เรื่องสั้น : บุพการี (ผู้ที่ทำอุปการะมาก่อน...) : ณรงค์ยุทธ โคตรคำ

เรื่องสั้น : บุพการี (ผู้ที่ทำอุปการะมาก่อน...) : ณรงค์ยุทธ โคตรคำ

 

          ปีพุทธศักราช 2520... ณ ห้องแถวในค่ายสุรนารี

          “พ่อกูตาย... พ่อกูตายแล้ว... ฮือ ฮึ...”

          “พ่อเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ... ดูสิบั้งติดบ่า พับงอตรงร่องไม้กระดานล่ะ ชุดเครื่องแบบก็เลอะ... โอ๊ยเหม็นเหล้าน่ะ... ถอดออกมา ! ถอดออกฉันจะเอาไปซัก... พรุ่งนี้ต้องเข้ากรมแต่เช้า... ชุดอ่อนหรือชุดแข็ง... ฉันจะเอาไปซักรีดลงแป้งไว้น่ะ... คนตายก็ตายไปแล้ว รึ ! พ่อจะตายตามไปเลย วันนี้ !”

          “พ่อกูตาย พ่อกูตาย...” เสียงแผ่วลง-สักพักม่านตาของจ่าก็เคลื่อนปิด...ในท่านอนรูปตัวซี...บนแผ่นไม้กระดานชั้นสองของตึกแถวนายทหารชั้นประทวน...

          ภรรยาของจ่าผู้มีผมทรง (ฟาร่าห์) เส้นผมถูกดัดเป็นลอนให้ปลายเส้นผมสะบัดออกจากใบหน้าโดยปลายผมทั้งสองนั้น ดัดงอม้วนไปพบกันที่ตรงกลางระหว่างความยาวของเส้นผม ดูคล้ายดั่งงูเห่าแผ่แม่เบี้ย พรางสีน้ำตาลดำอ่อน...เธอจัดแจงถอดชุดเสื้อสีเขียวขี้ม้า และกางเกงสีเดียวกันออกจากเรือนร่างสันทัดของจ่า เหลือเพียงเสื้อยืดสีเขียวที่พิมพ์ตัวหนังสือกลางหน้าอกไว้ว่า... กองทัพบก... และกางเกงสีเขียวแนบไว้กับตัว หล่อนหอบชุดเขียวอ่อนเดินลงบันไดไม้สู่ข้างล่าง แล้ววางชุดนั้นลงตะกร้า แล้วเดินสาละวนหา ยาดม ยาหอม ในตู้ยาสามัญประจำบ้าน ตู้ยาสามัญติดตรึงอยู่กับผนังปูนเป็นกล่องขนาดเท่าจอโทรทัศน์ 24 นิ้ว กล่องไม้แบ่งเป็นสามช่อง ภายในบรรจุยาแก้ปวดลดไข้ ยาแดง สำลี ยาดม ยาหอม... หล่อนหยิบขวดยาหอมออกมา ใช้ช้อนขนาดเล็กตักเนื้อผงยาหอมใส่ลงแก้ว กดน้ำอุ่นคละคนยาหอม หล่อนนั่งลงยื่นแก้วยาหอมต่อสามี ผู้กำลังนอนเพ้อคลั่งเสียอกเสียใจกับพ่อที่เพิ่งจากลับไป สามีผู้กลับมาไม่ทันงานศพบิดาของตน เนื่องจากต้องไปราชการอีกจังหวัดหนึ่ง ในถิ่นที่ราบสูงทางตอนเหนือของประเทศ...

          “เอ้า จิบ เบา ๆ นะ”

          “เพิ่งสอบเลื่อนยศจ่าได้ใหม่ ๆ อย่าเหลวไหล หยุดฟูมฟายเถอะ... เจ้านายเค้าจะอึดอัดใจเอา... นอนพักก่อนนะ... ฉันไปเตรียมทำกับข้าวไว้ให้ลูก ๆ ก่อน”

          ภรรยาของจ่าเดินลงชั้นล่าง เข้าห้องประกอบอาหารต่อไป ...

