20251202unfpa
UNFPA ประเทศไทยจัดการประชุมเสวนาพหุภาคี ทบทวนความสำเร็จ และร่วมออกแบบอนาคตเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางประชากรของไทย
กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประเทศไทย จัดการประชุมพหุภาคีเรื่อง “Recognising Achievements and Co-Creating the Future” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เพื่อทบทวนความสำเร็จที่สำคัญและบทเรียนที่ได้รับ พร้อมร่วมกันกำหนดทิศทางอนาคตของวาระประชากรและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย การประชุมครั้งนี้รวบรวมตัวแทนเกือบ 200 คน จากหลายภาคส่วน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงภาครัฐ ภาคประชาสังคม เครือข่ายเยาวชน กลุ่มประชากรเปราะบาง ภาควิชาการ ภาคเอกชน หน่วยงานด้านการพัฒนา และสื่อมวลชน ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศไทยในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่กำลังเร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ การประชุมจัดขึ้นโดย UNFPA ประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรหลัก ได้แก่ สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง
ปัจจุบัน ประชากรไทยกว่าหนึ่งในห้าของทั้งประเทศมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่อัตราการเกิดลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 1.08 คนต่อสตรีวัยเจริญพันธุ์หนึ่งคน อีกทั้งมีการคาดการณ์ว่า ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) โดยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรเช่นนี้กำลังส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน การบริโภคภายในประเทศ ระบบคุ้มครองทางสังคม และพลวัตระหว่างคนต่างวัย ในขณะเดียวกัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและความเปราะบางที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ยังคงส่งผลกระทบอย่างไม่สมส่วนต่อผู้หญิง เยาวชน และกลุ่มประชากรเปราะบางทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 54 ปีที่ผ่านมา UNFPA ประเทศไทย ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาลไทยและภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง จนก่อให้เกิดความสำเร็จสำคัญหลายประการ อาทิ การลดอัตราการเสียชีวิตของมารดา การขยายการเข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์อย่างทั่วถึง การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ และนโยบายก้าวหน้าที่ช่วยรับมือกับปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและการพัฒนาประชากรของประเทศ
ตลอดทั้งวันมีการจัดเวทีพูดคุยประเด็นสำคัญและวงเสวนาหลากหลายประเด็น โดยเริ่มต้นด้วยถ้อยแถลงเปิดงานจาก ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการ UNFPA ประจำประเทศไทย และ นางหทัยชนก ชินอุปราวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการ UNFPA ประจำประเทศไทย กล่าวในถ้อยแถลงเปิดการประชุมว่า การเปลี่ยนผ่านด้านประชากรของไทยจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยการมองการณ์ไกล การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และการเคารพสิทธิ พร้อมชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ซึ่งการตัดสินใจเรื่องอัตราการเกิดของประชากร ระบบการดูแล และความเท่าเทียมทางเพศในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดว่าการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้จะพาประเทศไปสู่ความท้าทายหรือโอกาสในวันข้างหน้า
“ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนด้านโครงสร้างประชากร คำถามไม่ใช่ว่าประเทศจะปรับตัวได้หรือไม่ แต่คือเราจะร่วมกันทำอย่างไรให้การเปลี่ยนผ่านทางประชากรครั้งนี้กลายเป็นโอกาสสร้างประโยชน์ทางประชากรสำหรับทุกคน วิกฤตภาวะเจริญพันธุ์ที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของตัวเลข หากแต่เป็นเรื่องของทางเลือก เมื่อผู้คนไม่สามารถมีบุตรตามที่ต้องการได้ เนื่องจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ภาระการดูแล หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย การสร้างความยืดหยุ่นทางประชากรต้องเริ่มต้นด้วยการเสริมพลังให้ประชาชนมีอำนาจในการตัดสินใจและสร้างสังคมที่ตอบโจทย์ผู้คนทุกช่วงวัย” ดร.โอนาบันโจกล่าว
