SPCG แถลงผลประกอบการ Q3 กำไร 2,168 ล้านบาท โกยรายได้สวนกระแสเศรษฐกิจโลก

SPCG แถลงผลประกอบการ Q3 ปี 62 โกยรายได้แข็งแกร่งสวนกระแสเศรษฐกิจโลกถดถอย เผยกวาดรายได้รวม 3,794 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,168 ล้านบาท เพิ่ม 2.6 % จากงวดเดียวกันปีก่อน เผยเมกะโปรเจกต์โซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น กำลังผลิต 469 เมกะวัตต์คืบหน้าตามแผน

 

 

 

          ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2562 ในงาน “บริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน Opportunity Day” ที่ห้อง 603 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษกดินแดง กรุงเทฯ โดย SPCG มีผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 บริษัทฯมีรายได้รวม จำนวน 3,794 ล้านบาท ลดลง 11 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้รวม 4,275 ล้านบาท และบริษัทมีกำไรสุทธิรวมจำนวน 2,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมจำนวน 2,112 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 56 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.6

 

 

          ดร.วันดี กล่าวว่า บริษัทฯยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือ โซลาร์ฟาร์ม ทั้ง 36 โครงการ รวมกำลังการผลิตกว่า260 เมกะวัตต์ ที่ในปี 2562 นี้ จำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้จากทั้ง 36 โครงการ มีจำนวน 289.4 ล้านหน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในส่วนของรายได้ที่ลดลงเป็นผลอันเนื่องมาจากบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ“SPR” (บริษัทในเครือ SPCG) ผู้นำด้านการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Power Roof System) มีรายได้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน เหตุผลอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก บวกกับลูกค้ากลุ่มบ้านพักอาศัยบางส่วนยังรอความชัดเจนในนโยบายของภาครัฐภายใต้โครงการโซลาร์ภาคประชาชน ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการลงทุนไปในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า และเพื่อเป็นการผลักดันยอดขาย บริษัทได้มีการเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ในการขาย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และทางเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้นโดยขณะที่ลูกค้า ในกลุ่มอาคารพาณิชย์ และ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ยังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้าติดตั้งระบบโซลาร์รูฟของบริษัทแล้ว ต่างเห็นผลลัพธ์ที่ดี สามารถลดค่าไฟได้ทันทีเมื่อติดตั้งอีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้กิจการของลูกค้ามีกำไรเพิ่มขึ้น

 

 

 

          สำหรับความคืบหน้าของโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา(Solar Roof) ร่วมกับ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท Mitsubishi UFJ Lease & Finance Company Limitedหรือ MUL,บริษัทพีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดหรือ PEA ENCOM และ บริษัท KYOCERA Corporation, Japan หรือ KYOCERAปัจจุบันได้จัดตั้งบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2562 นี้ โดยตั้งเป้าในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ให้กับกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม ภายในสิ้นปี 2563 กำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์

 

 

          ดร.วันดีกล่าวต่อในส่วนของโครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 469 เมกะวัตต์ที่เป็นการร่วมทุนของ 8 บริษัท ได้แก่ Kyocera Corporation, Kyudenko Corporation, Mizuho Bank, SPCG Pubic Company Limited, Tokyo Century Corporation, Furukawa Electric Company Limited,Tsuboi Corporation และ The Eighteenth Bank Limited งบการลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการยื่นเอกสารสำคัญต่างๆ และจะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อสร้างต่อไป โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)ได้ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566