                                                                                       

          “พ่อสมุดบันทึกอะไรของแกน่ะ วางเปื้อนฝุ่น อยู่บนตู้กับข้าว ฉันเอาไปเก็บหลังตู้ยาเด้อ ...”

          “เฮ้อ... เอาขึ้นมาให้ฉัน เอาขึ้นมานี่... ‘ไม่รู้จักหีเต่าหีแลนอะไรดอกเจ้าน่ะ’” จ่าตะโกนเสียงสั่งภรรยา... เสียงตัดพ้อต่อถ้อยความหลังนั้นแผ่วบางเบา... จ่าชอบตัดพ้อต่อว่าภรรยาด้วยประโยคว่า ; ไม่รู้จักหีเต่าหีแลน ; ต่อหน้าลูก ๆ หรือบางคนที่ได้สนทนาเกี่ยวกับอะไรที่ต้องทำเป็นขั้น-เป็นตอน หรือการอ่านเอกสารสำคัญต่าง ๆ... สมุดบันทึกเล่มขนาดพกพาถูกนำมาวางไว้ข้างตัวจ่า... เขายันตัวขึ้น-จิบยาหอมและดมยา... พอตั้งสติได้เขาจึงหยิบสมุดบันทึกเล่มสีแดง... เปิดแผ่นกระดาษพรางเบิกดวงตาข้างหนึ่ง ไล่เรียงไปตามถ้อยความที่ตัวได้บันทึกไว้ ความว่า...

          :  พ่อแม่ของข้าพเจ้าเป็นชาวชนบท ห่างไกลความเจริญมาก ยึดการทำนาหล่อเลี้ยงปากท้อง ต่อมาคุณพ่อข้าพเจ้า นึกอยากร่ำรวยอย่างผู้อื่นบ้างจึงขายนา 1 แปลงและเอาไว้ทำกินอีกหนึ่งแปลง เพื่อนำเงินที่ขายนานั้นไปซื้อเกวียนเทียมควาย เอามาบรรทุกไม้ไปโรงเลื่อย พอมีรายได้เพิ่มคุณพ่อข้าพเจ้าก็ซื้อเกวียนเพิ่มเพื่อขยายกิจการ... กระทั่งเข้าสู่ปีที่ 3 คุณพ่อติดหนี้สหกรณ์จนได้ขายนาอีก... หมดสิ้นที่ทำกิน !!! พอคุณแม่ข้าพเจ้าคลอดน้องคนสุดท้าย คนที่สี่เป็นผู้หญิง ข้าพเจ้าและพี่ชายทั้งสองเห็นคุณแม่ป่วยหนักทรุดลงทุกวันทุกคืน ระยะเวลานั้นครอบครัวของข้าพเจ้ายากจนยิ่งนัก ! หยูกยาที่จะหามาช่วยคุณแม่ก็ขัดสน จนสุดท้ายท่านก็ได้เสียชีวิตลง ! ขณะข้าพเจ้ายังเป็นเด็กชายตัวน้อยอยู่ เราพี่น้องทั้งสี่ได้ทิ้งหยดน้ำตา ลงบนแผ่นดิน ร่ำไห้จนระเหือดหายไปกับสายลม... และข้าพเจ้าได้ไปอยู่กับย่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆเมื่อถึงวัยเข้าเรียนชั้นประถม พ่อจึงได้นำไปฝากเข้าโรงเรียนชนบทบ้านโคกผักชี... ข้าพเจ้าสอบไล่ได้ที่ 1 หรือที่ 2 มาตลอด กระทั่งถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – ข้าพเจ้าไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อ จึงตัดสินใจหนีความยากจน หนีจากย่า จากพ่อ ออกจากบ้าน ออกมาบวชเป็นสามเณรน้อย กระทั่งสอบไล่บาลีมาถึงชั้นนักธรรมเอก ข้าพเจ้าเป็นเณรน้อยนักพัฒนา จนชาวบ้านย่านชนบทนั้นชอบใจนัก ชาวบ้านเห็นข้าพเจ้ากำลังซ่อมศาลาการเปรียญที่เก่าทรุดโทรมอยู่จึงรวมตัวกันมาช่วยหาไม้หาค้อนตะปูหาหลังคาสังกะสี... ร่วมมือกันจนได้ศาลาการเปรียญหลังใหม่...

          แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านมาได้สักพัก ข้าพเจ้ามีเหตุได้ลาสึก...! ออกมาช่วยน้าชายทำนาอยู่ปีหนึ่ง... กระทั่งอายุเข้าเกณฑ์ทหาร ข้าพเจ้าจับฉลากได้ใบแดง (ทบ. 6) ความตื่นเต้นความภาคภูมิใจที่จะได้สวมชุดเครื่องแบบสีเขียว... ทำให้แรงกายใจของข้าพเจ้าเอิบอิ่ม เหมือนดั่งก้านดอกบัวที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำ

          รอแสงแห่งอรุณมาถึงจึงค่อย ๆ แย้มกลีบใบออกอวดโฉม... ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นวันที่ 1 มีนาคม พุทธศักราช 2508 ข้าพเจ้าได้เป็นทหาร หาญของชาติแล้ว...

          ‘พ่อหรือผู้อุปการะของข้าพเจ้าทุกคนคงภาคภูมิใจไปกับข้าพเจ้าด้วย !!’

                                                    ๐๐๐

 

          “พ่อลงมาอาบน้ำ อาบท่า... กินข้าวนะ... ครอบฝาชีไว้ เดี๋ยวฉันไปหาเพื่อนห้องแถวที่สองก่อน... เห็นว่า อาพร เพิ่งเปิดร้านเสริมสวยวันแรก ไปดูให้กำลังใจกันหน่อย” ! ภรรยาจ่าผู้มีดวงหน้าจิ้มลิ้มถูกล้อมโดยทรงผมดัดเป็นลอนคล้ายงูแผ่แม่เบี้ย... หล่อนก้าวเท้าออกจากประตูไป... ขณะจ่าก้าวลงมาจากชั้นบน พร้อมสมุดบันทึกวางไว้บนโต๊ะอาหาร... เขาขจัดคราบไคลและความมึนเมาให้ไหลทิ้งลงท่อระบายน้ำ... จ่าเช็ดตัวผลัดผ้าแล้วถือสมุดบันทึกมาไล่เรียงสายตาไปตามถ้อยความที่ได้เขียนไว้ขณะยังมียศเป็นนายสิบอยู่... เขาจรดจ้องตามถ้อยความต่อว่า...

          “เมื่อปีพุทธศักราช 2510 ได้มีการประกาศจากทางราชการ รับสมัครทหารกองหนุนและกองเกินเพื่อไปปฏิบัติการรบ ณ สาธารณรัฐ เวียดนามใต้กองทัพบกได้เรียกตัวข้าพเจ้าเข้าบรรจุในกรม อสส. (อาสาสมัคร) แล้วส่งตัวไปยังจังหวัดชลบุรี เป็นผู้ช่วยปืนเล็กฝึกหัดอยู่ 4 เดือน ฝึกเข้าตีแบบรุกหรือโฉบฉวย มีหน้าที่คอยคุ้มกันพลปืนเล็ก... ก่อนผ่านที่โล่งแจ้งและลำน้ำ-เมื่อพลปืนเล็กทุกคนผ่านไปเรียบร้อย... ข้าพเจ้าจึงจะได้วิ่งผ่านที่โล่งแจ้ง - - การผ่านที่โล่งแจ้งทุก ๆ ครั้ง ต้องโผวิ่งแบบซิกแซ็ก... ขณะที่วิ่งก้าวย่ำไปนั้นข้าพเจ้าเหลือบแลไปเห็นระเบิดแบบรุกได้กลิ้งมาตรงหน้า ห่างประมาณ 1 วาเห็นจะได้ ระเบิดลูกนั้นก็แตกปะทุออกมาทันที !!!

