เรื่องสั้น : เมียโง่ของนักเขียนหนุ่ม : จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท

เรื่องสั้น : เมียโง่ของนักเขียนหนุ่ม : จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท

 

           บอกเลยว่ามันไม่สนุก ถ้าคุณดันมีเคราะห์ได้ตกล่องปล่องชิ้นเป็นเมียของผู้ชายฉลาดขึ้นมา

           หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นสถานะในฝัน ควรค่าแก่การเอาไปคุยอวด คนรักของฉันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาอ่าน Foucault พูดถึง Nietzsche และ Derrida ปราดเปรื่องในเรื่องปรัชญาของ Sarte และทุ่มเถียงเรื่อง Camus บนโต๊ะอาหารกับคณะเพื่อน “ผู้เรืองปัญญา” ของเขา ภายใต้กลิ่นอันหอมกรุ่นของสตูว์ “เนื้อลูกวัว” และควันโขมงของ “บุหรี่นอก”

           สามีของคุณอาจเป็นถึงขั้น “นักประพันธ์” ที่น่าภูมิอกภูมิใจ คนประเภทที่คุณจะได้ไปยืดอกในวงสังคมว่าเขาได้รางวัล “ไอ้นู่นไอ้นี่” ที่เอาเข้าจริงคุณก็จำชื่อแบบผิด ๆ ถูก ๆ (มันเรียกว่า “ช่อการะเกด” หรือ “เจ้าการะเกด” กันนะ ดูเหมือนว่านิตยสารที่ว่าจะปิดตัวลงไปแล้ว ไอ้ครั้งสุดท้ายที่เขามีงานตีพิมพ์มันก็ผ่านไปนานโขแล้วเสียด้วยสิ)

           พูดขยายความจากหัวข้อที่ว่าเขาไม่ได้ตีพิมพ์ผลงานมานานแสนนานแล้ว คิดว่าใครกันเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายในบ้าน หาเงินหาทองมาให้เขาได้เลี้ยงดูเพื่อน ๆ ด้วยเนื้อ “ลูกวัว” และสูบ “บุหรี่นอก”

           จะเป็นใครไปได้ ก็เมียของเขาน่ะสิ เมียของเขาที่แยกไม่ออกระหว่าง Hayek กับ Nozick ไม่เคยอ่าน Kafka และไม่เข้าใจความรื่นรมย์ของ Dazai Osamu เป็นนังเมียเซอะงั่งเหมือนลาโง่คนนี้แหละที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหลายทั้งปวงในบ้าน ขณะที่ผัวและเพื่อนของผัวออกไปสุมหัวกันตามบ้านของใครสักคน เพื่อพร่ำบ่นคนรุ่นใหม่ (หรือเก่า) (ด่ากราดไปทั่วทุกรากสังคมและอายุ) พลางพรรณนาถึง “การเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ” ที่ทรงคุณค่าและซับซ้อนเกินกว่าที่นังเมียหน้าโง่จะเข้าใจได้

           เขาและผองเพื่อนของเขา นับได้ว่าเป็น “นักวิชาการอิสระ” “เลือดใหม่ไฟแรง” “ความหวังแห่งยุคสมัย” (ยังไม่รวมความจริงว่าเขาเป็นคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ “เขียนหนังสือ” เสียด้วยนะ) จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะคอยตั้งสเตตัสยาว ๆ ในเฟซบุ๊ก ยามที่มีประเด็นปัญหาอะไรขึ้นมาในสังคม เขาต้องถกเถียงกับผู้คนในทวิตเตอร์ หรือจัดห้องเสวนาในคลับเฮ้าส์บ้างเป็นบางครั้งบางคราว (สมัยก่อนเขารับตอบคำถามปรึกษาปรัชญาชีวิตใน ask.fm ด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะเลิกสนใจเรื่องนั้นไปแล้ว) ความคิดเห็นผสานด้วยคารมอันคมคายของเขาเรียกผู้คนมากมายให้มาแอดขอเป็นเพื่อน หรือถ้าเพื่อนเต็มแล้วก็ขอเป็นผู้ติดตาม เพื่อจะได้กดไลก์ กดแชร์ ได้รับรู้ถึงภูมิปัญญาอันลึกล้ำของเขาเกี่ยวกับปัญหาสังคมในเรื่องต่อไปอีก เขาบอกว่าตนเองเป็นดั่งคบเพลิงประกายแสงแห่งศตวรรษ ที่จะนำพาสังคมไปสู่ยุคแห่งความรู้แจ้ง (ซึ่งในต่างประเทศเขาผ่านยุคนี้ไปนานแล้ว แต่นังเมียหน้าโง่จะรู้อะไร นังเมียโง่คงไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่าง Enlightenment กับ Postmodern หรอกกระมัง สำหรับนางแล้วจะศิลปะแนว Futurism หรือ Surrealism ก็ดูคล้ายกันไปหมดนั่นแหละ) ซึ่งสังคมที่ประกอบไปด้วยคนมากมายนี้คงจะเดินหน้าไปไม่ได้เลยหากปราศจากความคิดเห็นของเขาและพวกพ้อง

