เรื่องจริง! “นักเขียน” ติดโควิด Home Isolation รักษาเองที่บ้าน

“พิสิฐ ภูศรี” นักเขียนมากผลงาน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เล่าประสบการณ์ตรง หลังติดโควิดและเลือกรักษาที่บ้าน Home Isolation ใช้ “ฟ้าทะลายโจร” จนอาการดีขึ้นเกือบหายเป็นปกติแล้ว 

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “พิสิฐ ภูศรี” เจ้าของผลงานหลากหลาย โดยรวมเรื่องสั้น “คนโซในปราสาท” เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ ปี 2542 ได้เผยแพร่ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “พิสิฐ ภูศรี” เรื่องราวการติดเชื้อโควิด-19 และเลือกรักษาตนเองที่บ้านแบบ Home Isolation โดยใช้ “ฟ้าทะลายโจร” เป็นยาหลักในการรักษา พร้อมบอกเล่าวิธีการดูแลตนเอง จนกระทั่งปัจจุบันอาการดีขึ้นตามลำดับ และเกือบจะหายเป็นปกติแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

 

           จากสเตตัส แจ้งการติดเชื้อโควิดของผมอันนี้

           https://www.facebook.com/kingpisit/posts/4053342748052339

           และผมบอกไว้ในตอนท้ายว่า ยังเขียนไม่จบ แค่กล่าวเกริ่นถึงการติดเชื้อ และกักตัว ซึ่งจะมาเพิ่มเติมรายละเอียดอีกในภายหลัง

           แต่เนื่องจากสเตตัสนั้น ร่างแรกที่เขียนไว้ก็ค่อนข้างยาว เกรงว่าหากเติมข้อความลงไปอีก จะยาวเฟื้อยจนอ่านไม่สะดวก

           จึงจะขอยกยอด ข้อความใหม่ มาลงเป็นอีกสเตตัสดีกว่า ซึ่งก็มีทั้งข้อมูล รายละเอียด วิธีการดูแลรักษาตัวเอง รวมทั้งความคิด ทัศนะ และเรื่องราวอื่น ๆ ที่ผมอยากเขียนบอกเล่าสู่กันฟัง โดยพยายามจะเรียบเรียง แยกเป็นข้อ ๆ เท่าที่นึกออกนะครับ

           อนึ่ง ต้องเรียนให้ทราบว่า ข้อมูลและความคิดเห็นของผม เป็นประสบการณ์และมุมมองส่วนบุคคล ที่ได้ประสบเฉพาะตน อาจจะไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริงทั้งหมด อ่านเพื่อเป็นแนวทางและใช้วิจารณญาณของท่านกลั่นกรองวินิจฉัยกันเองนะครับ

           ☉ ในสเตตัสเดิม ผมบอกไว้แล้วว่า ผมปิดบัง (คือไม่เปิดเผย) เรื่องการติดโควิดของผมเอาไว้ ไม่บอกเล่าให้เพื่อนเฟซรู้แต่แรก มาเปิดเผยเมื่อวาน ก็เมื่อคิดว่าน่าจะปลอดภัยจากอาการแล้ว นั่นเป็นอุปนิสัยหรือพฤติกรรมปกติของผมในการเล่นเฟซ ที่จะหลีกเลี่ยงการบอกเล่าเรื่องส่วนตัว (โดยเฉพาะปัญหาส่วนตัว) ให้เพื่อนเฟซได้รับรู้ เพราะการเล่นเฟซในความหมายของผม คือการเลือกจะสื่อสาร ในเรื่องที่อยากบอกเล่า สนทนา มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนเฟซ ในมิติที่มีประโยชน์ต่อการอ่านโดยรวม โดยหลีกเลี่ยงเรื่องส่วนตัว ที่ไม่ได้มีประโยชน์กับใครเลย นอกจากได้ระบายเรื่องส่วนตัวของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ (ยกตัวอย่าง อาการเจ็บป่วย ลำบาก ของตัวเอง หรือเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย ของบุคคลในครอบครัว อะไรแบบนี้ ผมจะพยายามไม่นำมาบอกกล่าว)