          อนิจจา... ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว ! ด้วยแรงของระเบิดดังกล่าวทำให้ตัวข้าพเจ้ากระเด็นประมาณ 5 เมตร เสียงสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลำน้ำบางปะกง แล้วข้าพเจ้าก็หมดสติไป มารู้สึกตัวครั้งแรกที่ รพ.ชลบุรี ได้ยินเสียงพยาบาลแว่ว ๆ ข้างหูว่า “ไม่ไหวแล้ว ลูกตาข้างขวาแหลกหมด ต้องรีบส่งกรุงเทพด่วน...” เท่านั้นเองข้าพเจ้าก็หมดสติไปอีกครั้ง !... มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนรถพยาบาลวิ่งขึ้นห้องฉุกเฉิน ของ รพ.มงกุฏเกล้า ข้าพเจ้าได้รับการรักษาและเอาใจใส่จากพยาบาลเป็นพิเศษและผู้บังคับบัญชาก็มาเยี่ยมให้กำลังใจตลอด... ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้น  หมอได้สั่งควักลูกตาข้างขวาออก แล้วใส่ลูกตาเทียมเข้าไปแทน มีการรักษาอยู่ รพ.มงกุฏเกล้า เป็นเวลา 1 เดือน เมื่อหายดีแล้วได้ออกจาก รพ. ทาง รพ.ทำหนังสือส่งคืนหน่วย และทำการฝึก

          ภาคสนาม ณ อ.ลาดยาว กาญจนบุรี และเข้ารายงานตัวกับ ผบ.ร้อยขณะนั้น ผู้กองถามความประสงค์จากข้าพเจ้าว่า จะไปรบเวียดนามกับผู้กองไหม ?... ข้าพเจ้าตอบทันทีว่าไป !... เท่านั้นเองผู้กอง (ผู้กองทหารบกที่ชั้นยศคือ พันตรี ถึงพันเอก) ก็ได้สั่งให้ข้าพเจ้าไปพักผ่อน 1 เดือนเพื่อรอการเดินทางไปเวียดนาม

          และแล้ววันเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง คือวันเดินทางไปยังสมรภูมิเลือด ณ สาธารณรัฐเวียดนามใต้... ในวันที่ 18 กันยายน 2510

          ‘ พ่อและผู้อุปการะข้าพเจ้าทุกคนคงภูมิใจกับข้าพเจ้าด้วยและแม่ผู้ล่วงลับไปตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเด็กคงปลาบปลื้มใจ ขณะวันนี้ท่านทั้งสองได้จากข้าพเจ้าสู่ภพภูมิไหนไม่ทราบได้

                                                            ๐๐๐

 

          ปีพุทธศักราช 2546

          จ่าก็เกษียณอายุราชการ และได้ดาวหนึ่งดวงมาประดับบ่า... ขณะลูกสาวสามคนก็แยกเรือนไปสร้างครอบครัวในต่างแดน... เหลือเพียงลูกชายคนเดียวที่ยังวนเวียนอยู่ในถิ่นที่ราบสูงและหลานชายผู้ติดมาจากลูกสาวคนโตของจ่า...

          “พ่อเราไปเยี่ยม ไอ้เจ้ามนุษย์ต่างดาวกันเถอะ มันนอนรอผ่าตัดหัวใจอยู่ รพ.น่ะ... เวทนาลูกเมียมันนะ มันไม่รู้จักทำการงานหาเงินทอง เรียน มหา’ลัย ก็ไม่จบ กลับมาขายแต่หนังสือเก่า... บ้า ๆ บอ ๆ เขียนจดหมายว่าพ่อว่าแม่ จั๊ก ! มันจะยังไงของมัน ทำไร ขวางโลกไม่เหมือนชาวบ้านไว้ผมซะยาวเลื้อยไปถึงก้น... ฉันล่ะระอาเหนื่อยล้าใจ... เวทนามัน แก่ตัวขึ้นทุกวัน ลูกก็กำลังเติบโตขึ้นมัธยมแล้ว !”