           โลกทุกวันนี้มันร้าย เขามักบอกว่ามันร้ายกาจมากมาย มีปัญหาและประเด็นอัน “แหลมคม” ผุดโผล่ขึ้นมาให้เถียงถกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บางปัญหาแลดูใหม่สด แต่หากชาญฉลาดจริง ๆ (อย่างตัวเขา) จะรู้ดีว่าคำถกเถียงพวกนี้ได้สะท้อนในฝาผนังและฝ้าเพดานมาตั้งแต่สมัยของเพลโตและบรรดาลูกศิษย์โน่นแล้ว

           กระนั้นการที่ความรู้ทาง “ปรัชญาอันลึกซึ้ง” เหล่านี้ถูกนำมาพูดคุยในชีวิตประจำวัน ก็ดูจะเป็นโอกาสอันดีที่ตัวเขาและเหล่าผองเพื่อนผู้เรืองปัญญาจะได้ชี้แนะถึงศาสตร์และศิลป์อันลึกล้ำจากอริยะผู้บำเพ็ญในยุคโบราณให้แก่เยาวชนรุ่นใหม่ ทุกการตั้งสเตตัสคือการขับเคลื่อนทางความคิด ซึ่งจะทำให้สังคมขยับไปข้างหน้าราวกับถูกผลักด้วย “มือที่มองไม่เห็น” แต่ไม่ใช่ในความหมายเชิงเศรษฐศาสตร์แบบ Adam Smith หรอกนะ

           จะว่าไปแล้วมือที่ว่านั่นก็ใช่จะมองไม่เห็นเสียทีเดียว แต่มันคือมือของเขาเองนี่แหละที่จรดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ ร่ายเรียงสเตตัสเพื่อนำเชาวน์ปัญญามาสู่สายตาประชาคมโลก (เขียนเป็นภาษาไทยเท่านั้น) ในขณะที่มือของเขาเฝ้าถักทอเรียงร้อยรัตนกวีให้แก่โลก มืออันหยาบกร้านของนังเมียเซอะแบบฉันก็เฝ้าคลุกคลีอยู่กับโคลนตม ขัดอยู่กับส้วมที่เขาเป็นคนใช้ เลอะเทอะสกปรกไปด้วยคราบอาหารยามล้างจาน และเหม็นกลิ่นดินกลิ่นปุ๋ยเมื่อต้องลงไปในสวนเพื่อจะปลูกหอมสักทิวแถวหนึ่ง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องสักนิดกับการรจนาภาษาอันจะยังกระแสธารแห่งความรู้ทั้งมวลให้ไหลลงมาสู่โลกมนุษย์

           ในเมื่อหน้าที่ทั้งปวงของเขาสำคัญต่อ “สังคมและประเทศชาติ” จึงเป็นหน้าที่ของเมียอย่างฉันที่จะต้องคอยหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อเลี้ยงผู้ชายแมงดา เอ๊ย ขอโทษเถิดคุณ ผู้ชายทรงปัญญา ผู้นี้ไว้ให้มีค่าแก่วงการวิชาการต่าง ๆ สืบไป เพราะเขาเป็นดั่งเพชรเม็ดงามของวงวิชาการ เป็นดั่งศาสตราจารย์ หากเขามีสิทธิ์จะเป็นได้ (เขาเรียนจบแค่ปริญญาตรีเท่านั้น ไม่ใช่มหาวิทยาลัยชั้นนำอะไรเสียด้วย) แต่ปริญญาในห้องเรียนนั้นมิใช่ “ของจริง” ไม่ใช่หรือ เขาโอ้อวดไว้ดังนั้น ว่าตนเองสำเร็จถึงปริญญาเอกแล้วหากเป็นในด้าน “การใช้ชีวิต” เอ้อ การใช้ชีวิตหรือ นังเมียโง่คนนี้ก็อยากรู้เหมือนกันว่า หากปล่อยเขาเข้าไปในตลาดแล้วบอกให้ซื้อกะเพรามา เขาจะใช้เวลาไปกี่นาทีในการออกมาเพียงเพื่อจะได้โหระพา (เหี่ยว เฉา ไม่ก็แก่เกิน) มาสักกำ

