‘วังน้ำเขียว’ : นอน ‘นับดาว’ ณ ‘สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน’

วังน้ำเขียว’ : นอน นับดาวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน

 

สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน

 

นั่นเป็นครั้งแรก ที่เราได้ยินคำขนานนามของดินแดนแห่งนี้ ซึ่งทำให้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะในความนึกคิดเราก่อนหน้านั้น ดินแดนที่ราบสูงอย่างภาคอีสานค่อนข้างแห้งแล้ง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ?

 

แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก

 

อีกหนึ่งคำร่ำลือ ที่ใครต่อใครพากันตอกย้ำให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า ไม่ควรรอช้าไปนานกว่านี้อีกแล้ว ในการเดินทางไปให้ถึงที่นี่ ก่อนที่อันดับแหล่งโอโซนที่ว่า อาจเปลี่ยนแปลงไปในอีกไม่นานนี้

 

ข่าวแว่วมาให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เรื่องการ ครอบครอง อย่างไม่ถูกต้อง และรุกล้ำพื้นที่ป่า

 

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไปเยือนที่นี่ไม่ได้ ในเมื่อจุดประสงค์การไปเพื่อ ชื่นชม ไม่ใช่ ครอบครอง

 

จากกรุงเทพฯ ตอนสาย เรามุ่งหน้าสู่ วังน้ำเขียว จุดหมายปลายทางที่ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงกว่า

 

หลังจากได้นัดหมายกับ มิตรอักษร เพื่อนของเราคนหนึ่ง ซึ่งพักอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับ หน่วยพิทักษ์อุทยานทับลาน ที่ ทล. 13 (สวนห้อม) เราก็ได้การตอบรับอย่างยินดี พร้อมกับการเตรียมเสบียงไว้รอต้อนรับ

 


หน้าบ้านเห็นทางเข้าอุทยานฯ

 

ในที่สุด เราก็เดินทางถึงยังที่พักของ มิตรอักษร ณ บ้านสวนห้อม  ต.วังน้ำเขียว  อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา พร้อม ๆ กับความตื่นตาตื่นใจเมื่อแรกไปถึง

 

โรงเรือน ดอกหน้าวัวตั้งเรียงรายอยู่รอบบ้าน พร้อม ๆ กับศาลาริมน้ำ และเรือนพักหลังเล็ก ๆ ติดกัน

 

ถัดไปไม่ไกลนัก คือทางเข้า หน่วยพิทักษ์อุทยานทับลาน ที่ ทล. 13 (สวนห้อม)

 

หลังปรึกษากันแล้ว พวกเราเลือกจะนอน นับดาว ภายในอุทยานฯ ทับลาน ในคืนแรก และอาจจะกลับมานอนที่ รังนอน เรือนพักของ มิตรอักษรในคืนถัดไป หากยังไม่อยากกลับคืนสู่เมืองหลวงเร็วนัก

 

เราติดต่อเจ้าหน้าที่ ของ อุทยานแห่งชาติทับลาน ส่วนย่อย เพื่อขอเข้าพักค้างคืนภายในอุทยาน ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมแนะนำว่า เราควร กางเต็นท์ เพื่อจะ นับดาว ได้ในบริเวณไหนบ้าง

 


จุดกางเต็นท์ของพวกเรา

 

หลังเลือกสถานที่ได้แล้ว เราก็ขนสัมภาระพร้อมเสบียงบางส่วน เข้าสู่อุทยานฯ 

 

พื้นที่ซึ่งเราเลือกนั้น สามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ และหากฟ้าเปิด คืนนี้ดาวคงอยู่แค่เอื้อม

 

ถึงแม้จะแอบหวั่นใจกับอากาศขมุกขะมัว และฟ้าครึ้มฝนตามฤดูกาลอยู่บ้าง แต่เราก็สู้ไม่ถอย

 

ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงนี่แล้ว ขอตื่นเช้าสูดอากาศ แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก เสียหน่อย

 

ค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ท่ามกลางผืนฟ้าดื่นดาว ผ่านไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับเสียงสรวลเสเฮฮาของมิตรสหาย ที่บอกเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ กันอย่างออกรส

 

นี่กระมัง ที่ใครต่อใครพูดว่า คุยกันเสียให้หายคิดถึง

 

หลังเจ้าหน้าที่แวะมาทักทายรอบดึกไม่นาน เราก็แยกย้ายกันเข้านอนในเต็นท์ของใครของมัน

 

เราแยกกันนอนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งนอนเต็นท์ใหญ่ที่เช่าจากอุทยานฯ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กางไว้ให้ และสามารถนอนรวมกันได้ถึง 20 คน

 

ขณะที่ใครบางคน เลือกที่จะนอนเป็นคู่ ในเต็นท์ที่เตรียมมากันเอง

               

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นขึ้นมารับอากาศบริสุทธิ์ สูดอากาศแสนสดชื่นเสียจนเต็มปอดด้วยความสุข

 

พร้อมกับคิดว่า อย่างนี้นี่เอง ใคร ๆ ถึงอยากมา วังน้ำเขียว เสียนักหนา

 


ใคร ๆ ก็อยากมานอน วังน้ำเขียว

 

หลังเสร็จภารกิจยามเช้าเรียบร้อย เราเดินไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ พร้อมกับแจ้งว่า วันนี้ จะขออนุญาตเที่ยวไปในอุทยานฯ ในระยะไม่ไกลนัก เจ้าหน้าที่แนะนำให้เราไปยัง น้ำตกห้วยใหญ่และ น้ำตกสวนห้อม