           ☉ เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับการติดโควิดของผม ผ่านพ้นระดับปัญหาส่วนตัว และคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีพอสมควรแล้ว จึงได้นำมาบอกเล่าสู่กันฟัง ในมิติที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการอ่านส่วนรวมไม่มากก็น้อยนะครับ จึงตัดสินใจนำมาบอกเล่าในครั้งนี้

           ☉ ผมติดโควิด ในวันที่ 20 กค. ตอนกลางวัน ค่อนข้างมั่นใจในเวลาและบุคคลผู้แพร่เชื้อ เพราะเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกัน ที่เดินทางมาหาและพูดคุยกับผมในธุระบางอย่าง ซึ่งเอาจริง ๆ คือ ผมค่อนข้างกลัวติดโควิดและป้องกันตัวเองเคร่งครัดมาก แต่เหตุสุดวิสัยนี้ ผมป้องกันไม่ได้จริง ๆ เพราะก็ไม่ได้อยากพบ อยากเจอ อยากคุย แต่เมื่อมันเกิดขึ้นโดยป้องกันไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน

           ☉ แต่ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอันใดหรอก เพราะผู้แพร่เชื้อ ก็คงไม่ได้เจตนา ไม่ได้ตั้งใจ และอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองติดเชื้อมาก่อน ซึ่งก็อาจเหมือนผมที่อาจไปแพร่เชื้อสู่คนอื่นโดยไม่รู้ตัวในเวลาต่อมา (หรือเปล่า?)

           ☉ อาการสำแดงครั้งแรก ตอนรุ่งเช้าวันต่อมา เพราะตื่นขึ้นมามีอาการไข้รุม ๆ ปวดหัว ซึ่งแน่ละว่า คนเราก็มีสิทธิ์เป็นไข้ได้อยู่แล้ว เวลานั้น ผมไม่ได้คิดไปอื่นไกล นอกจากคิดว่าตัวเองเป็นไข้หวัด (ช่วงนั้น อากาศเปลี่ยนพอดี) ก็กินยาพาราไป อย่างที่เคยปฏิบัติ

           ☉ เมื่อได้ยาลดไข้ อาการก็ทุเลาลง และผมก็กินยาพาราต่อเนื่อง ตามระยะเวลามาอีกช่วงหนึ่ง ซึ่งคราวนี้เริ่มเอะใจแล้ว ว่าทำไมกินยาแก้ไข้แล้วไม่หาย ไข้ลดแค่ช่วงยังมีฤทธิ์ยา แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

           ☉ จนผ่านมาอีกสามสี่วัน ในวันที่ 25 กค. ผมก็ตัดสินใจแจ้งไปยังผู้ใกล้ชิดว่า ผมอาจจะติดเชื้อโควิดละกระมัง เพื่อความชัวร์ ช่วยหาซื้อเครื่องมือตรวจโควิดด้วยตนเองมาให้หน่อย จะได้รู้แน่ ว่าติดโควิดจริงหรือไม่

           ☉ เครื่องมือนั้นมาถึงในวันที่ 26 กค. และเมื่อทำการตรวจแล้ว ก็เป็นที่แน่นอนว่า ผม "ติดโควิด" ปฏิบัติการรับมือกับโควิดอย่างจริงจัง จึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการที่วันนี้

           ☉ พูดกันตามตรง ว่าก่อนหน้านั้นผมมีความเข้าใจหรือให้ความสนใจเรื่องของโควิดน้อยมาก แทบไม่รู้ข้อมูลรายละเอียดโรคมากไปกว่าข่าวสารทั่วไปที่รับรู้ แต่เมื่อเป็นกับตัวเอง ก็จึงพยายามศึกษา ค้นหาแหล่งข้อมูล เพื่อรับมือกับมันให้ได้ เท่าที่จะทำได้