           ทุก ๆ วันนังเมียอย่างฉันจะหัวหมุนอยู่กับรายรับรายจ่าย สินค้าที่ขายออนไลน์ แพคบรรจุหีบห่อส่งลูกค้า ตรวจนับสต็อก ส่วนตัวเขาที่มีเพื่อนในเฟซบุ๊กรวมถึงฟอลโล่วเวอร์เป็นพัน ๆ ก็ไม่มีวันเสียหรอกที่จะสละพื้นที่เฟซบุ๊กอันศักดิ์สิทธิ์และทรงไว้ซึ่งวิชาการของเขาในการมาขายครีมหน้าขาวให้นังเมียสักกระปุก มันคงจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเขาดูลดลง ทั้งยังดูเป็นเสนียดจัญไรแก่หน้าโพรไฟล์อันเลิศหรูของเขาด้วย เขาจะให้ใครรู้ไม่ได้หรอกว่าเมียของเขามีอาชีพหาเลี้ยงเขาด้วยการขายครีมหน้าเด้ง จักกะแร้ขาว อกฟู รูฟิต เขาจะบอกใครได้อย่างไรว่าอาหารชั้นดีทั้งหลายที่เขาถ่ายลงในเฟซบุ๊กนั้นมาจากการขายยาลดความอ้วน วิตามินผิวขาว และยังขนตาปลอมหลากหลายประเภท สินค้าอะไรก็ตามสุดแล้วแต่ที่นังเมียโง่มันจะไปควานหามาขายได้ ทั้งน้ำหอมปลอมบ้างล่ะ เสื้อผ้าก็อปแบรนด์หรูที่ติดสัญลักษณ์ Gucci กลับหัวกลับหางบ้างล่ะ ช่างไร้ศีลธรรมและน่าอายเสียจนเขาไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้เลยว่าตัวเขาเองนั้นก็มีเมียอยู่เสียคนหนึ่ง

           เพื่อนที่แวะมาบ้านอาจรู้อยู่บ้างว่าเขามีเมียหน้าตาพอใช้ไว้คอยบริการข้าวน้ำหรือสุราในบางหน แต่คนในเฟซบุ๊กไม่มีทางรู้ เพื่อว่าเขาจะได้คอยพูดจาหยอดให้ความหวังเหล่าสาวเอ๊าะ ๆ ที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยได้สองสามปี บ้างก็กำลังทำงานในวงการนักเขียน หรือกำลังคร่ำเคร่งกับการศึกษาปริญญาโท ผู้สาวที่ชื่นมื่นเหลือเกินหากได้รับการกดไลก์อันอบอุ่นหรือการพิมพ์คอมเมนต์ตอบจากเขา พวกเธอทั้งหลายคงตัวลอย ดีใจโดยไม่รู้เอาเสียเลยว่าการเป็นภรรยาของคนฉลาดนั้นเป็นทุกข์มากมายเพียงใด

           ถ้าแม่ผู้หญิงพวกนั้นมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านะ ฉันจะบอกพวกหล่อนให้เอาบุญเลยแหละ ว่าการได้อยู่กับพ่อ “นักเขียนปัญญาชน” คนนี้นั้นไม่ต่างอะไรจากการเป็นอีแจ๋วคนใช้ จะต่างก็เพียงอย่างเดียวคืออีแจ๋วได้เงินจากเจ้านาย แต่นังเมียโง่ต้องหาเงินให้เขาเสียด้วย เอ้อ ก่อนจะบอกพวกสาวเหล่านั้น ฉันจะส่งพวกหล่อนไปขัดส้วมให้เขาก่อนสักหนหนึ่ง ผู้ชายอะไรเยี่ยวไม่เคยราดน้ำ โสโครกสิ้นดี ถ้าฉันรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ ฉันไม่แต่งงานกับเขาให้มันลำบากหรอก

