จาก ‘ทนายสมชาย’ ถึง ‘บิลลี่’ การ ‘บังคับสูญหาย’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว !

จาก ทนายสมชายถึง บิลลี่การ บังคับสูญหายไม่ใช่เรื่องไกลตัว !

 

ประชาชนแห่ลงชื่อ ร่วม อังคณา นีละไพจิตร ผ่าน แคมเปญ ทวงคืนความยุติธรรมคดี 'ทนายสมชาย' ผ่าน พรบ.ต่อต้านการทรมานและอุ้มหาย ทาง www.change.org หลังการ บังคับสูญหาย ไม่ใช่เรื่องไกลตัว นับจาก ทนายสมชาย ถึง บิลลี่ และอีกมากมายหลายกรณี ที่ทำให้เกิด “สถานะผู้ถูกบังคับสูญหาย” เพิ่มขึ้นมากมาย

 

“พอละจี รักจงเจริญ” หรือ “บิลลี่” นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง หายตัวไปตั้งแต่ปี 2557 หลังเคลื่อนไหวร่วมกับชาวบ้าน เตรียมฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ กรณีการเข้ารื้อทำลายบ้านเรือน และทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัว ล่าสุด พบหลักฐานสำคัญ นำไปสู่การค้นหาร่างของ “บิลลี่” ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังตรวจสอบ “ดีเอสไอ” ระบุว่า กระดูกที่พบเป็นของ “บิลลี่” ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี

 

“อังคณา นีละไพจิตร” ภรรยาของ “สมชาย นีละไพจิตร” ทนายด้านสิทธิมนุษยชนที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2547 ระบุว่า การบังคับสูญหายไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อาจเป็นคนในครอบครัวคุณหรือคนที่คุณรัก

 

จากสถิติ มี “ผู้ถูกบังคับสูญหาย” โดยเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 82 คน ระหว่างปี 2523-2559 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคลื่อนไหวด้านสิทธิต่าง ๆ และปัจจุบัน คดีส่วนใหญ่ยังไม่คลี่คลาย และไม่สามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้

 

“อังคณา นีละไพจิตร” ได้ทำแคมเปญ ทวงคืนความยุติธรรมคดี 'ทนายสมชาย' ผ่าน พรบ.ต่อต้านการทรมานและอุ้มหาย ทาง www.change.org  โดยต้องการ 5 หมื่นรายชื่อ เพื่อเรียกร้องต่อภาครัฐต่อไป

 

 

         ทวงคืนความยุติธรรมคดี 'ทนายสมชาย' ผ่าน พรบ.ต่อต้านการทรมานและอุ้มหาย

 

[3 ก.ย] “บิลลี่ พอละจี” หายตัว 5 ปี ก่อนพบโดนฆ่า - หลักฐานชัด โดนเผาอำพราง

 

ตามที่ DSI ให้ข่าวเรื่องการแถลงข่าว กรณี #บิลลี่ และหากเป็นไปตามที่กล่าวในเวทีเสวนา #คนก็หาย #กฎหมายก็ไม่มี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ว่าจะมีข่าวดี (แม้ฟังแล้วจะขมขื่น) แต่ก็เป็นอีกขั้นตอนของกระบวนการสอบสวนและการเปิดเผยความจริง ถ้ากระดูกที่พบคือกระดูกของ “บิลลี่” “บิลลี่” ก็จะไม่อยู่ในสถานะผู้ถูกบังคับสูญหายอีกต่อไป ครอบครัวจะสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้เขาได้ ในส่วนครอบครัวการทราบชะตากรรมจะเป็นการปลดปล่อยพันธนาการของความคลุมเครือ แต่ก็คงเป็นความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างที่สุดในการรับรู้การกระทำที่ป่าเถื่อน โหดร้ายไร้มนุษยธรรมเช่นนี้

 

ส่วนตัวเห็นว่า สิ่งสำคัญที่ทำให้รัฐบาลต้องเร่งทำความจริงในคดีนี้ให้ปรากฎคือการที่กรรมการมรดกโลกกดดันให้เวลาประเทศไทย 1 ปีในการแก้ปัญหาการอยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ในผืนป่าแก่งกระจาน โดยเฉพาะกรณีการหายตัวไปของ “บิลลี่”

 

สำหรับกรณีผู้ถูกบังคับสูญหายรายอื่น ๆ ที่ DSI รับเป็นคดีพิเศษ รวมถึงคดี #สมชายนีละไพจิตร DSI ไม่มีความเต็มใจ (unwillingness) ทำคดีตั้งแต่ต้น และได้งดการสอบสวนไปนานแล้ว และไม่มีท่าทีต้องการรื้อฟื้นคดีกลับมาใหม่ คิดว่า อาจเป็นเพราะผู้กระทำผิด และบรรดาผู้เกี่ยวข้อง ล้วนยังมีอำนาจมากมายในปัจจุบัน จนยากที่ใครจะกล้าแตะ