           ☉ ในความไม่รู้ (รู้บ้างไม่รู้บ้าง) นั้น ผมก็มีปณิธานส่วนตัวอยู่แล้วว่า จะตั้งรับ รับมือกับมันที่บ้านตัวเอง (อย่างที่เขาเรียกกันว่า home isolation นั่นละ) ไม่ว่าจะเป็นน้อยเป็นมาก ก็จะหลีกเลี่ยงการพาตัวเข้าไปยังโรงพยาบาล ยกเว้นแต่จะป่วยหนักจนเขามาหิ้วไปโรงพยาบาลเอง หรือป่วยหนักจนตายคาบ้าน เขามาหิ้วศพออกจากบ้านไปเองนั่นแล เพราะส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบนอนโรงพยาบาล ถ้าไม่ป่วยหนักเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ และในความรับรู้เรื่องโควิด การเปลี่ยนสถานที่จากบ้านไปสู่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะ รพ.จริง หรือ รพ.สนาม ไม่ค่อยมีผลในทางปฏิบัติสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากปริมาณผู้ป่วยมีจำนวนมากเกินผู้รับผิดชอบจะดูแลรักษาได้ครอบคลุมนั่นแล

           ☉ ปฏิบัติการ home isolation ของผมจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจัง ในวันที่ 26 กค. โดยอันดับแรก ก็คือ "งดออกจากบ้าน" โดยเด็ดขาดทุกกรณี

           ☉ การกักตัว "ไม่ออกจากบ้านเลย" จะทำได้ผล ก็ต่อเมื่อมีวิธีให้ผู้อื่นส่งข้าวส่งน้ำ ส่งยา และอุปกรณ์ประทังชีพ ประทังโรคให้ได้ตลอด ไม่อย่างนั้น ก็คงอดตายก่อนจะป่วยตาย

           ☉ เรื่องยา และอุปกรณ์ประทังชีพ ประทังโรคนั้น ผมติดต่อให้ผู้ใกล้ชิด จัดหามาให้ ได้มาตามที่ต้องการ ไม่ขาดตกบกพร่อง

           ☉ ส่วนเรื่องข้าวน้ำนั้น บ้านของผมเป็นทาวเฮ้าส์ อยู่ในย่านชุมชนที่เป็นตลาด มีเพื่อนบ้านที่ทำร้านอาหาร และเพื่อนบ้านที่พร้อมจะช่วยเหลือไปจับจ่ายซื้อหาของกินของใช้ให้ผม ซึ่งผมก็ติดต่อทั้งทางโทรศัพท์และโซเชียล บอกเขาไปตามความเป็นจริง ไม่ปิดบัง และต้องการให้เขาช่วยเหลือในเรื่องนี้ ซึ่งทุกคนก็เต็มใจ

☉ เรื่องการได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนเพื่อนบ้านนี้ ผมไม่อยากบอกว่าเป็นเรื่องของชุมชมเข็มแข็ง หรือชุมชนที่ดีวิเศษเป็นโชคดีของผมอะไรหรอก เพราะเอาจริง ๆ ชุมชมปกติ ก็ต้องช่วยเหลือกันเท่าที่ทำได้ (คืออย่างน้อย ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจ หรือถึงกับตั้งป้อมจะโดดเดี่ยว หรือขับไล่ไสส่ง) เพราะผมก็ไม่ได้ให้เขาเข้ามาช่วยแบบแบกรับความเสี่ยงไปด้วย