ดร.จูลิตตา โอนาบันโจ ผู้อำนวยการ UNFPA ประจำประเทศไทยยังเน้นย้ำด้วยว่า ทิศทางการทำงานของ UNFPA ในช่วงปีต่อจากนี้จะยึดหลักการกำหนดนโยบายโดยอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ การเสริมพลังเยาวชน และความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกของ UNFPA (2026–2029) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ของไทย ทั้งนี้ UNFPA มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย “Three zeros” ขององค์กร อันได้แก่ การส่งเสริมให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการการวางแผนครอบครัว ยุติการเสียชีวิตของมารดาจากการคลอดบุตร และการยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ พร้อมประกาศให้ “ความยืดหยุ่นทางประชากร” เป็นเสาหลักเชิงยุทธศาสตร์ลำดับที่สี่ โดยระบุว่า “นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องจำนวนประชากรเท่านั้น แต่คือการลงทุนในศักยภาพของมนุษย์ ในความเท่าเทียมทางเพศ และในความเป็นปึกแผ่นระหว่างประชากรต่างรุ่น ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน”
นางหทัยชนก ชินอุปราวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เน้นย้ำว่า ข้อมูลประชากรที่เชื่อถือได้และนวัตกรรมดิจิทัลคือฐานรากสำคัญของความยืดหยุ่นทางประชากรของประเทศไทย โดยกล่าวว่า “สถานการณ์ประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของไทยและอัตราการเกิดที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนของข้อมูลคุณภาพสูงและทันเวลาเพื่อใช้กำหนดนโยบายระดับชาติ การเป็นสังคมสูงวัยไม่จำเป็นต้องหมายถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หากเรามีข้อมูลเชิงประจักษ์ การลงทุนข้ามช่วงวัย ความเท่าเทียมทางเพศ และระบบการดูแลที่ตอบสนองต่อความต้องการ ประเทศไทยก็สามารถพลิกการเปลี่ยนแปลงทางประชากรให้เป็นโอกาสได้” นอกจากนี้ นางหทัยชนกยังกล่าวขอบคุณ UNFPA ที่เป็นพันธมิตรระยะยาวและให้การสนับสนุนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านข้อมูลประชากรและการสำรวจสำมะโนประชากรแบบดิจิทัลครั้งแรกของประเทศในปีพ.ศ.2568 พร้อมทั้งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่จะทำงานร่วมกับ UNFPA และหน่วยงานพันธมิตรภายในประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลประชากรให้เข้มแข็ง ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินนโยบายประชากรระยะยาว และ แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว 15 ปี (พ.ศ.2565–2580) โดยยึดหลักการตัดสินใจบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์
หนึ่งในช่วงไฮไลต์สำคัญของงานคือการนำเสนอผลการประเมินโครงการความร่วมมือระดับประเทศ ปี 2022–2026 ซึ่งเป็นการประเมินอย่างอิสระในด้านความสอดคล้องเหมาะสม ความเชื่อมโยงของการดำเนินงาน ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนของการทำงานของ UNFPA ในประเทศไทย โดยผลการประเมินชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในหลายด้าน อาทิ นโยบายด้านภาวะเจริญพันธุ์ การวางแผนครอบครัว การบังคับใช้พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว 15 ปี ตลอดจนการเข้าถึงบริการด้านสิทธิสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ และความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศอย่างครอบคลุม นอกจากนี้รายงานการประเมินยังชี้บทบาทของประเทศไทยในการเผยแพร่ความรู้และแนวปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างแก่ประเทศอื่นๆ ผ่านความร่วมมือใต้–ใต้และไตรภาคี (South–South and Triangular Cooperation: SSTC) พร้อมกับเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดช่องว่างที่ยังคงมีอยู่สำหรับแรงงานข้ามชาติ ชุมชนผู้พลัดถิ่น ผู้หญิงพิการ เยาวชน วัยรุ่น ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบางอื่นๆ ตลอดจนการแสวงหาแนวทางระดมทุนที่มีนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนวาระ ICPD ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นในประเทศไทย