          ภรรยาของจ่าเอ่ยขึ้น ขณะนั่งรถปิคอัพที่จ่าขับเคลื่อนอย่างระมัดระวังจากบ้านสวนชานเมืองตามพื้นผิวคอนกรีตเข้าสู่ รพ. ประจำจังหวัด...

          “พ่อ พ่อ... ปู่กับย่า มาเยี่ยมน่ะ หลานชายของจ่าได้แตะแขนอันผอมแห้งแรงน้อยของพ่อ...เขาค่อยลืมตาขึ้น มองภาพจ่าผู้เป็นพ่อและเรือนร่างของแม่ภาพสองดวงหน้านั้นดูบดเบลอไหว ๆ เป็นดวงหน้าของพ่อและแม่ที่ผลิแย้ม - มุมปากดั่งดอกไม้สีเหลืองสีน้ำตาลปนสีเทา ประดับฉากที่แออัดไปด้วยเตียงผู้ป่วยหนักชายเตียงเรียงรายห่างชิดกันประมาณวาหนึ่งช่วงแขนหนึ่งเห็นจะได้... ผู้ป่วยต่างเต็มไปด้วยสายโยงระยางบางผู้ก็ถูกครอบด้วยพลาสติกครอบจมูก บางรายให้น้ำเกลือ... จ่าแตะข้อมือลูกชายเบา ๆ พลางบอกว่า

          “ดูสดใสขึ้นแล้วนะ ! อย่าคิดไรมาก  รักษาลมหายใจไว้ให้ดี...” พ่อของหนุ่มน้อยได้แต่พยักหน้า ขณะแขนซ้ายถูกปักเข็มโยงสายน้ำเกลือ... หยดลงทีหยดอย่างน้ำค้างค่อนแรมยามดึกดื่น... เขารู้สึกขนลุกสะท้านไปทั่วลำคอ เหมือนน้ำตาเอ่อล้นขอบตาทั้งสองข้าง เขาขยับข้อมือขวาจับสายท่ออ๊อกซิเย่นกระชับรูจมูกทั้งสองข้างอีกครั้ง...

          “พ่อ พักนอนหลับนะ ฉีดยาไปหลายเข็มแล้ว”

          หนุ่มน้อยบอกพ่อของเขาแล้วนั่งลงขอบเตียงข้างแม่...

          “ปู่กลับสวนก่อน ดูแลพ่อนะ” ต่างคนต่างพยักหน้าต่อกัน ระหว่างนั้น... ระหว่างรอการผ่าตัดหัวใจ พ่อของหนุ่มน้อยต้องผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดใหญ่สามเส้นที่เชื่อมต่อหัวใจ เนื่องจากเส้นเลือดใหญ่ทั้งสามปริแตก ขณะจิบดื่มร่ำสุราฉลองปีใหม่อยู่ภายในบ้านกับลูกเมีย ขณะเข้าห้องน้ำเขาก็สั่นหนาวสะท้าน ตามเนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ แต่เขากลับหนาวสะท้านขั้วหัวใจ จนล้มฟุบลง... กระทั่งมีรถฉุกเฉินของชุมชนได้นำส่ง รพ.

          “ พ่อ... นอนนะพ่อ เดี๋ยวผมกับแม่ลงไปหาซื้อไรขึ้นมาไว้ให้นะ”

          หนุ่มน้อยกับแม่ของเขาก้าวออกจากห้องไป - - เขานอนตาปรือแต่ความคิดยังพลัดฟุ้งกระจายไปตามเสียงโหยหวนครวญคราง ของผู้นอนอยู่ตามเตียง ถัดไป... ถัดไป... และถัดไป !!! (ภายในตึกอายุรกรรมฝั่งชาย – ผู้มีอาการหนัก ผู้ต่างนอนรอการปรับยาให้สมดุลกับร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมรอการผ่า หรือบางคนต้องเจาะคอเพื่อความสะดวกในการเยียวยา ตามภาวะต่าง ๆ...)

