรณีที่จีน ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรเข้าร่วมว่า จะเป็นประโยชน์หรือส่งผลกระทบทางลบกับไทย ที่จะเข้าร่วมหรือไม่อย่างไร รวมทั้งบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤตการระบาดของโควิด - 19 ซึ่งพื้นที่ทางนโยบายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และอาจได้รับผลกระทบจากการฟ้องร้องของนักลงทุนต่างชาติ ต่อนโยบายสาธารณะผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการ ที่ไทยเองก็กำลังเผชิญอยู่

 

ดังนั้น ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม สอบ. ที่ทำหน้าที่ตามมาตรา 14 ของ พ.ร.บ. การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ในการเป็นตัวแทนผู้บริโภคและคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคในทุกด้าน ยืนยันข้อเสนอแนะเดิมที่ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วอีกครั้ง คือ ขอให้คณะรัฐมนตรีชะลอการแสดงความจำนงเข้าร่วม CPTPP จนกว่าจะมีความเห็นร่วมที่แท้จริงบนฐานของความถูกต้อง

 

กล่าวคือ จนกว่าการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลกระทบด้านบวกและด้านลบแล้วเสร็จ และนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบฯ ต่อสาธารณะทันทีเมื่อแล้วเสร็จ หากข้อมูลพบผลกระทบด้านลบมากกว่าผลดีที่จะเกิดขึ้น ขอให้รัฐบาลมีมติหยุดการเข้าร่วมเจรจาความตกลง CPTPP ต่อไป

 

ทั้งนี้ ข้อกล่าวอ้างที่การเจรจาเข้าร่วมใช้เวลากว่าจะมีผลบังคับใช้ ไม่สามารถเป็นหลักประกันป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะจนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่จัดทำกรอบการเจรจา ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่ามีการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะสำคัญของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ว่า ‘ไทยยังไม่สมควรที่จะเข้าร่วมในความตกลง CPTPP’ เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมในหลากหลายด้าน

 

หากจะมีการเจรจาควรมีกรอบการเจรจาที่เกิดจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหว เพราะแม้คณะรัฐมนตรีจะกล่าวว่าเข้าร่วมแบบมีข้อสงวน แต่เป็นการพูดปากเปล่า ไม่มีแม้แต่สัญญาประชาคมว่า อะไรคือข้อสงวนที่ผู้เจรจาฝ่ายไทยต้องถือเป็นบรรทัดฐานในการเจรจา

 

//...............

              CR : สภาองค์กรของผู้บริโภค

//...............