           หลงแต่งงานกับเขาในทีแรกก็เพราะนัยน์ตาสวย ขนตายาวชวนฝันกะพริบพริ้มเมื่อพูดถึงอนาคตประเทศและหลักการ the king can do nothing --- the king can do no wrong ที่เขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศอังกฤษ ใช่แล้วค่ะ คุณทายได้แล้วสิ ตัวฉันเองนี่แหละก็เคยเป็นสาวน้อยช่างฝันพวกนั้น นักศึกษาปริญญาโทที่หลงคารมของนักเขียนหนุ่มผู้ไปบรรยายบนหอประชุมของมหาวิทยาลัย ในสมัยที่ผลงานเล่มนั้นของเขายังได้ตีพิมพ์อยู่น่ะ ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่ ใช่ นังเมียโง่เซอะเหมือนลางั่งคนนี้จบปริญญาโทวรรณคดีจากมหาวิทยาลัยชั้นดีที่เชิญนักเขียนหนุ่ม ๆ ไฟแรงไปบรรยาย ฉันโชคดีกว่าใครในเพื่อนร่วมรุ่น เพราะนอกจากจะได้ปริญญา ฉันยังได้ “ผัวฉลาด” มาด้วยหนึ่งคน

           ตอนที่แต่งงานกับเขาใหม่ ๆ ฉันยังไม่เฉลียวใจถึงชะตากรรมอันน่าเศร้า ก็แหม ตอนแก้ผ้าดู ฉันไม่เห็นมีสติ๊กเกอร์แปะหลังระบุคุณสมบัติที่ว่า “ฉลาดแต่ทำห่าอะไรไม่เป็นสักอย่าง”

           จะบอกว่า เย็...เป็นอย่างเดียว ในคืนวันแต่งงานนั้น ฉันก็ยังนึก ๆ อยู่ในใจว่า ถ้านั่งรถตุ๊ก ๆ ขึ้นสะพานอาจจะสร้างความตื่นเต้นให้ตัวฉันได้มากกว่านี้สักหน่อย แต่เรื่องนั้นก็ช่างมันไปก่อนเถิด อย่างไรเสียกิจกรรมทำนองนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาหลายปีดีดักแล้ว ส่วนรถตุ๊ก ๆ ก็ไม่ค่อยมีให้นั่งแล้วเหมือนกันด้วย

           ไม่อยากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บว่า หลังจากได้ฉันเป็นเมีย ก็ไม่เห็นเขาจะมีหนังสือตีพิมพ์อีกสักเล่ม ข้อหนึ่งที่ฉันไม่กล้าพูดก็เพราะเขาจะสวนเอาสิว่า เพราะมีเมียโง่คอยแต่ไลฟ์ขายเสื้อผ้าตลาดนัดอยู่กลางบ้าน เขาจึงไม่มีสมาธิที่จะเขียนงาน “ดี ๆ” อะไรสักอย่าง เป็นเพราะฉัน เพราะฉัน และเพราะฉัน ที่ทำให้เขาไม่สามารถออกหนังสืออะไรได้สักเรื่อง ฉันเคยถามว่าแล้วสเตตัสยาวเป็นผ้าไตรที่เขาเขียนในเฟซบุ๊กน่ะมันเอามารวมเล่มไม่ได้หรือ เขาก็ว่าไม่มีสำนักพิมพ์ไหนรับ ถ้าไม่ใช่ความผิดของสำนักพิมพ์ ก็เป็นความผิดของสังคมไทยโง่เซอะซึ่งไม่สนใจงานเขียนอันทรงภูมิปัญญาของเขา และสุดท้ายเขาก็จะมาพาลหงุดหงิดนังเมียโง่ (ผู้มีปริญญามากกว่าเขาตั้งหนึ่งใบ) คนนี้เสียแทน ดังนั้นฉันจึงไม่พูดเสียดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นหาเรื่องทะเลาะกันเอาเปล่า ๆ

           เรื่องวิชาการที่เคยฝังเต็มหัวตอนเรียนปริญญาโทน่ะฉันสลัดทิ้งหมดแล้ว ฉันไม่อยากสนใจไม่ว่าจะเป็น Aristotle, Kant, หรือ Bentham ใครจะมาสนใจปรัชญารถรางเบรกแตกอยู่ในเมื่อบัญชีรายรับรายจ่ายของพวกเรากำลังจะเบรกแตก จากที่เคยมีอุดมการณ์ อยากทำงานในวงวิชาการ ฉันก็ค่อย ๆ ผันเปลี่ยนไปขายของ เริ่มจากของใช้ทำมือ งานคราฟท์กระจุกกระจิกแสนเก๋ ขนม-อบเอง เลยมาถึงของกินสไตล์ออแกนิค ในที่สุดฉันก็เลิกแล้วกับไอ้ตลาด “ฮิปสเตอร์” บ่ายหน้ามาจับสินค้าตลาดนัด เสื้อผ้าสีฉูดฉาดซึ่งไม่มีตรงไหนเหมือนแบรนด์ Marimekko จนสุดท้ายก็ลามไปถึงของก็อปละเมิดลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไร้ความเป็นปัญญาชน และสุดท้ายภาพลักษณ์ภายนอกก็กลายเป็นเพียงนังเมียโง่ที่ไม่เข้าใจหลักการทางวิชาการ ไลฟ์ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวัน ๆ อย่างที่ผัวตราหน้า

