เรื่องสั้น : สุนทรพจน์ของหัวหน้าคณะรักษาความราบคาบแห่งชาติ : ประชาคม ลุนาชัย
เรื่องสั้น : สุนทรพจน์ของหัวหน้าคณะรักษาความราบคาบแห่งชาติ : ประชาคม ลุนาชัย
คำชื่นชมจากผู้ใต้บังคับบัญชาและบริวารแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระแสตอบรับจากสื่อมวลชนทุกสาขา ท่านนายพลหัวหน้ารักษาความราบคาบแห่งชาติอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม ถ้อยคำและบุคลิกภาพลดความแข็งกร้าวแทบเป็นคนละคนกับช่วงแรกที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ อารมณ์ขันและลูกล่อลูกชนเวลาตอบคำถามสื่อมวลชนแพรวพราย เปี่ยมด้วยชั้นเชิงของผู้นำที่ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้น
ไม่ว่าคำชมจากแหล่งไหนระดมเข้าหา นายพลเอกทหารบกก็รับไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เก็บอาการได้ดีเยี่ยมเยี่ยงมวยเชิงสูงที่ใครต่อใครเดาความรู้สึกแท้จริงได้ยาก คนใกล้ชิดซึ่งคอยบริการความช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ นานทีปีหนจะเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกับคนอื่น ๆ
“ท่านเก่งขึ้นมากแล้วนะครับ ต่อนี้ไปก็ไม่ต้องกังวลว่าท่านจะปล่อยไก่ตัวโต หรือทำขายหน้า ขอเพียงท่านมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นในภาวะผู้นำ สุนทรพจน์ครั้งนี้ท่านจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงทีเดียว”
“ขอบใจ เสธ.” นายพลเอกแห่งกองทัพบกซึ่งกำลังทิ้งตำแหน่งนี้ไว้ข้างหลังแสยะยิ้มครึ่งมุมปาก “ความดีทั้งหมดต้องยกให้กับท่านเลขาฯ เทคนิคและวิธีการพูดทั้งหมด ผมได้มาจากท่านทั้งนั้น”
ท่านเลขาฯ ที่หัวหน้าคณะรักษาความราบคาบแห่งชาติพูดถึงก็คือ อดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่คับแผ่นดิน และเป็นเลขาธิการผู้นำการชุมนุมยาวนานที่สุดในโลก คนผู้นี้สามารถชักแม่น้ำทั้งโลกมาเป็นเหตุเป็นผลได้หมด แม้แต่กับเรื่องที่ไม่เคยมีเหตุผลหรือมีความเป็นมาใดเลยก็ตาม เขาสามารถเสกสิ่งที่ไม่เคยมีให้มี และเป่าสิ่งที่มีให้หายไปได้ในชั่วพริบตาเดียว
เลขาฯการชุมนุมที่ยาวนานที่สุดในโลก ตำแหน่งที่ไม่เคยเปิดเผยถึงประธาน บรรดาสาวกที่แห่แหนตามการนำของเขาไม่สนใจถามถึง แค่เลขาฯ มืออาชีพอย่างเขาคนเดียวก็เกินพอแล้ว ตามประวัติความเป็นมา เขาเป็นรองหัวหน้าพรรคแพ้เลือกตั้ง ขณะเป็นเลขาพรรคถึงแพ้เลือกตั้งแต่ก็ผงาดขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเขามักไปได้ด้วยดีกับตำแหน่งเลขาฯ
เป็นความชื่นชมส่วนตัวของนายพลเอกแห่งกองทัพบกผู้กำลังทิ้งตำแหน่งนี้ไว้ข้างหลังซึ่งมีต่อเลขาธิการมืออาชีพ ผู้เปี่ยมด้วยลมลิ้นอันพิสดารสามารถขับกล่อมผู้คนให้ลืมเรื่องร้ายในอดีตของตัวเอง พลิกจากคนที่โดนข้อกล่าวหา เป็นผู้กล่าวโทษคนอื่นได้อย่างละเมียดละไม บทจะแข็งกร้าวก็ทระนงองอาจมาดมั่น วาทศิลป์และบุคลิกภาพของผู้นำอันโดดเด่นนี่เองที่นายพลเอกแห่งกองทัพบกชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา
นอกจากบุคลิกภาพของผู้นำและลมลิ้นจัดจ้านแล้ว เลขาธิการมืออาชีพผู้นี้ยังโดดเด่นในเรื่องพลิกแพลงสถานการณ์ จากที่ตกเป็นรองทางการเมืองสุดกู่คล้ายจนตรอกหมดทางสู้ไปแล้ว แค่เพียงไม่กี่พริบตาเขาพลิกกลับมาเป็นฝ่ายไล่ต้อนให้คู่ต่อสู้จนตรอกหมดทางหนีไปได้ทุกครั้ง ยามยืนอยู่เบื้องหน้ามวลมหาประชาชน หากฝูงกาบินผ่านแล้วเขาชี้บอกว่า นั่นคือพิราบขาว ความเงียบจะทิ้งตัวลงชั่วครู่ พร้อมแววฉงนในดวงตาของมวลมหาประชาชน แล้วอีกไม่กี่นาทีหลังสดับรับฟังเหตุผลอธิบายประกอบรอบด้าน ความเงียบก็จะเปลี่ยนเป็นเสียงปรบมือก้องกระหึ่ม ผสานกับเสียงฮือฮาด้วยความทึ่ง แววฉงนหายไปจากดวงตา ทุกคนต่างผงกหัวอย่างเข้าอกเข้าใจ แล้วโทษตัวเองที่มองอีกาและพิราบขาวผิดฝาผิดตัวมาตลอด
“ถ้าพูดได้เก่งเหมือนท่านเลขาฯ สักครึ่งหนึ่ง เราคงเอาตัวรอดได้กับทุกสถานการณ์” นายพลเอกขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเคยรำพึงกับตัวเองระหว่างนั่งดูโทรทัศน์ดาวเทียมถ่ายทอดสด ตั้งอกตั้งใจฟังเลขาฯการชุมนุมละเลงเพลงลิ้นกล่อมสาวก
หลังประกาศยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คณะรักษาความราบคาบแห่งชาติได้เรียกบุคคลต่าง ๆ เข้ารายงานตัว หนึ่งในนั้นก็เลขาธิการมืออาชีพที่ได้ประกาศชัยชนะและยุติการชุมนุมไปแล้ว หลังพิธีการตามกฎระเบียบจบสิ้น นายพลเอกหัวหน้าผู้ก่อการนั่งชนแก้วไวน์กับแขกรับเชิญในห้องรับรอง ปรึกษาหารือเรื่องที่เป็นการเป็นงานผ่านไปแล้ว นายพลกระซิบขอเคล็ดวิชาการพูด
“ผมพูดไม่ค่อยเก่งเลยท่านเลขาฯ หรือจะว่ากันตามตรง ผมพูดไม่เป็นเอาเสียเลย ทำอย่างไรจะพูดเก่งได้สักครึ่งหนึ่งของท่าน”
เลขาฯการชุมนุมที่เพิ่งประกาศชัยชนะและปล่อยมวลมหาประชาชนกลับบ้านยิ้มฟันขาว (ตัดกับสีหน้าอันดำมะเมื่อมมาแต่กำเนิด) “ท่านนายพลครับ เมื่อหลายปีก่อนนี้ ผมเองก็พูดไม่เก่ง อาศัยว่าเป็นคนมีความอดทน พอมาเป็นนักการเมืองที่จะต้องขึ้นอภิปรายหาเสียง ขืนพูดไม่เก่งหรือไม่กล้าขึ้นอภิปรายคนเขาก็ไม่เลือก”
เรียกมารายงานตัวแค่พิธีการ สุดท้ายนั่งชนแก้วไวน์ในห้องรับรอง ตอนนี้นายพลแห่งกองทัพบกลืมไปแล้วว่าเลขาฯมืออาชีพมีคดีกบฏและคดีอื่น ๆ ติดตัวอีกนับสิบ สบตาและชนแก้วไวน์กันอีกครั้ง นายพลโน้มหน้ากระซิบ
“บอกเคล็ดลับให้หน่อยสิท่านเลขาฯ คิดเสียว่าเมตตานายทหารอาชีพที่ไม่เคยพูดต่อหน้าประชาชนจำนวนเป็นล้าน ๆ อย่างท่าน”
เลขาฯมืออาชีพจิบไวน์ เหลือบมองนายพลเอกหัวหน้าคณะรักษาความสงบราบคาบแห่งชาติด้วยแววตาแฝงยิ้มแกมเวทนา ในความรู้สึกของผู้นำการชุมนุมยาวนานที่สุดในโลก นายพลทหารซึ่งว่ากันว่ามีอำนาจมากที่สุดในประเทศตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยที่กำลังอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่
“ทำตามผมแนะนำนะท่านนายพล ผมเองก็ฝึกพูดมาแบบนี้...”