 

                เรามี มิตรอักษร เพื่อนของเรา ซึ่งดูจะชำนาญเส้นทางอย่างยิ่ง เป็นผู้นำทางพาเราเข้าสำรวจอุทยานฯ พร้อมคำอธิบายแบบ คนในพื้นที่ ซึ่งอยู่ร่วมกับป่าอย่างพึ่งพิงและรู้คุณค่า

 

            ป่าลานผืนสุดท้าย คือป้ายที่เราพบขณะเดินเท้า และนี่เอง ที่เป็นที่มาของชื่ออุทยานฯแห่งนี้

 

                ในที่สุด เราก็เดินจนถึง น้ำตก ที่ใคร ๆ พากันพูดถึง ก่อนหน้าที่เราจะเดินทางมา ทับลาน

 


น้ำตกม่านฟ้าของพวกเรา

 

                เบื้องหน้าเราคือภูผาเด่นตระหง่าน ขณะที่สายน้ำไหลลงกระทบแผ่นหินเบื้องล่าง เกิดเป็นหยาดน้ำกระเซ็นสาดซัดกระจัดกระจาย สร้างความชุ่มฉ่ำในยามที่เดินเข้าไปใกล้ ๆ

 

                ม่านน้ำเบื้องหน้าแผ่นผา ทำให้เราไม่แปลกใจว่าเหตุใดจึงขนานนามน้ำตกนี้ว่า น้ำตกม่านฟ้า

 

                หลังชื่นชมความงามของสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้บนผืนพิภพแห่งนี้จนพอใจ พวกเราก็เดินทางออกจากป่า พร้อม ๆ กับความประทับใจ ต่อความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า อันเขียวชอุ่มแห่ง วังน้ำเขียว

 

                เราออกจากอุทยานฯ และถือโอกาสชมโรงเรือน ดอกหน้าวัว ที่พากันชูดอกหลากสี ราวกับจะแสดงความรู้สึกยินดีต้อนรับการมาเยือนของเรา

 

                และนั่นทำให้เรารู้ว่า คนวังน้ำเขียว ส่วนหนึ่ง ปลูกไม้ตัดดอก หน้าวัว เป็นอาชีพ

 

                ที่สำคัญ ดอกหน้าวัว เหล่านี้ไม่ได้แค่ขายในประเทศ แต่ยังส่งออก เพื่อนำรายได้เข้าประเทศอีกด้วย

 


ดอกหน้าวัวชูดอกสะพรั่ง

 

                เพื่อนของเราชวนให้ค้างต่ออีกคืน ซึ่งหลังจากผ่านวันแรกไปพร้อมความสุข เราจึงไม่ปฏิเสธคำเชิญนั้น 

 

ต่างกันแต่เพียงในคืนที่ 2 นี้  เราหลับสนิทอยู่ใน รังนอน เรือนพักเล็ก ๆ ริมน้ำที่สร้างไว้แยกส่วนจากตัวบ้าน เพื่อรอต้อนรับมิตรสหายที่แวะมาเยี่ยมเยือน และเลือกจะค้างแรมด้วยเฉกเช่นพวกเรา

 

ที่มากไปกว่านั้นก็คือ รังนอน แห่งนี้ ยังพร้อมต้อนรับ มิตรของมิตร ซึ่งมักมาเยือนพร้อม ๆ กันในช่วง ฤดูท่องเที่ยว ที่ใครต่อใครพากันมุ่งหน้ามายัง วังน้ำเขียวด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันอีกด้วย

 


รังนอน เรือนพักริมน้ำอันอบอุ่น

 

เราหลับใหลใน รังนอนอันแสนอบอุ่นในค่ำคืนที่ 2 พร้อม ๆ กับได้สูดอากาศสดชื่นในยามเช้าอีกครั้ง

 

ก่อนโบกมือลา เพื่อนของเรายังทำเมนูเฉพาะกิจ ไข่เจียวข้าวโพด แสนอร่อยให้ได้ลิ้มลองอย่างอิ่มหนำ และนี่ก็นำมาซึ่งคำตบท้ายด้วยคำมั่นจากเราว่า จะมาเยือน สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน อีกครั้งแน่ ๆ

 


ไข่เจียวข้าวโพดแสนอร่อย

 

วังน้ำเขียว ดินแดน แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ทำให้เราได้ตระหนักอีกครั้ง

 

ต้นไม้ทุกต้น ผืนป่าทุกผืน คือมรดกมีค่า ที่เราต้องร่วมมือร่วมใจกันรักษา เพื่อวันข้างหน้า

 

บรรพบุรุษของเรา ก็คงคิดอย่างนี้ จึงมีต้นไม้และผืนป่าที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ผืนดิน สร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม และหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต มาจนถึงช่วงชีวิตของเรา

 

และนี่ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องร่วมกันสืบทอดสิ่งมีค่าเหล่านี้ ไว้ให้ลูกหลานของเราในอนาคต

 


น้ำตกม่านฟ้า 

 

ก่อนอำลา วังน้ำเขียว คำพูดใครบางคนที่ทิ้งท้ายไว้ ยังดังก้องอยู่ในหัวใจของเรา

 

คุณค่าของป่าผืนนี้ อาจไม่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก แต่นี่เป็นมรดกของแผ่นดิน...

 

 

//............................

หมายเหตุ : วังน้ำเขียว’ : นอน นับดาวสวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน: คอลัมน์ ลมหายใจเดินทางโดย จตุระคน” (ออนอาร์ต) : บางกอกไลฟ์นิวส์

//...........................