           ☉ หน้าที่ทั่วไป ในการช่วยเหลือของพี่น้องในชุมชมละแวกบ้านของผม ก็คือ ผมตกลงกับร้านอาหารใกล้บ้าน ให้เขาจัดอาหารรายมื้อ ตามที่ผมสั่ง โดยบรรจุกล่องโฟม ใส่ถุงพลาสติกมาแขวนไว้หน้าบ้าน แล้วเดี๋ยวผมจะออกไปหยิบเอง หรือบางมื้อ ผมก็โทรศัพท์วานเพื่อนบ้าน ออกไปซื้อร้านอื่นมาให้หน่อย หรือผมอยากกินขนมนมเนย น้ำหวานน้ำอัดลมอะไร ก็โทร.บอกเขาไปซื้อมาแขวนไว้ให้ โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ ต้องไปพูดคุย รับของ หรือให้เงินสด อันจะเกิดการสัมผัสส่งต่อ (โอนเงินให้ ผ่านเนตแบงกิ้ง)

           ☉ พ้นจากเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ก็จะมาเล่าเรื่องความป่วยไข้ อาการ และการรักษาตัวบ้างนะครับ ซึ่งเรื่องนี้ ก็อาจมีบางความคิดของผม ไปขัดแย้งกับความเชื่อหรือข้อมูลการรับรู้ของท่านอื่นบ้าง ก็พิจารณากันเองนะครับ

           ☉ อาการป่วยของผม นับแต่วันที่รู้ (ตรวจรู้) ว่าติดโควิดแน่นอนนั้น อยู่ในช่วงพีคของอาการแล้วนะครับ คือ เป็นช่วงที่เป็นไข้แทบตลอดเวลา ปวดเมื่อยตัว และอาการไม่รู้รส ไม่รู้กลิ่น เกิดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาการหลังนี่แหละ ที่จะทำให้ป่วยหนักขึ้นไปได้อีก เพราะไม่รู้รสชาติอาหาร เหมือนเคี้ยวฟาง ก็จะทำให้กินข้าวไม่อร่อย ไม่อยากกิน กินไม่ลง

           ☉ อาการ "ไม่รู้รส" เป็นอยู่สองสามวัน แล้วก็เปลี่ยนไป จะบอกว่าเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น ก็ไม่น่าใช่ คือ เปลี่ยนจากไม่รู้รส เป็นรสเพี้ยน อันนี้ยิ่งดูน่ากลัว เพราะรสสัมผัสลิ้นที่ได้รับ มันหวานจัด เค็มจัด เกินปกติ (เผ็ดจัดไม่มีแฮะ)  รสอาหารเพี้ยน ๆ ที่สัมผัสปลายลิ้น นี่ยิ่งทำให้เบื่อข้าวเข้าไปใหญ่

           ☉ อาการพวกนี้แหละ ที่ทำให้จิตตก สุขภาพจิตเสีย ว่าอาการป่วยมันจะดีขึ้นไหมหรือแย่ลงไปเรื่อย ๆ อีก

           ☉ ส่วนเรื่องการกินยานั้น ต้องบอกก่อนว่า ผมเชื่อ (ตามที่หมอบอก) "โควิดยังไม่มียารักษา" เพราะฉะนั้นการกินยาของผม จึงเป็นการกินเพื่อรักษาอาการที่เป็นผลข้างเคียงจากเชื้อโควิด เช่น กินพาราหรือฟ้าทะลายโจรแคปซูล ก็เพื่อลดไข้ ไม่ใช่กินเพื่อป้องกันโควิด

           ☉ เพราะฉะนั้น ในเรื่องยาฟ้าทะลายโจรของผม ที่ผมเลือกกิน (แทนพารา ตอนแรกกินพารา) เพราะคิดว่า มันกินได้จำนวนเยอะกว่า ตามที่เขาระบุ ว่าสามารถกินได้ครั้งละ 3-4 เม็ด วันละสามสี่หน และมีสรรพคุณช่วยลดไข้ได้ดีมีประสิทธิภาพ ไม่ต่างจากพารา