                                        -  -  -

          “มันใช้บัตร 30 บาท ได้มั้ยพ่อ...!”  ภรรยาของจ่าเอ่ยภายในปิคอัพ ที่กำลังเคลื่อนคล้อยสู่บ้านสวนชานเมือง... จ่าพยักหน้าแทนคำตอบ

                                                            ๐๐๐

 

          พ่อ เตรียมย้ายเข้าห้องพิเศษได้แล้วนะ... เที่ยงวันนี้... กว่าจะขอได้... ยากฉิบ !!...”  หนุ่มน้อยส่ายหัวพลางสบถอะไรอีกสองสามประโยค...

          “คืนนี้ผมจะไปทำรายงานส่งครู ให้แม่นอนเฝ้าพ่อแทนละกัน... พรุ่งนี้ ปู่กับย่าจะแวะมาเยี่ยมอีก และยายอาจจะมาด้วย...” ชายหนุ่มน้อยพูดพลางเก็บเอกสารต่าง ๆ ใส่เป้สะพายหลัง...

          “อ้อ ถ้ามีไร ให้พ่อกดปุ่มสีแดง ตรงหัวเตียงเรียกพยาบาลนะ... ผมไปล่ะ”

                                                            ๐๐๐

 

        เสียงแอร์คอนดิชัน ครางแผ่วเบา กลบละอองเย็นแผ่ซ่านคลุมภายในห้องสี่เหลี่ยม ขนาด 5 คูณ 8 เมตร ห้องพิเศษของผู้ป่วยที่ทำเรื่องขอพักได้ ซึ่งมีจำนวนจำกัด... มีเตียงปรับเอนระดับ ภายในผนังประดับด้วยวอลเปเปอร์รูปทิวทัศน์รูปท้องทะเลสะอาดตา... ลูกชายของจ่าได้ย้ายเข้ามานอนเพื่อรอคิวผ่าตัดใหญ่ซึ่งจะทำการผ่าตัดอีกสี่หรือห้าวันข้างหน้า...

          “พี่ วันนี้ลูกไปทำรายงานบ้านเพื่อนนะ... เห็นบอกว่าทำรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ แข่งประกวดระดับ ม.ต้น ส่งกันทุกโรงเรียนในจังหวัดเราล่ะ...” ภรรยาของลูกชายจ่าเอ่ยกลบภาพ – เสียง จอโทรทัศน์...

          “มาปรับเตียงให้หน่อย เอาแบบเอนนั่งกึ่งนอนนะ และหยิบหนังสือสวดมนต์ให้พี่ด้วย” เสียงแผ่วเบาของเขาบอกภรรยา... ขณะพยาบาลเปิดประตูเข้ามา...

          “สวัสดีค่า... ขอวัดไข้จ้ะ...” หล่อนก้าวถือถาดอลูมิเนียมขนาดเท่าฝ่ามือ พร้อมยาเม็ด สี ขาว-เหลือง-ชมพู อย่างละสองเม็ด... หล่อนจัดการตามหน้าที่เสร็จแล้วก้าวจากไป... พร้อมทิ้งกลิ่นหอมดอกกุหลาบคละปนกลิ่นหญ้าตัดใหม่หอมละมุนแผ่ซ่านอยู่ในโสตประสาทของเขา... ทิ้งให้เขาและภรรยาอยู่ภายในห้องสองคน เขาบอกภรรยาปิดทีวีลงเพื่อจะสวดมนต์... ส่วนภรรยาผู้มีรูปร่างท้วมสันทัดก็นั่งก้มหน้าเขี่ยปลายนิ้วอยู่กับจอมือถือ และแตะจิ้มพิมพ์บางขณะ... เขาวางบทสวดคาถาชินบัญชรลงแนบตรงหัวหมอนด้านขวามือ พยายามข่มตาให้หลับ... แต่เขาก็รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา ขณะสายน้ำเกลือยังปักอยู่แขนด้านซ้าย น้ำเกลือหยดนั้น ดั่งน้ำค้างหยดเดียวในทุ่งหญ้าโล่งกว้างที่ไหนสักที่หนึ่ง... ครั้นจะลุกไปฉี่คนเดียวโดยลากสายน้ำเกลือไปด้วยคงไม่ถนัด อย่างที่เคยทำในห้องรวมแบบเมื่อวาน... แต่ห้องพิเศษนี่ดูสะอาดโล่งสบายกว่า ซึ่งต้องแลกค่าห้องคืนละ 1900 บาท โดยบัตรทอง 30 นั้น ใช้สิทธิได้เต็มแต่ในห้องรวมเท่านั้น