ด้าน นางสาวสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย ได้นำเสนอแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกของ UNFPA (2026–2029) ฉบับที่จะประกาศใช้ในระยะต่อไป โดยเชื่อมโยงกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าลำดับความสำคัญในระดับโลกถูกปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านประชากร เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ของแผนยุทธศาสตร์ระดับโลกฉบับใหม่นั้นยังคงตั้งอยู่บนพื้นฐานของภารกิจทั้งสามเสาหลักของ UNFPA หรือ The Three Transformative Resultsอันได้แก่การส่งเสริมให้ทุกคนได้เข้าถึงบริการการวางแผนครอบครัว ยุติการเสียชีวิตของมารดาจากการคลอดบุตร และการยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและการปฏิบัติที่เป็นอันตราย พร้อมทั้งเพิ่มเสาหลักลำดับที่สี่ คือ ความยืดหยุ่นทางประชากร (Demographic Resilience) แผนยุทธศาสตร์ครั้งนี้กำหนดผลลัพธ์หลักสี่ด้านที่เชื่อมโยงกันและจะต้องบรรลุภายในปี 2029 โดยผลลัพธ์เหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนจากผลผลิตเชิงยุทธศาสตร์หกประการ ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลและการคาดการณ์ล่วงหน้า การขับเคลื่อนนโยบายและความรับผิดชอบ การเงินทุนและการลงทุนเพื่อความยั่งยืน การปรับเปลี่ยนบรรทัดฐานทางสังคมและเพศสภาพ คุณภาพของบริการและการดูแล และการตอบสนองด้านมนุษยธรรมทั้งนี้ ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างโดดเด่นในทุกเสาหลักเหล่านั้น แต่ยังคงมีความท้าทายในการสร้างความเท่าเทียมให้ประชากรกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสิทธิและบริการที่ครอบคลุมทุกช่วงวัยได้อย่างเต็มที่ในฐานะพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของประเทศไทย UNFPA จะยังคงสนับสนุนประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านสิทธิสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์สำหรับทุกคน การป้องกันและรับมือกับความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศซึ่งรวมถึงความรุนแรงทางเพศที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี การจัดหาเงินทุนเพื่อวาระ ICPD และการขับเคลื่อนความร่วมมือใต้–ใต้และไตรภาคี (SSTC)ขณะนี้ UNFPA ประเทศไทยกำลังพัฒนาเอกสารโครงการความร่วมมือระดับประเทศฉบับใหม่ (Country Programme Document: 2027–2031) จึงขอเชิญชวนผู้เข้าร่วมประชุมทุกภาคส่วนร่วมเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นการทำงานที่ควรได้รับความสำคัญในช่วงปี 2026–2031
ในการประชุมครั้งนี้ มีการนำเสนอประเด็นเชิงวิชาการสำคัญสามหัวข้อ เพื่อสะท้อนสถานการณ์ประชากรของประเทศไทย การคาดการณ์อนาคต และข้อเสนอเชิงนโยบาย จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของประเทศไทย โดยการนำเสนอนั้นประกอบไปด้วย การวิเคราะห์สถานการณ์ประชากร การวิเคราะห์สุขภาพและการสูงวัยตลอดช่วงชีวิต และการวิเคราะห์ด้านการเงินเพื่อขับเคลื่อนวาระ ICPD (Financing for ICPD Analysis) ทั้งนี้ ข้อเสนอร่วมจากวงประชุมก็คือ การพัฒนานโยบายและแผนงานอย่างมียุทธศาสตร์และสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองต่อประชากรผู้สูงอายุและการเข้าสู่สังคมสูงวัยในเชิงรุก ด้วยแนวทางที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนและแนวทางที่มุ่งแก้ไขปัญหารากเหง้าของความไม่เท่าเทียมทางเพศ ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับพันธมิตรและเครือข่ายหลายภาคส่วน เพื่อให้มั่นใจว่ากลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุดจะได้รับประโยชน์จากมาตรการและการหนุนเสริมต่างๆ โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
นอกจากนี้ ดร.นายแพทย์บุญฤทธิ์ สุขรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศคำมั่นระดับชาติว่าด้วยการวางแผนครอบครัวบนพื้นฐานสิทธิมนุษยชน 2030 (National Commitment for Rights-based Family Planning 2030) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนด้านนโยบายของ UNFPA ต่อประเทศไทย โดยข้อผูกพันของประเทศไทยนั้นครอบคลุมประเด็นสำคัญสามด้าน ได้แก่ การเข้าถึงวิธีคุมกำเนิดสมัยใหม่ การสนับสนุนด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ และการป้องกันและการจัดการปัญหาตั้งครรภ์ไม่พร้อม ภายหลังการประกาศคำมั่นระดับชาติ องค์กรพันธมิตรหลัก ได้แก่ UNFPA สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (PPAT) และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) ได้ร่วมเวทีแสดงการสนับสนุนการขับเคลื่อนข้อผูกพันดังกล่าวในระดับประเทศและระดับพื้นที่
