‘เรียนรู้จากคนครึ่งท่อน’ : ‘คนพิการ’ = ‘คนปกติ’ เราต่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน !
‘เรียนรู้จากคนครึ่งท่อน’ : ‘คนพิการ’ =‘คนปกติ’ เราต่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน !
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน” ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ “กนก วงษ์ตระหง่าน” ในหัวข้อ “เรียนรู้จากคนครึ่งท่อน” โดยมีเนื้อหา ดังนี้
“1.สื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมากส่งกำลังใจให้ “คนพิการครึ่งท่อน” (นายชาตรี กรวัชรธาดา) นักศึกษาวิทยาลัยสารพัดช่างเชียงใหม่ ชั้น ปวช. ปี 2 แผนกช่างยนต์ ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว เพื่อหาสถานที่ฝึกงาน เนื่องจากถูกบริษัทต่าง ๆ ปฏิเสธมาก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุผลในเรื่องของความปลอดภัย จนมากลายเป็นข่าวใหญ่โต
ไม่นานกระแสสังคม (โดยเฉพาะสังคมออนไลน์) ตอบรับเสียงหาสถานที่ฝึกงาน ของ นายชาตรี อย่างท่วมท้น ภายในไม่กี่วัน นายชาตรี ได้รับข้อเสนอให้เข้าฝึกงาน จากบริษัททั้งเล็กและใหญ่มากมาย รวมไปถึงการได้รับความสนใจจากสื่อหลายสำนัก
การตอบรับ “คนพิการครึ่งท่อน” หรือ “นายชาตรี กรวัชรธาดา” นี้เอง ได้สะท้อน “วัฒนธรรมคนไทย” ที่มีความเห็นอกเห็นใจและสงสารคนที่อ่อนแอกว่า ผมจึงไม่แปลกใจ ที่คนไทยจำนวนมากแสดงความเห็นอกเห็นใจ และพร้อมที่จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ นายชาตรี เช่นนี้
แต่ความเป็น “คนครึ่งท่อน” ของ นายชาตรี มีอะไรที่ผมอยากจะ “ชวนคิด” และ “วิเคราะห์” ให้มากไปกว่านี้ เพราะมันมีสิ่งที่ “ควรค่า” แก่การ “เรียนรู้” เสียเหลือเกิน
2.ประการแรก ผมอยากจะเริ่มด้วยคำถามที่ว่า “คนพิการรู้สึกและคิดอย่างไรกับคนที่ไม่พิการ” นั่นเพราะคนปกติทั่วไป มักจะมีความคิดและความเชื่อที่ว่า คนพิการคือคนที่อ่อนแอกว่า และมีความสามารถน้อยกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้น เป็นหน้าที่ของคนปกติทั่วไป ที่ควรจะต้องให้ความช่วยเหลือคนพิการ
สำหรับผมเห็นต่างในประเด็นนี้ และขออนุญาตตอบคำถามข้างต้นแทนคนพิการด้วยว่า “พวกคุณอย่าคิดว่า คนพิการคือคนที่อ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาคนอื่นในสังคม”
ผมเชื่อเหลือเกินว่า คนพิการมีสติปัญญาไม่น้อยไปกว่าคนทั่วไป ถึงแม้เขาจะมีความบกพร่องทางกาย (อย่างกรณีคุณชาตรี) ก็ตาม แต่เขาก็มีความอดทนมุ่งมั่นและอุตสาหะที่จะช่วยเหลือตนเอง ดูแลตนเองและครอบครัวตามกำลังความสามารถที่มี โดยไม่คิดที่จะรอการสงเคราะห์จากใคร และไม่ต้องการซ่อนตัวเองอยู่แต่ในโลกแคบ ๆ ของบ้านหรือครอบครัวเท่านั้น แต่พร้อมที่จะออกไปเผชิญและต่อสู้กับโลกภายนอก เพื่อแข่งขันกับคนอื่นอย่างมีศักดิ์ศรี และเกียรติของความเป็นมนุษย์
ผมขอยืนยัน พวกเขา (คนพิการ) รู้ว่า ตัวเองมีคุณค่าและสามารถทำประโยชน์ให้กับคนอื่นและสังคมได้ ดังนั้น อย่าทำให้พวกเขาต้องรู้สึกว่า เป็น “ภาระทางสังคม” ต่อไปอีกเลย แต่จงร่วมด้วยช่วยกันที่จะให้อิสระในการกำหนดชีวิตและอนาคตของพวกเขา (คนพิการ) ได้ด้วยตัวเองกันเถอะครับ