          “เธอ มาจับเสาตั้งน้ำเกลือเข็นตามพี่ไปห้องน้ำหน่อย” เขาหย่อนขาลงเดินถึงห้องน้ำ 5 ก้าว เขารู้สึกว่า เจ้างูน้อยหรือดักแด้ ! ใต้สะดือนั้นค่อย ๆ ตื่นตัวผงาดขึ้น ! ดันกางเกงขาก๊วย ขณะกำลังจะนั่งลงชักโครก  มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบคละปนกลิ่นหญ้าตัดใหม่ยังกำจายตรึงอยู่ในความรู้สึก... เหมือนเธอเพิ่งป้อนยาเสร็จไปหมาด ๆ... !! กลิ่นตรึงรัญจวนนั้นกำซับซ่านต่อโสตประสาทเขา... ทุก ๆ 3 ชั่วโมงที่พยาบาลเธอเข้ามาส่งถาดยาและวัดไข้...

          ภรรยาเขากระตุกดึงเชือกที่มัดกางเกงขาก๊วย คลี่ปมออก แววตาหล่อนลุกโพลงเล็กน้อย แล้วหล่อนจับหัวไหล่เขาให้ขยับถอยร่นเพื่อนั่งลงชักโครก เขานั่งลงโดยมีเม็ดเหงื่อผุดซึมตามต้นคอ แล้วดึงปมเชือกเสื้อเปิดหน้าอกไว้รับลม...

          เธอค่อย ๆ โน้มใบหน้ามาชิดหน้าอกเขา แล้วริมฝีปากเธอก็จูมพิศดูดโลมลิ้นไปที่หน้าอกด้านซ้าย โลมไล้อย่างแผ่วเบา แล้วดูดดื่มลึก... ไล่ต่ำลงไปเรื่อย เขาใช้มือขวา วางบนไหล่เธอให้ลุกขึ้นนั่งคร่อมเขา แล้วมือซ้าย-ขวาของเขาก็จับประคองเอวเธอให้ตรงลงมาแนบเนื้อเอวเขาเธอหมุนเอวเล็กน้อย ค่อยขยับลงกระชับ... กระชับลึกเข้าไปอีก...!

          “ซู้ด !!!. พี่เรก... พี่เรก...” แล้วเธอก็เงียบเสียงลง... เพราะเขาเองไม่ได้ชื่อ เรก อะไรนั่น ! อย่างที่เธอแผ่วครางออกมา...

          “ก๊อก ก๊อก... ถึงเวลาทานยาแล้วคะ”

          กลิ่นกุหลาบคละปนกลิ่นความฉ่ำแล้งแบบแห้งชื้นของหญ้าตัดใหม่แผ่โชยอยู่หน้าห้องน้ำ.

                                                            ๐๐๐

 

       

          ปีพุทธศักราช 2563

          “ปู่เคยบอกว่า ถ้าตัวเองยังหากินไม่รอด ก็ไม่ควรมีลูก-เมีย” พ่อจ่าเอ่ยขึ้นกับเขา ขณะนั่งอยู่ในรถเก๋งโดยมีพี่สาวเป็นคนขับขึ้นเขาที่ปากช่อง... หล่อนมาจากเมืองนอกพร้อมสามีฝรั่ง หล่อนขับอย่างคล่องแคล่ว สามีนั่งหน้าโดยมีเขาและพ่อจ่านั่งหลัง เสียงเอ่ยแผ่วเครือของพ่อจ่าเงียบกังวานปรกคลุมในโสตประสาทของเขา ขณะความเย็นเฉียบของแอร์รถนั้นเหมือนเป่าลมผ่าวยะเยือกลงตรงหัวใจเขา !