 

กรณี “สมชาย” เกิดขึ้นในช่วงการใช้นโยบายสงครามยาเสพติด และการปราบปรามการก่อการร้ายใน จชต. ซึ่งปรากฎมีคนจำนวนไม่น้อยที่สูญหายในช่วงเดียวกัน ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงใน จชต. เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนปัจจุบัน

 

12 ปีแล้วที่ดิฉัน “อังคณา นีละไพจิตร” และลูกๆ อีก 5 คน ไม่ได้พบหน้า “ทนายสมชาย นีละไพจิตร” ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาทนายความ และที่สำคัญกว่านั้นคือ สามีของดิฉันและ พ่อของลูกๆ สิ่งที่เหลือมีเพียงความโศกเศร้า คำถาม และคดีความที่จบลงด้วยการพ่ายแพ้

 

ก่อนหายตัวไป ทนายสมชาย ว่าความให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่อ้างว่า ถูกทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้รับสารภาพ จนกระทั่งคืนวันที่ 12 มีนาคม 2547 ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลยหลังจากที่เขาแยกตัวกับเพื่อนทนายย่านรามคำแหง ดิฉัน และครอบครัว ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นตำรวจ 5 นาย 1 ในนั้น คือตำรวจที่ลูกความของ “ทนายสมชาย” กล่าวหาว่า ทรมานผู้ต้องสงสัยด้วย

 

ในขณะที่ความหวังที่ครอบครัว “นีละไพจิตร” จะได้อยู่พร้อมหน้าอีกครั้งริบหรี่ลงเรื่อย ๆ โอกาสครั้งสำคัญที่ดิฉันและลูก ๆ จะได้รับรู้รสชาติความยุติธรรมก็จบลงเช่นกัน ศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ยกฟ้องตำรวจทั้ง 5 นาย โดยไม่พิจารณาหลักฐาน เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ ที่มีความน่าเชื่อถือซึ่งฝ่าย ดิฉัน ยื่นไป สิ่งที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ตลอด 12 ปีของพวกเรา ให้เพิ่มขึ้นทวีคูณ

 

วันนี้ ดิฉัน ในฐานะภรรยา ของ “ทนายสมชาย” และผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งช่วยจัดทำแคมเปญนี้ขึ้นมา ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง;

 

-เร่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้สืบคดีของ นายสมชาย นีละไพจิตร อย่างจริงจัง

-สอบสวนการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร และผู้ที่คาดว่า ถูกอุ้มหายทุกคนในประเทศไทย อย่างเป็นอิสระ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ มีการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นไปได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุ้มหาย ตลอดจนนำตัวผู้ต้องสงสัยเข้าสู่การพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

-ผ่าน ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... โดยที่เนื้อหาต้องสอดคล้องกับ อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคน จากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้การทรมาน และการบังคับบุคคลให้สูญหาย (อุ้มหาย) เป็นความผิดทางอาญาอย่างชัดเจนตามนิยามในอนุสัญญาฉบับดังกล่าวด้วย

-ให้สัตยาบันต่อ อนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ และบังคับใช้กฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับข้อบทของอนุสัญญาดังกล่าว

-ระบุที่อยู่และชะตากรรมของผู้ที่คาดว่า ถูกอุ้มหาย ตลอดจนนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

-รับประกันว่า ผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวจะได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่

 

ทั้งนี้ แม้ดิฉันจะได้รับข้อมูลว่า “ทนายสมชาย” ถูกทรมานจนเสียชีวิต แต่ก็ไม่มีหน่วยงานรัฐไหนที่รายงานอย่างเป็นทางการได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับทนายคนสำคัญของไทย และสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวนีละไพจิตรคนนี้กันแน่

 

ความจริงยังคงหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดที่ใดสักแห่งในสังคมไทย ดิฉัน ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมกันใช้โอกาสครบรอบ 12 ปีการหายตัวไป ของ “ทนายสมชาย” เรียกร้องให้รัฐบาลไทย และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องนำความยุติธรรมมาสู่ “ทนายสมชาย” ครอบครัวนีละไพจิตร ตลอดจนผู้ที่คาดว่า ถูกอุ้มหายคนอื่น ๆ ในประเทศต่อไปด้วย

 

"การบังคับสูญหายไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อาจเป็นคนในครอบครัวคุณหรือคนที่คุณรัก ... ร่วมรณรงค์กับเราเพื่อยุติการบังคับสูญหายในประเทศไทย"

 

“อังคณา นีละไพจิตร”

 

//...................

หมายเหตุ https://www.change.org/p/ทวงคืนความยุติธรรมคดี-ทนายสมชาย-ผ่าน-พรบ-ต่อต้านการทรมานและอุ้มหาย

//...................