           ☉ ยาและอุปกรณ์ในการนี้ของผม จึงมีเพียงสามสี่อย่าง ตามรูปที่เห็น ประกอบไปด้วย ชุดตรวจสอบโควิดด้วยตัวเอง (กล่องนึง มี 5 ชุด ใช้ไปแล้วหนึ่ง ว่าจะใช้ตรวจอีกครั้งอีกหนึ่ง ที่เหลือ ผมจะเอาไว้บริจาคให้ผู้ต้องการใช้ในชุมชนแถวบ้านนะครับ ไม่ต้องมาขอ เพราะได้รับปาก บอกชุมชนเขาไว้แล้ว) ชุดตรวจค่าออกซิเจนในปอดอีกหนึ่ง (เอาไว้ตรวจว่า ค่าออกซิเจนน้อย หมายถึงเชื้อจะลงปอดหรือยัง ซึ่งก็ยังค่าปกติดี) ยาลดไข้ สองกระปุก พาราหนึ่ง ฟ้าทะลายโจรหนึ่ง, วิตามินซี จำนวนหนึ่ง เอาไว้กิน สร้างสมดุลในร่างกาย กับน้ำเกลือล้างจมูกอีกหนึ่งชุด อันหลังนี้คิดเอาเอง ว่าล้างให้โพรงจมูกสะอาด ก็น่าจะดี

 

 

           ☉ ในเนต จะมีเพจที่เกี่ยวกับโควิด มากมาย ทั้งข้อแนะนำ และประสบการณ์ตรงจากผู้ติดเชื้อ ที่ยังคงรักษาตัวหรือหายดีแล้วมาบอกเล่า บอกสูตรการรักษาและยาที่ใช้รักษา ซึ่งถ้าใครเข้าไปอ่านดู จะพบยานานาสารพัดยี่ห้อ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ และผมก็ตามอ่านเพื่อศึกษาดูแล้ว ก็ไม่ตัดสินใจเลือกใช้ยาอะไรเพิ่มนะครับ นอกจากยาลดไข้ อย่างที่บอกไป

           ☉ ในความคิดเห็นส่วนตัวผม ประสบการณ์ในวิธีรักษาตัวของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ทั้งวิธีการและการใช้ยา ซึ่งก็อย่างที่บอกว่า ผมยังเชื่อในทฤษฎีที่ว่า "ยังไม่มีตัวยาใด ไม่ว่าแผนปัจจุบันหรือแผนโบราณ ป้องกันเชื้อโควิดได้" ผมจึงยังไม่เลือกจะเชื่อว่ามียาใด นำมากินแล้วเชื้อโควิดจะพ่ายแพ้แก่ตัวยานั้นได้ นอกจากมันจะหมดอายุการแพร่เชื้อไปเอง ในระยะเวลา 14 วัน ที่ทางการแพทย์ระบุ

           ☉ วิธีแนะนำและเชื่อว่าดีเช่นนั้น บางทีผมเลยคิดไปถึง วิธีการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วม ที่ชาวเนตคิดกันขึ้นมามากมายหลายวิธี เมื่อหลายปีก่อน และเผยแพร่บอกต่อกัน ซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นความคิดและเจตนาที่บริสุทธิ์ (ยกเว้นพวกที่มีเจตนาแอบแฝงเพื่อขายของ) แต่โดยสรุป มันอาจเป็นวิธีคิดแบบปัจเจก ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์หรือผ่านการพิสูจน์ ซึ่งอันนี้ ก็ต้องวินิจฉัยพิจารณากันเอาเอง ตามความคิดของแต่ละท่านนะครับ

           ☉ ณ เวลานี้ ผมจึงเลือกใช้วิธี home isolation แบบกักตัวเอง เพื่อให้ผ่านเวลาทำงานของเชื้อโควิดเป็นหลัก จะว่ารักษาตัวก็ไม่ได้รักษาอะไรหรอก แค่ไม่ออกไปเพ่นพ่าน กินยาลดไข้ และนอนพักผ่อน ซึ่งอาการ "ป่วย" ก็ดีขึ้นตามลำดับ แทบจะเรียกว่าไม่มีอาการใด ๆ แล้วก็ได้ และใกล้ครบกำหนดกักตัว 14 วันแล้ว