          หลังจากหย่าร้างได้สามปี เขาเองก็มีคนใหม่เข้ามาอยู่บ้านด้วยโดยเธอมีลูกติดวัยประถมสองคน เข้ามาร่วม เก็บ – กัด –กลืน –กิน กันภายในบ้านจัดสรรซึ่งพ่อจ่าได้ผ่อนทิ้งไว้ให้เขาอยู่...

          ส่วนลูกชายคนเดียวของเขาไปอยู่กับภรรยาที่หย่าร้างไปร่วมสามปี ชายหนุ่มน้อยได้ซื้อยาประจำตัวมาให้เขาเพียงครั้งและมีการพูดคุยกันไม่กี่ถ้อยคำ

                                        ๐๐๐

 

          “พ่อว่า มันจะเป็นอย่างไร ไอ้เจ้ามนุษย์ต่างดาวน่ะ” ภรรยาของจ่าเอ่ยถึงเขาซึ่งเป็นลูกชาย

          “ก็ให้โอกาสมัน ช่วยเหลือตามกำลังเรา... ฉันเองก็แก่แล้ว...ไม่รู้ตายวันตายพรุ่ง”

          “นั่นสิ มันเอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม” ภรรยาของจ่าเอ่ยสำทับ กระทบเสียงสายลมลู่กอไผ่ ขณะนอนเปลห้า-หัว ที่ผูกไว้ในสวนกลางทุ่ง ถูกล้อมรั้วลวดหนามในพื้นที่ห้าไร่  โดยลูกสาวทั้งสามได้รวมเงินกันมาปลูกยกบ้านไว้ให้พ่อและแม่ได้อยู่อย่างสบายในบั้นปลายชีวิต...

          “พ่อ... พ่อ เจ้าเอา บันทึก... สมุดบันทึกเจ้าน่ะ อยู่ไส !”

          “จั๊ก ! ไม่รู้ ฉันเก็บไว้ไหน เด้อ  หาเอาเอง”

          “รึ ! ว่ามันอยู่กับ บักเสือนั่น บักมนุษย์ต่างดาวของเจ้า น่ะ !!!”

                                ๐๐๐

 

          เขาสะอึกและสำลักน้ำออกจมูกขณะปิดฝาตู้เย็น... น้ำพุ่งกระจายเป็นวงดวงดาวสีหม่น ปะแต้มลงพื้นกระเบื้องรอบตู้เย็น...

          “พ่อจ๋า พ่อจ๋า หิวน้ำแข็งใส  หิว ฮิ้ว ! หิว !”

          “รอก่อน รอก่อน... เอาสมุดบันทึกไปวางไว้ตู้หนังสือให้พ่อจ๋าหน่อย ระวังอย่าไปดึงหนังสือรวมเรื่องสั้นลงมาเปิดเล่นนะ กระดาษมันผุกรอบแล้ว !!!”

          “เอาโทรศัพท์มาให้พ่อจ๋าก่อน ขอเช็คไรใน facebook หน่อย เดี๋ยวค่อยว่ากัน  !”

 

//......................

        หมายเหตุ : “ณรงค์ยุทธ โคตรคำ” ได้ส่งผลงานเรื่องสั้นเรื่องนี้ ให้กองบรรณาธิการฯ ก่อนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจ และได้เสียชีวิตหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2564 ทางกองบรรณาธิการฯ จึงขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไป ด้วยการเผยแพร่ผลงานเขียนชิ้นสุดท้ายของนักเขียนท่านนี้

//......................

  

Link ที่เกี่ยวข้อง

 

                “บางกอกไลฟ์นิวส์” เปิดรับ “เรื่องสั้น” และ “บทกวี”