การประชุมครั้งนี้ยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเสริมพลังเยาวชน ผ่านโครงการ Empowering Our Youth ของ UNFPA ที่มุ่งขยายการเข้าถึงบริการด้านสิทธิสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ หลังจากที่ UNFPA ประเทศไทยได้นำเสนอภาพรวมผลลัพธ์ ความสำเร็จ และบทเรียนสำคัญจากการดำเนินโครงการระยะเวลา 3 ปีแล้ว ตัวแทนจากภาคีผู้ดำเนินงาน ได้แก่ สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย, ศูนย์อนามัยกลุ่มชาติพันธุ์ ชายขอบ และแรงงานข้ามชาติ (ศอช.), ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่, มูลนิธิรักไทย, และศูนย์สร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (พลังโจ๋) ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ นำเสนอผลงาน และแสดงตัวอย่างโครงการที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน โดยเน้นย้ำบทบาทของชุมชนในฐานะผู้ร่วมออกแบบ ไม่ใช่เพียงผู้รับประโยชน์ นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงโครงการที่กำลังดำเนินอยู่และโครงการใหม่ของ UNFPA รวมถึงภาคีเครือข่ายบนUNFPA Marketplace อาทิ SoSafeแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับทุกช่วงวัย เพื่อป้องกันความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศและจัดการเคสความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ, โครงการ Her Power ที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ของผู้หญิงและเด็กวัยรุ่นหญิงทุกคน เสริมสร้างพลังทางเศรษฐกิจสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิง รวมถึงผลักดันนโยบายเพื่อสร้างค่านิยมทางสังคมเชิงบวก, และขบวนการชุมชน Orange Juice Troopsซึ่งแสดงให้เห็นว่า เราสามารถมีส่วนร่วมในการร่วมออกแบบอนาคตของประเทศไทยตามวิสัยทัศน์ที่เราปรารถนาท่ามกลางสังคมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในช่วงบ่ายที่ประชุมมีเวทีเสียงจากประชากรกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นเวทีนำเสนอความต้องการและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อวาระด้านประชากรและการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยตัวแทนจากกลุ่มประชากรเปราะบางในประเทศไทย ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้หญิงจากกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกลและภูเขาทางภาคเหนือ ผู้หญิงจากชุมชนมุสลิมในภาคใต้ ผู้หญิงจากชุมชนคนพลัดถิ่นตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา รวมถึงนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย
ท้ายที่สุด เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม การเสวนาเชิงวิสัยทัศน์หัวข้อ “ความร่วมมือและการระดมทุนเพื่อการเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางประชากรในประเทศไทย” ได้เปิดพื้นที่ให้ผู้คนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนอย่างกว้างขวาง ทั้งผู้บริจาค ผู้บริหารภาคเอกชน สื่อมวลชน ภาควิชาการ และองค์กรภาคประชาสังคม การพูดคุยนั้นมุ่งเน้นไปที่ความจำเป็นเร่งด่วนในการระดมรูปแบบการจัดหาเงินทุนที่สร้างสรรค์และยั่งยืน เพื่อสนับสนุนนโยบายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร สุขภาพทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์และระบบการดูแล รวมถึงโครงการความเสมอภาคทางเพศต่างๆ โดยเวทีนี้ปิดท้ายด้วย การเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติ ที่กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือข้ามภาคส่วนที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น และการลงทุนที่ตรงเป้าหมายในแนวทางการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะ ผู้หญิง เยาวชน และประชากรกลุ่มเปราะบาง
การประชุมปิดท้ายด้วยเจตนารมณ์ร่วมกันระหว่างภาครัฐและพันธมิตรในการสร้างความยั่งยืนด้านการลงทุน ความร่วมมือ และนวัตกรรมเพื่อความยืดหยุ่นทางประชากร ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นพ้องต้องกันว่าการคุ้มครองสิทธิและทางเลือกของทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงและเยาวชน จะต้องเป็นศูนย์กลางของวาระการพัฒนาแห่งชาติของประเทศไทยต่อไป ดังที่ ดร.โอนาบันโจ สะท้อนในช่วงสรุปตอนท้ายว่า “การประชุมครั้งนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการต่ออายุ เป็นคำมั่นสัญญาที่มีร่วมกันว่าเราจะลงมือปฏิบัติโดยยึดหลักฐาน ความครอบคลุม และวิสัยทัศน์ เพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงทางประชากรกลายเป็นพลังขับเคลื่อนศักดิ์ศรี ความมั่นคง และโอกาสสำหรับทุกคน”