นายพลทหารวัยห้าสิบเก้า(ผู้ซึ่งมีอำนาจล้นฟ้าเหนือจอมพล) หัวหน้าคณะรักษาความราบคาบแห่งชาติก้าวออกจากห้องแต่งหน้า ยืนเด่นเป็นสง่าในชุดนายทหารประดับเหรียญตราเต็มยศ เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามานอบน้อมรายงานว่าทีมถ่ายทอดสดพร้อมแล้ว เขาขยับก้าวด้วยท่วงท่าองอาจ สีหน้าแววตากระหยิ่มเปี่ยมความมั่นใจ
อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาจะพูดกล่อมประชาชนทั่วประเทศ ด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งหากแฝงความอ่อนโยนอยู่ในที สุนทรพจน์ของเขาจะมีคนฟังนับเป็นหลายสิบล้าน จากนั้นสื่อมวลชนต่างประเทศก็จะถ่ายทอดออกไปทั่วโลก พร้อมแปลเป็นภาษาของพวกเขา สรุปเบ็ดเสร็จแล้ว สุนทรพจน์ครั้งนี้น่าจะมีผู้ได้รับฟังด้วยความประทับใจนับพันล้านคน
...ต้องขอบคุณท่านเลขา... หัวหน้ารักษาความราบคาบแห่งชาติพึมพำในใจอย่างสำนึกในบุญคุณผู้แนะทางสว่าง เขาจำคำของเลขาฯมืออาชีพได้ไม่ลืม
“ตอนเข้ามาเล่นการเมืองใหม่ ๆ ผมก็พูดไม่ทันคนอื่นหรอกครับท่านนายพล ผมเพิ่งจบจากเมืองนอกกลับมาดูแลธุรกิจครอบครัว เพื่อนชวนลงสมัครเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น ปกติผมเป็นคนขี้อาย ยามออกไปยืนอยู่ต่อหน้าคนมาก ๆ ยิ่งพูดไม่ออก เพื่อนมันบอกว่า การเมืองต้องใช้ปากเป็นอาวุธ ขนาดได้ตำแหน่งบริหารแล้วนักการเมืองหลายคนยังใช้ปากทำงาน ถ้าใครใช้ปากไม่เป็นก็ไม่ต่างอะไรกับทหารตัวเปล่าปราศจากอาวุธในสมรภูมิ มีแต่จะตกเป็นเป้านิ่งให้คนอื่น ๆ ไล่ถลุงเอาข้างเดียว ช่วงแรก ๆ ที่เข้าสู่ถนนการเมือง ผมพยายามฝึกพูดต่อหน้ากระจกเงา พูดกับตัวเองในขณะขับรถ ท่านนายพลทราบไหมครับว่า วิธีนี้แทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย ผมคิดจนหัวแทบแตก แล้ววันหนึ่งผมออกไปที่ทุ่งนา เจอแพะฝูงใหญ่เป็นร้อย ๆ ตัว ผมยืนมองอยู่นานจนประกายความคิดในหัวสว่างวาบขึ้นมา ผมให้เงินเด็กคนเลี้ยงแพะสองร้อยแลกกับการได้ฝึกพูดให้แพะทั้งฝูงฟัง ผมสบตากับพวกมัน นึกถึงฉายา แพะรับบาป ท่านนายพลครับ ผมเป็นคนมีมนุษยธรรม และมีศีลธรรมในใจในระดับที่สูง ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของแพะที่เกิดมาเพื่อรับบาปแทนสัตว์อื่น ด้วยเหตุนี้เองน้ำเสียงของผมจึงอ่อนโยนลงเป็นธรรมชาติ และแววตาที่มองออกไปเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม ยามที่ได้ยินเสียงแพะร้อง ผมหลับตาลงด้วยความซึ้งใจ คิดเสียว่านั่นคือเสียงปรบมือของประชาชน ผมฝึกตัวเองกับฝูงแพะนานนับเดือน พอกลับขึ้นเวทีอภิปรายอีกครั้ง ผมก็ทำตัวให้เหมือนกับว่ากำลังพูดให้แพะฝูงใหญ่ฟัง ผมจ้องตาพวกมัน หยอกล้อพวกมันด้วยสีหน้าท่าทางผ่อนคลาย พร้อมจังหวะมือที่วาดขึ้นลงประกอบคำพูด ท่านนายพลรู้ไหมครับ วิธีการแบบนี้ได้ผลชะงัดทีเดียว ไม่ว่าจะขึ้นพูดกี่ร้อยเวที ไม่เคยมีมวลมหาประชาชนที่ไหนฟังผมพูดจบแล้ว ยังทนเอามือสองข้างซุกไว้ในกระเป๋า...”
หัวหน้าคณะรักษาความสงบราบคาบแห่งชาติตระหนักและครุ่นคำนึงถึงคำแนะนำนี้เรื่อยมาจนกระทั่งนั่งลงต่อหน้ากล้องและแสงไฟ เกือบสองเดือนที่ผ่านมา ยามว่างจากภารกิจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบราบคาบแห่งชาติ นายพลเอกแห่งกองทัพบกพร้อมผู้ติดตามแอบไปที่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ท่ามกลางฝูงวัวควายนับร้อย ๆ ตัวที่กำลังก้มหัวเล็มหญ้า นายพลวัยใกล้เกษียณในเครื่องแบบเต็มยศยืนเด่นเป็นสง่า ตะเบ็งเสียงกร้าวออกไป
“สวัสดี พี่น้องร่วมชาติที่รักทั้งหลาย...”
ไฟพร้อม กล้องพร้อม เสียงนับถอยหลังดังขึ้น
สาม สอง หนึ่ง...
//.....................
Link ที่เกี่ยวข้อง
“บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”