           จะว่าอย่างไรก็เอาเถอะ เพราะไอ้อาชีพอันไม่สุจริตและไม่สูงส่งที่ฉันทำอยู่นี่แหละ ที่ทำให้เขาสามารถเก๊กภาพหรูหล่อแสนรวย ทำตนเป็นผู้ชาย “มีอันจะกิน” สูบบุหรี่นอก ลงภาพเหล้าฝรั่งในสตอรี่เฟซบุ๊ก คอยตามซื้อหนังสือใหม่ ๆ ที่กำลังฮิตมาได้ทุกเล่ม ตั้งแต่ “ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี” หรือ “ราชมัลลงทัณฑ์ บัลลังก์ปฏิรูป” ที่เห็นซื้อมาแล้ววางดองเน่าคาชั้น ยังไม่เคยหยิบมาพลิกเลยสักกะหน มีแต่เอามาถ่ายรูปคู่กับกาแฟเช้าอยู่บ้างนิดหน่อย พอให้มิตรสหายในเฟซบุ๊กออกเสียงกรี๊ดว่าพ่อนักเขียนหนุ่มเขาสนใจเรื่องการบ้านการเมืองเสียจริงนะแก

           ถ้าถามฉัน การแต่งงานกับผู้ชายฉลาดนี่เป็นเคราะห์ร้ายอย่างเหลือเชื่อ แต่ถ้าถามว่าทำไมไม่เลิกรากันไปเสีย ก็โธ่ จะให้ฉันทำอย่างไรได้เล่า แค่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้น ขนตายาวงอน หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา นิ้วคีบบุหรี่แพง ๆ ปากเฝ้าพูดถึงอนาคตประเทศที่ไม่มีวันเป็นจริง แลดูเป็นพ่อหนุ่มช่างฝันที่น่ารัก น่าเอ็นดูทนุถนอม เหมือนทารกน้อยผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เช่นนี้แล้วฉันจะตัดหางปล่อยเขาไปเสียได้อย่างไร เขาจะไปอยู่เองอย่างไรได้ ในโลกกว้างที่ไม่มีเมีย เขาคงตกระกำลำบากเสียยิ่งกว่าสหายคอมมิวนิสต์ผู้หนีเข้าไปอยู่ดงในไพรพฤกษ์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันได้เฝ้าชุบเลี้ยงเขาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ด้วยทั้งมือทั้งตีนมาจนทุกวันนี้ ความยากลำบากที่ผันผ่านทำให้ฉันรักเขาไม่ต่างจากแม่คนหนึ่งจะรักลูกชายไม่เอาถ่านของตนเอง ด้วยเหตุนั้นแล้วฉันจึงยังอยู่กับเขาต่อไป ไม่อาจเลิกรากับเขาได้ ยอมทนเป็นนังเมียโง่ของพ่อนักเขียนหนุ่ม เป็นหัวหน้าครอบครัวของผู้ชายแมงดา เป็นอะไรก็ได้ที่แล้วแต่คุณจะเรียก ฉันยอมเป็นทั้งนั้นหากจะได้เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเขาไปเรื่อย ๆ

           มันคงเป็นเคราะห์เป็นกรรมของตัวฉันเอง หรือเป็นความโง่งั่งอันน่าสมเพชของตัวฉัน ที่ทำให้ฉันต้องผูกติดกับเขาอยู่อย่างนี้ หรือไม่ก็เป็นเพราะความรักตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้ฉันยอมทนเป็นนังเมียโง่ของเขาต่อไป หากคุณจะบอกว่าเป็นเรื่องบ้า ฉันก็จะไม่ว่าอะไรคุณดอกนะ แม้แต่สักกระผีกริ้นเดียวก็จะไม่ว่าเลย

  

//......................

  

Link ที่เกี่ยวข้อง

  

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”

 

                วรรณกรรมออนไลน์