3.ประการที่สอง ผมมีคำถามว่า “คนพิการกับคนปกติ ใครมีความอดทนและมุ่งมั่นต่อความสำเร็จมากกว่ากัน” ผมลองนึกภาพว่า ถ้าให้ผมนั่งบนรถเข็นคนพิการ (เสมือนเป็นคนพิการ) หนึ่งวัน ผมจะใช้ชีวิตของผมในวันนั้นอย่างไร แน่นอนผมจะหงุดหงิดและอารมณ์เสียตลอดทั้งวัน เพราะผมทำในสิ่งที่อยากทำไม่ได้เพราะติดกับรถเข็นคันนั้น กว่าผมจะทานข้าว เข้าห้องน้ำ ขึ้นเตียงนอน ฯลฯ มันช่างยุ่งยาก ทุลักทุเลมาก จนผมอาจจะเลี่ยงไม่ทานข้าว และเลือกหลับบนรถเข็น ภายใต้สภาพเช่นนี้ ผมคงแสดงอารมณ์ร้ายกาจใส่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง เพราะผมทำใจยอมรับกับสภาพของตัวเองไม่ได้ อารมณ์ที่กดดันทั้งจากร่างกายและจิตใจก็น่าจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น
นี่เองที่ทำให้ผมต้องยอมรับว่า คนพิการ มี “แรงขับเคลื่อน” ที่จะดำเนินชีวิตให้ก้าวหน้า และทำงานให้ประสบความสำเร็จ “มากกว่าผม” มากนัก และสามารถสรุปได้ด้วยตัวเองว่า คนพิการมีความสามารถเหนือกว่าผมในหลายเรื่อง โดยเฉพาะ “การจัดการกับอารมณ์” และการจัดการกับ “ข้อจำกัดต่าง ๆ ของร่างกาย” เพื่อให้สามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้ตามต้องการ นี่คือ “จุดเด่น” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนใน “จุดด้อย” และกลายเป็น “ความพิเศษ” ในตัวเอง ที่พวกเขา (คนพิการ) อาจมีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ
4.ประการที่สาม ผมตั้งคำถามต่อไปว่า “ทำไมคนพิการถึงสามารถดึงความพิเศษในตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์”หลังจากนั้น ผมก็ไปค้นหาข้อมูลและพบคำตอบที่ว่า สมองของมนุษย์มีความสามารถที่จะปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อทำหน้าที่ทดแทนกันในส่วนที่บกพร่องได้ (วิชานี้อยู่ในหมวด Neuroscience หรือ Neuroplasticity) ซึ่งหลักวิชาของเรื่องนี้อธิบายส่วนหนึ่งว่า “เซลล์สมองสามารถทำให้เข้มแข็งหรือแข็งแรงมากขึ้นได้ผ่านแรงกดดันที่บีบให้ประจุไฟฟ้าในสมองเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์สมองที่เรียกว่า Synapse ได้ และส่งผลให้สมองสามารถสั่งการหรือทำงานได้”
ดังนั้น น่าจะสรุปได้ความว่า คนปกติทั่วไปอาจจะไม่อยู่ในสภาวะที่ต้องกดดันสมองให้ทำงานมากยิ่งขึ้น ต่างจากคนพิการที่มีความจำเป็นที่จะต้องดึงพลังทุกส่วนในร่างกายออกมาใช้ เพื่อก้าวข้าม “ข้อจำกัดทางร่างกาย” ของตนเอง
ด้วยความเข้าใจนี้เอง ผมจึงอยากแนะนำว่า เราควรต้องเรียนรู้ “กลไก” ของสมองต่อกระบวนการนี้ และนำ “แบบแผน” ในการสร้างความแข็งแรงให้กับสมองของคนพิการมา “ถอดรหัส” เพื่อต่อยอดไปยังการพัฒนา “นวัตกรรมด้านการเรียนการสอน” ของเรา โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ผมเชื่อว่า สมองของเด็กไทยต้องพัฒนาไปไกลแบบก้าวกระโดดได้อย่างแน่นอน
5.ท้ายที่สุด เมื่อเราได้ “ตกผลึก” กับทั้ง 3 ประการแล้ว เราจะมองเห็น “คุณค่า” อันงดงามของคนพิการอย่างเด่นชัด ถึงตรงนี้ ผมต้องขอขอบคุณ “คุณชาตรี กรวัชรธาดา” ที่กรุณาเปิดทางให้ผมเข้าใจ และยอมรับ “ความพิการ” ได้เช่นนี้
คุณชาตรี และผมไม่ได้แตกต่างกันเลยครับ เราต่างเป็นมนุษย์เหมือนกัน
ไม่มีคนปกติ ไม่มีคนพิการ มีแค่ “ผม” กับ “คุณ” มีแค่ “เขา” กับ “เรา” และการให้ความเคารพซึ่งกันและกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น
นี่คือ “การรับรู้” ในแบบที่ผมอยากให้ “เกิดขึ้น” บนฐานความคิดของระบบการศึกษาไทย
--แล้วคุณล่ะครับ คิดเห็นกันอย่างไร ?
//.................
หมายเหตุ: เพจ “กนก วงษ์ตระหง่าน”
https://www.facebook.com/กนก-วงษ์ตระหง่าน-Kanok-Wongtrangan-109167605809018/
//.................