           ☉ แต่จะบอกว่า ผมกักตัว นอนรอวันรอด (หรือไม่รอด) ไปเฉย ๆ เปล่า ๆ ปลี้ ๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น การขวนขวาย ลงทะเบียน home isolation กับ สปสช. ผมก็ลงไว้ หรือเว็บเพจ หน่วยงาน ชมรม กลุ่มผู้มีจิตอาสา ที่เขาบอกต่อกัน ผมก็ไปลงชื่อลงทะเบียนไว้หลายที่ เผื่อเป็นประโยชน์ในด้านข้อมูล สถิติ หรือการให้ความช่วยเหลือในบางกรณี

           ☉ แต่หลายวันผ่านมา จนถึงขณะนี้ ใกล้จะหายแล้ว (มั้ง) ยังไม่มีที่ใดติดต่อกลับมาเลยนะครับ แฮร่ ก็ไม่เป็นไร เข้าใจว่าภาระเขาคงยุ่ง คนป่วยเยอะมากมายขนาดนี้ ไม่ว่ากัน

           ☉ คือเอาจริง ๆ ผมก็ไม่ได้หวังพึ่ง หน่วยงานช่วยเหลือ ไม่ว่าจะทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะจะว่ากันจริง ๆ มันก็มีความเป็น "ระบบอุปถัมภ์" ซึ่งก็ตาดีตาร้าย ว่าเราจะโชคดี ได้รับความอุปถัมภ์หรือไม่

           ☉ ผมเป็นคนเชื่อในระบบที่มีกฎเกณฑ์ข้อตกลงจริงจังมากกว่า เช่น ระบบประกันสังคมที่จ่ายเงินเข้ากองทุนมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อเกิดเหตุป่วยไข้ที่ต้องได้รับการรักษาตามสิทธิเช่นนี้ แม้จะเข้าใจได้ว่า การรับรักษาโควิด มันอาจเกินกำลังของโรงพยาบาล ในสภาพความเป็นจริง แต่การได้รับยารักษาโรคเบื้องต้นตามสิทธิ์ โรงพยาบาลที่ลงประกันสังคมไว้ น่าจะช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขั้นพื้นฐานได้ ลองโทร.ไปถาม รพ.ที่ว่านั้น (อย่าให้เอ่ยชื่อเลย อาจเป็นที่ รพ.นี้ที่เดียว) ว่าทางโรงพยาบาล จะมีการส่งมอบยาเบื้องต้น (ก็คงเป็นพวกยาลดไข้ หรือแก้ท้องอืดท้องเสีย อาเจียนวิงเวียนเทือกนี้แหละ) ให้กับผู้ใช้สิทธิ์ที่ติดเชื้อโควิดไหม ทาง รพ.ตอบว่า ไม่มีนโยบายนี้ ในความเป็นไปได้ คือต้องเดินทางมาตรวจและประเมินเพื่อการวินิจฉัยที่ รพ.เอง

           ฮ่วย ก็กูดำเนินการ home isolation เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางออกไปไหนอยู่นี่นะ

           จะให้ถ่อไป รพ. เพื่อรับยาพาราแก้ปวดหัวตัวร้อนตามสิทธิ์นี่นะเหรอ

           ถ้าไปจริง ไม่บ้าก็โง่แล้วละมั้ง

           ...

           พอเท่านี้ก่อนนะครับ

           เรื่องเล่าสู่กันฟัง นึกออกเท่านี้

           หวังว่า ท่านที่ยังไม่ได้เจอ ขออย่าได้เจอ อย่างผม

           มันไม่สนุกหรอก แม้ผมจะพยายามเล่าให้มันสนุก

           ขอให้สบายดีกันทุกท่านครับ

 

 

CR : Facebook “พิสิฐ ภูศรี”